“เปิ่นจุนทนต่อฤทธิ์สุราไม่ไหว ขอฮ่องเต้เย่โปรดอภัย”
เขาเอ่ยออกมาเสียงเบา ผิวขาวผ่องเริ่มมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
ใบหน้าที่งดงามราวหยกนั้น ความเ็าที่ปรากฏกลับแฝงด้วยเสน่ห์เย้ายวนลึกลับ
เหล่าคุณหนูจากตระกูลขุนนางต่างจับจ้องรูปโฉมอันงดงามเพียบพร้อมของเขาไม่วางตา สายตาร้อนแรงยิ่งขึ้น
“ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร!”
ด้วยความงดงามอย่างหาที่สุดมิได้ของอีกฝ่าย ฮ่องเต้เย่ถึงกับตกตะลึงไปด้วยเช่นกัน
คำขอเล็กน้อยเช่นนี้ ย่อมตอบรับทันที
“การเดินทางวันนี้ค่อนข้างเร่งรีบ จึงไม่ได้เตรียมของกำนัลล้ำค่าใดมา”
ซู่หลิงยิ้มจาง ขณะที่เทียนเฟิงและหลิงอวิ๋นบ่าวคนสนิทนำกล่องผ้าสองใบออกมา
เทียนเฟิงเปิดกล่องผ้าในมือออก แสงสีฟ้าจางก็แผ่ปกคลุมทั่วทั้งห้องโถงทันที
"นี่คือผลึกน้ำ์ น้ำแข็งนิรันดร์ที่เกิดขึ้นในดินแดนทางเหนืออันไกลโพ้น"
เสียงทุ้มนุ่มราวหยกเย็นดังขึ้นอย่างแ่เบา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ขุนนางทุกคนต่างตกตะลึง
น้ำแข็งนิรันดร์เป็สมบัติล้ำค่าในตำนาน!
ดินแดนทางเหนืออันไกลโพ้นอยู่ห่างจากแคว้นมู่สุ่ยเกินกว่าสิบล้านลี้ไม่ใช่หรือ?
เมื่อตระเซียนเช่นตระกูลซู่แห่งแคว้นหลิงเทียนลงมือแล้ว นับเป็ผลงานชิ้นใหญ่!
เทียนเฟิงปิดกล่องผ้าลง และหลิงอวิ๋นก็เปิดกล่องผ้าอีกใบขึ้น ด้านในมีงูสีขาวตัวเล็กกำลังขดตัวอยู่
“งูสีขาวตัวนี้เป็ลูกของอสรพิษเขมือบนภา และยังไม่ได้ทำพันธสัญญาใด นำทั้งสองสิ่งมามอบให้ เพื่อเป็การแสดงความจริงใจ”
ซู่หลิงมีสีหน้าเรียบเฉย และมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่เสมอ
“มันคืออสรพิษเขมือบนภาในตำนานจริงๆ น่ะหรือ?!”
ฮ่องเต้เย่ผงะไปเล็กน้อย กล่าวด้วยความตื่นใ
เขาเคยได้ยินชื่ออสรพิษเขมือบนภามาแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดคิดว่าลูกงูสีขาวที่เรียวยาวและบอบบางเช่นนี้ แท้จริงแล้วจะเป็สัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวในตำนาน
“มีคำเล่าลือว่าอสรพิษเขมือบนภามีรูปกายใหญ่โตมโหฬาร ปากกว้างจนสามารถกลืนกินท้องนภาได้ แม้แต่ลูกงูก็ยังมีความยาวไม่น้อยกว่าสิบจั้ง”
ผู้นำตระกูลเยี่ย เยี่ยเฟยฟานจ้องลูกงูสีขาวด้วยดวงตาที่ลุกโชน และอดตกตะลึงไม่ได้
อสรพิษเขมือบนภา เป็สัตว์อสูรทรงพลังที่มีสายเืของสัตว์ร้ายในยุคา
หากเติบโตเต็มวัย จะมีพลังยุทธ์เทียบเท่ากับปรมาจารย์ระดับจิตแรกเริ่ม!
ไม่เพียงแต่เยี่ยเฟยฟานเท่านั้น ทว่าบรรดาผู้นำตระกูลและขุนนางชั้นสูงในราชสำนักต่างก็จ้องลูกงูสีขาวด้วยดวงตาลุกวาว
นี่คือสัตว์อสูรทรงพลังที่ยังไม่ทำพันธสัญญา!
ดึงดูดใจเหล่าผู้ฝึกตนอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้
หากใครสามารถทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรตัวนี้ได้ ไม่เพียงแต่พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นอย่างมากเท่านั้น ทว่าแม้แต่โครงสร้างตระกูลใหญ่ในแคว้นมู่สุ่ยก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย!
“อืม เนื่องจากยังไม่ได้ทำพันธสัญญา เพื่อป้องกันไม่ให้มันทำร้ายผู้อื่น เราจึงใช้การจำแลง”
ซู่หลิงพยักหน้าเบาๆ
เมื่อมาเยี่ยมเยียน ก็ควรจะนำของกำนัลมาให้
เพียงแต่ของกำนัลจากตระกูลซู่ของพวกเขานั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะได้รับไปง่ายๆ
หากไม่มีใครในแคว้นมู่สุ่ยสามารถรับของกำนัลนี้ไปได้ ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถได้รับสมบัติล้ำค่าเท่านั้น ทว่ายังจะเสียหน้าอีกด้วย
“ฝ่าา ตำนานว่าไว้ว่าอสรพิษเขมือบนภาทรงพลังอย่างยิ่ง โปรดให้เราชื่นชมและศึกษาสักหน่อยได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
"เป็พระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น คืนนี้เราจะได้เปิดโลกทัศน์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!"
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สายตาของผู้นำของห้าตระกูลหลักและหัวหน้าสี่สำนักต่างก็ดวงตาเป็ประกาย
เป็ที่รู้กันดีว่าการทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรมีเพียงสองวิธีเท่านั้น
วิธีแรกในการทำพันธสัญญากับสัตว์อสูร คือการให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรฝึกฝนสัตว์อสูรจนเชื่องเสียก่อน
นอกจากนี้ ต้องอาศัยพลังของตนในการทำให้สัตว์อสูรยอมสยบ แล้วจึงทำสัญญาเื
แม้ว่าการใช้ทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรผ่านผู้ฝึกสัตว์อสูรจะมีโอกาสสำเร็จสูง
ทว่าสัตว์อสูรจะไม่ภักดีอย่างเต็มหัวใจ
เมื่อพลังยุทธ์ของสัตว์อสูรเหนือกว่าของเ้านาย มีโอกาสสูงมากที่มันจะหันมาต่อต้าน
หากใช้พลังของตนทำให้สัตว์อสูรยอมจำนนและทำสัญญาเืขึ้นมา
สัญญาประเภทนี้จะคงอยู่ตลอดชีวิต และแทบไม่มีการต่อต้านเลย
ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงมักชอบพิชิตสัตว์อสูรด้วยตัวเอง
ฮ่องเต้เย่ประทับบนบัลลังก์ั ฟังเสียงเหล่าขุนนางที่ต่างกล่าวอ้างอยากเปิดโลกทัศน์ ทว่าความจริงแล้ว ล้วนแต่หมายปองจะอสรพิษเขมือบนภากันทั้งสิ้น
ฮ่องเต้แห่งแคว้นหลิงเทียนมอบลูกอสรพิษเขมือบนภาให้เป็ของกำนัลด้วยพระองค์เอง นับเป็พระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
ทว่าหากแคว้นมู่สุ่ยของพวกเขาไม่มีใครพิชิตได้
ไม่เพียงแต่จะไม่ได้สิ่งใดตอบแทนแล้ว ทว่ายังจะกลายเป็เื่น่าขบขันอีกด้วย
นำของกำนัลของพร้อมความเคารพและความเกรงกลัว
ผสานระหว่างคุณและโทษ ก็สมแล้วที่เป็เล่ห์เหลี่ยมของตระกูลเซียนที่มีอายุหลายพันปี!
“เนื่องจากทุกคนต่างอยากเห็นเป็อย่างยิ่ง องค์ฮ่องเต้โปรดปล่อยอสรพิษเขมือบนภาออกมาให้นักรบจากแคว้นมู่สุ่ยของข้าได้พิชิตสัตว์อสูรตัวนี้หน้าบัลลังก์ เพื่อเพิ่มความสนุกสนานให้กับงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วยเถิด”
ฮ่องเต้เย่รู้ดีว่าของกำนัลชิ้นนี้เป็ทั้งพรและคำขู่
ในฐานะฮ่องเต้แห่งแคว้นมู่สุ่ย ย่อมต้องรักษาเกียรติยศของแคว้นไว้เป็สำคัญ
เขาจึงยิ้มอย่างสงบเยือกเย็น กล่าวด้วยความไม่ถ่อมตนและไม่อวดดี
แม้ว่าทุกฝ่ายต่างก็หมายปองที่จะอสรพิษเขมือบนภา
ทว่าฮ่องเต้เย่ที่เป็ตัวแทนของราชวงศ์ก็กระหายที่จะได้มันมาเช่นกัน
ตระกูลใหญ่เล็กต่างมียอดฝีมือ ทว่าการที่ราชวงศ์ของพวกเขาสามารถรักษาบัลลังก์ได้ ก็ไม่ใช่คนไร้ความสามารถ
“เทียนเฟิง”
ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ฮ่องเต้เย่จะไม่้า ทว่าก็ต้องยอมรับ ซู่หลิงมีสีหน้าสงบพูดออกมาอย่างไม่หวั่นไหว
"พ่ะย่ะค่ะ!"
เทียนเฟิงหยิบวัตถุออกมาจากอุปกรณ์เก็บอาวุธิญญา แล้วแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็กรงเงินขนาดยี่สิบจั้ง
เขาวางลูกงูสีขาวในกล่องผ้าใส่เข้าไปในกรง
ทันใดนั้นแสงสีเืสาดส่องออกมา ลูกงูสีขาวตัวเท่าปลายนิ้วกลับกลายเป็อสรพิษสีขาวขนาดมหึมายาวกว่าสิบจั้งในทันที
ทว่าเห็นอสรพิษั์อ้าปากสีแดงฉานราวกับเื หน้าตาดุร้ายน่าสะพรึงกลัว
อสรพิษั์ขดตัวชูคอขึ้นมา และพุ่งชนเข้ากับซี่กรงจนเกิดเสียงดังสนั่น
“มันคืออสรพิษเขมือบนภาในตำนานจริงๆ ดูสองเขาบนหัวของมันสิ”
“ว่ากันว่าอสรพิษมีเขาจะสามารถแปลงร่างเป็ัได้ อสรพิษเขมือบนภาตัวนี้ย่อมมีสายเืของสัตว์อสูรอยู่ในตัวเป็แน่”
“สัตว์อสูรตัวนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ต้องใช้กล่องกดพลังิญญาขังไว้”
ยอดฝีมือเช่น เยี่ยเฟยฝาน หลิงรั่วเฟย หลิ่วิเฟิง ต่างอดที่จะอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
แม้ท่านปู่มู่จะไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ทว่าก็ลอบใกลัว
เหล่าผู้าุโที่มีพลังแกร่งกล้าต่างก็แสดงความคิดเห็นเช่นนั้น
ไม่ต้องพูดถึงเย่ิเซวียน เยี่ยหลิง เซียวโม่ และบุตรหลานคนอื่นๆ
เย่ิเซวียนจ้องไปที่อสรพิษเขมือบนภาด้วยดวงตาที่ลุกโชน
หากเขาสามารถทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรตัวนี้ได้ พลังยุทธ์ของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็แน่ การก้าวข้ามองค์รัชทายาทก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่เย่เทียนอวี้และองค์ชายหลายพระองค์ต่างก็จ้องสัตว์อสูรตัวนี้ตาเป็มัน
ในเวลานี้ มู่เทียนอินก็มองไปยังอสรพิษั์ในกรงเช่นกัน
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่สัตว์อสูรตัวนี้ แม้แต่มู่เยียนเอ๋อร์ เย่ิเซวียน และคนอื่นๆ รอบตัวต่างก็แสดงสีหน้าปรารถนา
นางยิ้มจาง
นั่นคืออสรพิษเขมือบนภา เมื่อโตเต็มวัยจะมีพลังเทียบเท่ากับยอดฝีมือระดับจิตแรกเริ่ม
อาจกล่าวได้ว่าท่านปู่ ผู้นำตระกูลต่างๆ และเ้าสำนักยังพอมีความเป็ไปได้อยู่บ้าง
แม้แต่บุตรหลานเช่นพวกเขาที่อยู่ในระดับิญญาขาวและระดับิญญาสีชาดคิดจะพิชิต... ทว่าเป็การคิดเกินตัวไปมาก
“แม้ว่าสัตว์อสูรตัวนี้จะดุร้าย แต่ก็มีเืของสัตว์ร้ายและมีสติปัญญา หาก้าจะฝึกมันให้เชื่อง อย่างน้อยก็ต้องกล้าเข้าใกล้มันให้ได้ก่อน เพื่อให้มันรู้สึกคุ้นเคยและเกิดความผูกพัน”
ซู่หลิงมีรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหยกที่งดงามราวเทพเซียนเผยให้เห็นถึงความจริงจัง
ในแคว้นมู่สุ่ยไม่เคยมีอสรพิษเขมือบนภาปรากฏตัวขึ้น และแม้แต่ยอดฝีมือเช่นฮ่องเต้เย่ก็ไม่เข้าใจพฤติกรรมของสัตว์อสูรตัวนี้
“บรรดาขุนนางทั้งหลาย ท่านใดมีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะสัตว์อสูรตัวนี้ได้ จงก้าวออกมาข้างหน้าเสีบ”
ฮ่องเต้เย่พยักหน้าอย่างหนักแน่น
ภายใต้สายตาของฮ่องเต้ ในฐานะเ้าบ้าน เขาต้องปราบสัตว์อสูรตัวนี้ลงอย่างสวยงามให้จงได้
เมื่อฮ่องเต้เย่มีพระราชโองการออกไปแล้ว ตระกูลใหญ่ทั้งห้า ได้แก่ เยี่ย มู่ หลิ่ว เสวี่ยและเซียว จึงต่างส่งตัวแทนมาอย่างเต็มใจ
สำนักทั้งสี่ที่มาจากแดนไกล ก็ได้ส่งตัวแทนยอดฝีมือของตนออกมาเช่นกัน
แน่นอนว่าราชวงศ์ผู้ทรงอำนาจที่สุดก็ไม่ยอมน้อยหน้า ส่งยอดฝีมือชื่อดังถึงสามคนมาพร้อมกันในคราวเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขามุ่งมั่นจะได้สิ่งนี้มา
อาจกล่าวได้ว่าเหล่าคนที่มีอำนาจและมีชื่อเสียงในแคว้นมู่สุ่ย ต่างกระตือรือร้นที่จะลอง
“ในเมื่อทุกท่านอยากจะทดลองกันแล้ว เช่นนั้นก็จงเริ่มตามลำดับที่นั่งเสีย จงระวังตัวกันให้ดี อย่าให้ได้รับาเ็”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวของฮ่องเต้เย่หรี่ลงเล็กน้อย
ในขณะที่เห็นกลุ่มคนที่ลุกขึ้นยืน สีหน้าของเขายังคงสุภาพและสงบนิ่ง ทว่ากลับยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ
นี่คือปัญหาของการมอบของกำนัลต่อหน้าผู้อื่น
เห็นได้ชัดว่ามอบให้กับแคว้นมู่สุ่ย ทว่าเหล่าผู้เฒ่ากลับกระสับกระส่าย
ตามพระราชโองการของฮ่องเต้เย่ เสวียนิจากสำนักเสวียนอวี่เป็คนแรกที่ก้าวไปข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะเข้าใกล้กรง ไอสังหารรุนแรงที่ราวกับจับต้องได้ก็กระทบเข้าที่ใบหน้า
ในฐานะผู้ฝึกตน มักจะได้พบกับพลังของสัตว์อสูรอยู่บ่อยครั้ง ทว่ายังไม่เคยพบกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังถึงเพียงนี้มาก่อน!
ในชั่วพริบตา ใบหน้าของเสวียนิก็ซีดเผือดลงเล็กน้อย
"ดูเหมือนว่าอสรพิษเขมือบนภาจะไม่ยอมให้เ้าเข้าใกล้นะ"
ซู่หลิงไม่ได้แสดงความประหลาดใจแม้แต่น้อย
เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้บุคคลหนึ่งต้องสูญเสียคุณสมบัติไป
ซวนิเป็ยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงเช่นกัน
ไม่คิดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับอสรพิษเขมือบนภาจะไม่สามารถเข้าใกล้ได้
คนอื่นต่างก็ลอบคิดหนัก พวกเขารู้ดีว่าสัตว์อสูรตัวนี้ยากที่จะควบคุม ทว่ากลับไม่คาดคิดว่ามันจะโหดร้ายถึงเพียงนี้!
ไม่ว่าจะเจออุปสรรคมากเพียงใดก็ไม่อาจสั่นคลอนความปรารถนาที่จะพิชิตของทุกคนได้
หลังจากนั้นเหล่ายอดฝีมือก็ทยอยขึ้นมาทีละคน
ไม่ว่าจะเป็ใคร ก็เข้าใกล้ได้มากที่สุดแค่หน้าประตูกรงเท่านั้น
พวกเขาพยายามอย่างมากที่จะต้านทานแรงกดดันจากสัตว์อสูร ทว่ากลับไม่สามารถเข้าใกล้มันได้แม้แต่น้อย
เฝ้าดูยอดฝีมือต่างพากันออกมาข้างหน้าคนแล้วคนเล่า ทว่าไม่มีใครสามารถก้าวไปข้างหน้าได้เลย
ใบหน้าของฮ่องเต้เย่และเหล่าขุนนางดูไม่ค่อยดีนัก
ต่อหน้าฮ่องเต้ใหญ่ พวกเขาทำให้แคว้นมู่สุ่ยเสียชื่อไปอย่างสิ้นเชิง!
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเหล่าผู้าุโดูอับอาย
เย่เทียนอวี้และเย่ิเซวียน รวมถึงเหล่าบุตรหลานรุ่นหลัง ต่างแสดงให้เห็นถึงความคาดหวัง
แม้แต่ยอดฝีมือจำนวนมากก็ยังไม่สามารถเข้าใกล้อสรพิษเขมือบนภาได้
ทว่าพวกเขาล้วนเป็สายเืราชวงศ์จึงรู้สึกว่าตนสูงส่งกว่าคนทั่วไปมาก จะไปเปรียบเทียบกับคนทั่วไปได้อย่างไร?
เพื่อที่จะแข่งขันชิงตำแหน่งรัชทายาท พวกเขาต่างมีความสนใจอสรพิษเขมือบนภาอย่างมาก
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น ทว่าแม้กระทั่งเหล่านายน้อยจากตระกูลใหญ่ที่ยังอายุน้อยและอยู่ในวัยคึกคะนอง ก็มีจินตนาการบางอย่างในใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
สถานการณ์บนสนามประลองยังคงย่ำแย่เรื่อยมา จนกระทั่งผู้เฒ่ามู่เข้ามาในสนาม
อสรพิษเขมือบนภาในกรงก็เริ่มเคลื่อนไหว ความดุร้ายในดวงตาของมันก็จางลงเล็กน้อย
งานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ในพระราชวังเป็งานใหญ่ของราชวงศ์ ผู้เฒ่ามู่จึงไม่อยากขึ้นเวทีนัก
แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงล้มเหลวมาโดยตลอด ในฐานะยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นมู่สุ่ย เขาจึงไม่มีทางหลบเลี่ยง
เมื่อเห็นว่าอสรพิษกินฟ้าลดความดุร้ายของมันลง ทุกคนจ่างจ้องไปยังท่านปู่มู่ด้วยความอิจฉา หรือสัตว์อสูรตัวนี้จะถูกปราบปรามด้วยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งเท่านั้น?
อย่างไรก็ตาม ผู้เฒ่ามู่กลับถอยออกมาอย่างกะทันหัน
ในฐานะยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นมู่สุ่ย การกระทำของผู้เฒ่ามู่จึงเป็ที่ดึงดูดความสนใจอย่างมาก
ความลังเลของเขาทำให้ดวงตาของฮ่องเต้เย่มืดมนลง
"ท่านปู่"
มู่เทียนอินเฝ้ามองท่านปู่ล่าถอยด้วยความโล่งใจ
ไม่ว่าอสรพิษเขมือบนภาจะล้ำค่าเพียงใด ก็เทียบไม่ได้กับความปลอดภัยของท่านปู่
“อินเอ๋อร์ สัตว์อสูรตัวนี้ดุร้ายเกินไป แม้ว่าข้าจะสามารถปราบมันลงได้ แต่ก็มีโอกาสสำเร็จเพียงสามส่วนเท่านั้น”
ท่านปู่มู่เห็นความกังวลของหลานสาวคนโปรดจึงอธิบายเสียงเบา
คำพูดต่อจากนี้ ไม่จำเป็ต้องพูดมู่เทียนอินก็เข้าใจเื่นี้ดี
--------------------
[1] ร้องเพียงครั้งเดียว ทำคนตะลึงงัน เปรียบเปรยถึง คนเก่งที่ปกติอาจไม่มีใครรู้เพราะไม่ได้เผยตัว แต่ถ้าได้แสดงความสามารถก็จะทำให้คนรอบข้างตะลึง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้