ในห้วงความฝัน
เธอคุกเข่าอยู่ในท้องพระโรงด้วยดวงตาที่แดงก่ำ มองบุรุษที่มีสายตาเ็าผู้นั้นอย่างดื้อรั้น เอ่ยออกมาช้าๆ ด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
“ข้าไม่ผิด”
ทั่วทั้งท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงคนแสดงความคิดต่างๆ นานา ใช้คำพูดสาปแช่งที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกมนุษย์นี้
“ความผิดของนางสมควรถูกลงทัณฑ์ด้วยห้าม้าแยกศพ และปะาชีวิต”
เธอนั่งตัวตรง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังระงม เธอจ้องมองบุรุษผู้นั้นตาไม่กะพริบ
“ข้าไม่ผิด” เธอเชื่อว่าเขาจะปกป้องเธอไม่ว่าเวลาไหนก็ตาม
แต่กระนั้นบุรุษผู้นี้กลับไม่แม้แต่จะมองเธอ สีหน้าเ็า ไม่เอ่ยสักคำ ไร้ซึ่งเยื่อใย
“ขังนางไว้ในตำหนักลิ่วฉือ คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้าตลอดชีวิต”
ในห้วงของความฝัน
สองเท้าของเธอเปลือยเปล่า ยืนตระหง่านบนยอดหน้าผา ชายเสื้อปลิวไสว เสี้ยววินาทีที่เธอกำลังจะโดดหน้าผานั้น มือสองข้างจับเธอเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
สองมือคู่นั้น อาจเพราะใช้แรงมากเกินไป ข้อนิ้วทั้งห้าจึงกลายเป็สีขาว เส้นเืที่หลังมือปูดโปน ครวญครางเสียงต่ำ
“เ้ากล้ารนหาที่ตายหรือ? ข้าจะให้เ้าชดใช้”
เธอเงยหน้าขึ้น มองบุรุษที่ยืนตระหง่านดั่งภูผา ใบหน้าเ็า แววตาคู่นั้นเต็มไปเส้นเืฝอยสีแดง สายตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ลึกลงไปในสายตานั้นยังแฝงไว้ด้วยการอ้อนวอน
เธอยิ้ม เป็รอยยิ้มที่สิ้นหวังเช่นกัน
“ชดใช้? ยังมีการชดใช้ใดที่มากกว่าความตายอีกหรือ?”
ขณะที่กล่าวนั้น เธอพยายามดิ้น ดิ้นให้หลุดจากสองมือของเขา ทันใดนั้น ร่างกายของเธอก็เหมือนกับหยดน้ำฝนที่ตกลงจากฟากฟ้า หล่นลงไปยังเบื้องล่างของหน้าผาอย่างรวดเร็ว
ข้างหูมีเพียงเสียงลมร้องหวีดหวิว เสียงะโอันสิ้นหวังและโศกเศร้าของเขาดังมาจากขอบหน้าผานั้น
“อาซี...”
ในที่สุดเธอก็หลุดพ้นแล้ว จะไม่มีใครมารัง...แกเธอได้อีกแล้ว ร่างกายร่วงลงสู่หุบเหวเบื้องล่างเรื่อยๆ ยังไม่ทันถึงก้นเหว เธอกลับใตื่นขึ้นมา ตอนที่ตื่นขึ้นมานั้น หัวใจของเธอเต้นรัว หลายปีมานี้ เธอฝันเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา แต่ครั้งนี้ ในที่สุดเธอก็มองเห็นบุรุษที่เธอจับเอาไว้ตลอดเวลาได้อย่างชัดเจน ใบหน้าเ็าแฝงด้วยความโเี้และทะนงตนดูแคลนใต้หล้า
เขาคือใคร? เหตุใดทุกครั้งที่มาปรากฏตัวในความฝันของเธอถึงทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ออก
เพราะความฝันสองเื่นี้ ทำให้เธอนอนไม่หลับหนึ่งคืนเต็มๆ
วันต่อมาหลังจากตื่นนอน รอบดวงตาจึงดำคล้ำราวกับแพนด้า เธอเสียเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมง เพื่อใช้เครื่องสำอางปกปิดความเหนื่อยล้า จากนั้นหยิบชุดกระโปรงยาวผ้าฝ้ายที่ซื้อจากเมืองอวิ๋นหนาน่ฤดูใบไม้ร่วงออกมาจากตู้เสื้อผ้า ลวดลายที่ปักบนกระโปรงนั้น เธอเป็คนออกแบบเอง แต่ให้ท่านยายที่อยู่ในหมู่บ้านใช้วิธีดั้งเดิมที่สุด ด้วยด้ายหนึ่งเส้นเข็มหนึ่งเล่มปักลงไป ใช้สีสันสดใสสวยงาม แต่เวลาสวมใส่กลับเข้ากันกับตัวเธอ ในความเรียบง่ายนั้นกลับดูมีเสน่ห์ สีสันสองแบบที่แตกต่างกันสุดขั้วนี้มาปะทะกันทำให้เธอไม่เหมือนใคร ทำให้เธอดูสวยหยาดเยิ้ม ขณะเดียวกันยังแฝงไว้ซึ่งความดื้อรั้นไม่ฟังใคร
บริษัทของเธอตั้งอยู่ในย่านการค้า CBD ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในกรุงปักกิ่ง อยู่ในตึกไชน่าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ สิ่งของหรูหรามากมายครอบคลุมทั่วทั้งชั้นหนึ่ง ส่วนชั้นนี้เป็เครื่องประดับโบราณ ั้แ่ออกจากลิฟต์มา สิ่งแรกที่สายตามองเห็นคือน้ำตกที่ไหลลงมาจากกำแพงและสระดอกบัว ปลาเล็กปลาน้อยแหวกว่ายอยู่ใต้น้ำอย่างมีความสุข เบื้องหน้าเป็ทางเดินทอดยาวที่คดเคี้ยวไปมา ดูเงียบสงบและงดงาม บนกำแพงทางเดินนั้นแขวนภาพถ่ายวัตถุโบราณจากราชวงศ์ยุคต่างๆ และสุดทางเดินนั้นคือสตูดิโอของเธอ
เธอกำลังเดินอยู่บนทางเดินยาว ท่ามกลางกลิ่นหอมจางๆ ลอยคลุ้งอยู่ทั่วทางเดิน บนพรมผ้าไหมนุ่มๆ ใต้เท้าของเธอ ยืดหยุ่นและไร้เสียง
เธอคือช่างซ่อมของโบราณ โจวเฉิงิ รุ่นพี่ของเธอคือเ้าของสตูดิโอนี้ ปีนี้ทั้งปี แทบไม่เห็นเงา
ปกติแม้จะอยู่ห่างไกลครึ่งค่อนโลก เวลาห่างกันสิบกว่าชั่วโมง เขามักจะโทรหาเธอตอนดึกๆ ดื่นๆ เริ่มสนทนาก็สบถด่าทันที
“ฉัน*** หลิวเยว่ มาต่างประเทศครั้งนี้ ฉันเกือบตายแล้ว”
“ถ้าฉันตาย อย่าลืมมาเก็บศพฉันด้วยล่ะ แต่ถ้าไม่ตายก็ค่อยเจอกัน"
โจวเฉิงิคุ้นชินกับท่าทางเ็าของเธอ เมื่อวางสายโทรศัพท์ไป เขาจึงถ่ายภาพวัตถุโบราณที่เขาเก็บสะสมไว้ซึ่งจำเป็ต้องซ่อมแซมมาให้เธอ
แต่ครั้งนี้ เขาไม่มีข่าวคราวมาเกือบครึ่งปี และเมื่อวานนี้เธอได้รับอีเมล์มาหนึ่งฉบับ หัวข้อว่า “ประวัติศาสตร์ไม่สมบูรณ์”
มีภาพวัตถุโบราณสิบภาพ ซึ่งทั้งหมดจำเป็ต้องซ่อมแซม ดังนั้นเธอจึงมาที่สตูดิโอแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวล่วงหน้า
ในสตูดิโอมีขนาดหลายร้อยตารางเมตร ปกติมีหลิวเยว่เพียงคนเดียว เงียบสงบจนได้ยินเสียงลมพัดกระโปรง ภาพบนคอมพิวเตอร์กำลังเลื่อนไปตามลำดับภาพถ่ายของไฟล์ “ประวัติศาสตร์ไม่สมบูรณ์” ที่ส่งมาจากโจวเฉิงิ และเพราะความฝันของเธอเมื่อคืนนี้ ในใจจึงยังมีความหวาดกลัวอยู่ เมื่อมองดูดีๆ ครู่หนึ่ง สายตาสิ้นหวังและเ็าของชายที่อยู่บนขอบหน้าผาคนนั้นมักจะปรากฏขึ้นมาในความคิดของเธออยู่บ่อยๆ
“หลิวเยว่ หลิวเยว่ เธออยู่ไหน?”
เสียงของโจวเฉิงิดังมาจากประตู ไม่นานนัก เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหลิวเยว่ ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นและความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตะลอนๆ เขาหยิบกาน้ำชาที่ทำจากดินเหนียวซึ่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะของหลิวเยว่ขึ้นมาแล้วเทลงปากของเขาโดยตรง
“หลิวเยว่ เธอรู้ไหมว่าเมื่อกี้ฉันเพิ่งกลับมาจากที่ไหน?”
หลิวเยว่ไม่ตอบ เพียงมองกาน้ำชาที่ถูกเขาใช้กรอกใส่ปาก และคิดว่าจะเก็บไว้หรือทิ้งดี? ส่วนโจวเฉิงิก็ถามเื่ของตัวเอง
“ฉันไปลาซ่ามา ไปเจอไต้ซืออู๋เซวียน ประวัติศาสตร์ “ไม่สมบูรณ์” ชุดนี้เขาส่งให้ฉันตอนที่จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาสั่งให้ฉันซ่อมมันให้สมบูรณ์”
โจวเฉิงิยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น
“น่าเสียดายที่เธอไม่มีวาสนาได้เจอไต้ซืออู๋เซวียน ทั้งที่ก็เป็คนธรรมดาเหมือนเรา แต่ลักษณะการพูดคุยและท่าทางของเขากลับแตกต่างไม่เหมือนคนทั่วไป ของโบราณที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้เหล่านี้ล้วนมาจากราชวงศ์หวางและราชวงศ์ทงที่รุ่งเรืองที่สุด ถ้าเอาออกมาได้ ไม่เพียงแต่เป็ของคู่บ้านคู่เมือง แต่มันยังสามารถช่วยให้เราได้สำรวจประวัติศาสตร์ทั้งหมดข้ามยุคสมัยด้วย”
หลิวเยว่ยังคงไม่ตอบเช่นเดิม แต่จ้องไปยังรูปถ่ายใบหนึ่งด้วยความเหม่อลอย มันคือปิ่นหยกขาวรูปดอกโบตั๋น ทั่วทั้งชิ้นโปร่งแสง ดอกโบตั๋นบานสะพรั่ง ปลายกลีบทุกกลีบถูกสลักด้วยตัวอักษรเล็กๆ หกตัว ราวกับว่ามันเติบโตขึ้นมาเป็ระลอกคลื่นบนดอกโบตั๋น
โจวเฉิงิสังเกตเห็นสายตาของเธอ จึงเอ่ยแนะนำ
“ความเป็มาของปิ่นอันนี้ ตำนานบอกไว้ว่า เมื่อปีนั้น ฮ่องเต้หวงอี๋แห่งราชวงศ์ทงสร้างปิ่นชิ้นนี้ขึ้นมาเพื่อสตรีที่พระองค์ทรงรักมาก และสลักชื่อของสตรีผู้นั้นเอาไว้ในแต่ละกลีบอย่างพิถีพิถัน ในโลกนี้มีเพียงชิ้นเดียว มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในตอนนั้นหลังจากสร้างเสร็จ ฮ่องเต้หวงอี๋ทรงเกรงว่ามันจะไม่ชุ่มชื้นหรือเรียบลื่นพอ ดังนั้นจึงลูบมันบนฝ่ามือทุกวัน กระทั่งมันนุ่มลื่น และเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ถึงได้ส่งให้สตรีคนนั้น เขาม้วนผมของนางและปักมันเข้ากับมวยผมของนางกับมือ”
“ท่านไต้ซืออู๋เซวียนบอกเื่เล่านี้กับฉัน แต่ฉันก็ยังสงสัยอยู่ดี ลองคิดดูนะ ฮ่องเต้หวงอี๋แห่งราชวงศ์ทง เป็ฮ่องเต้ที่ผู้คนชอบถกเถียงถึงกันมากที่สุดจนมาถึงปัจจุบัน ตอนเขาครองราชย์ ผลงานที่ทำเพื่อราษฎรนั้นไม่มีสิ่งใดน่าสงสัยเลยสักนิด สมัยราชวงศ์ทง ใต้หล้าสงบสุข แผ่นดินเจริญรุ่งเรือง ชาวบ้านไม่ต้องปิดประตูก็นอนหลับได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็เป็ทรราชผู้โเี้สังหารคนเหมือนเมล็ดงา สั่งปะาขุนนางและเครือญาติของตนไปไม่รู้ตั้งเท่าไร?”
“ดังนั้น หลิวเยว่ เ้าว่าฮ่องเต้เช่นนี้จะหวั่นไหวกับผู้หญิงคนไหนได้จริงๆ หรือ อีกอย่างใช้ความคิดเช่นนี้อย่างนั้นหรือ? ไม่รู้ว่าไต้ซืออู๋เซวียนไปเอาเื่นี้มาจากไหน ฉันว่าส่วนใหญ่เป็ประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เป็ทางการ”
“หรืออาจจะเป็เื่จริง” หลิวเยว่ตอบกลับอย่างเ็า เธอไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกหายใจลำบากขึ้นมา จนน้ำตาแทบไหล
เมื่อเห็นปิ่นหยกขาวรูปโบตั๋นนั่น เธอก็รู้สึกคุ้นเคย มีสองประโยคที่อธิบายไม่ถูกปรากฏขึ้นในใจของเธอ
คือเสียงอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความรักของบุรุษคนนั้น
“อาซี มา ให้ข้าปักปิ่นให้เ้านะ”
และเสียงของสตรีที่น่าหวาดกลัว
“เจินลิ่วซี ปิ่นสลักชื่อของเ้าปักเข้ามาในอกของข้า เ้าคิดว่าเขาจะยังเชื่อว่าเ้าไร้เดียงสาอยู่หรือไม่?”
คำพูดเหล่านี้เหมือนจะเกิดขึ้นคนละเวลา คนละสถานที่ เสียงต่างๆ มากมายดังกระแทกเข้ามาในหูของเธอ ทั้งที่มันเป็แค่จินตนาการ แต่กลับเหมือนเป็เื่จริง เหมือนว่าคนพวกนั้นพูดคุยกับเธอจริงๆ
หลังจากโจวเฉิงิพูดพล่ามไปพักใหญ่ เขาจึงกลับมาจริงจัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หลิวเยว่ พวกเราต้องไปลาซ่า ไปหาไต้ซืออู๋เซวียน ไปซ่อมแซมประวัติศาสตร์ที่ “ไม่สมบูรณ์” โปรเจกต์นี้ใหญ่มาก บางทีอาจจะไม่ได้กลับมาเป็ปี เธอไปได้ไหม”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”
เขาคุ้นชินกับการที่หลิวเยว่ใช้คำน้อยเหมือนมันมีค่าดั่งทองแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจกับคำตอบมากนัก
“สภาพแวดล้อมที่นั่นมันลำบาก”
“ไป”
หลิวเยว่ปิดอีเมล์ และปิดคอมพิวเตอร์ เพียงคำเดียวก็แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจว่าจะเดินทางไปลาซ่าที่ห่างออกไปหลายพันไมล์ เพื่อไปพบกับประวัติศาสตร์ที่ไม่สมบูรณ์ชุดนั้น
ภาพเหล่านี้ มันดึงดูดความสนใจของเธอได้มาก
เพียงแค่สองวัน เธอก็มายืนอยู่ใต้ผืนฟ้าของลาซ่าแล้ว เหนือศีรษะของเธอคือท้องฟ้าสีคราม บริสุทธิ์ สว่าง และไม่มีฝุ่นสักนิด เบื้องหน้าคือพระราชวังโปตาลาสูงใหญ่ตั้งตระหง่าน องอาจและเคร่งขรึม ยอดหอคอยถูกกลุ่มก้อนเมฆลอยปกคลุม
โจวเฉิงิต้องบินไปที่อิตาลีก่อนเพราะมีธุระต้องจัดการ ทำให้เธอต้องมาคนเดียว เธอยังคงสวมชุดเรียบง่ายแต่ดูสง่า ผมยาวสลวยถูกรวบแบบหลวมๆ ไว้ด้านหลังศีรษะด้วยปิ่นปักผม ด้านหลังของเธอสะพายเป้ และลากกล่องสีดำใบใหญ่ ในกล่องนั้นเป็อุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็สำหรับงานของเธอ
คนที่มารอต้อนรับเธอคือลูกศิษย์ของไต้ซืออู๋เซวียน เมื่อเขามองเห็นเธอ ก็เข้ามาต้อนรับเธออย่างอบอุ่น
“สวัสดีครับ เชิญทางนี้เลย ท่านไต้ซืออู๋เซวียนรอนานแล้ว”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
เธอเดินตามหลังเขาไป เดินขึ้นบันไดทีละขั้น และเดินอ้อมไปยังระเบียงทางเดินที่สลับซับซ้อน ผนังทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยภาพวาดสีสันสดใสและลวดลายแกะสลักที่งดงาม ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไร กลิ่นอายของศาสนายิ่งโอบล้อมตัวเธอหนาแน่นเท่านั้น
เดินตรงไปจนสุดทาง ได้ยินเพียงเสียงนกร้องจิ๊บๆ กระทั่งเสียงลมที่พัดผ่านห้องโถงก็ยังได้ยิน กลิ่นไม้กฤษณาค่อยๆ โชยเข้าจมูก ลูกศิษย์คนนั้นหยุดเดินแล้วหันมาพูดกับเธอ
“เชิญเข้าไปเลยครับ”
เธอพยักหน้า ก่อนผลักประตูเข้าไป และมองเห็นไต้ซืออู๋เซวียน เขากำลังนั่งขัดสมาธิและหลับตาอยู่บนฟูก ไม่ได้สวมผ้ากาสาวพัสตร์ [1] แต่เป็ชุดนักบวชธรรมดา แม้จะนั่งอยู่ก็ยังดูสงบราวกับเมฆเหินน้ำไหล
ในห้องโถงที่มีกลิ่นอายโบราณ รอบข้างรายล้อมไปด้วยกลิ่นของเครื่องหอม ทำให้ผู้คนรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน และทำไมถึงมาที่นี่
หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิตรงหน้าไต้ซืออู๋เซวียน ก้มคำนับเขาด้วยความศรัทธา จากนั้นจึงค่อยๆ เงยหน้ามองเขา แววตาแจ่มใสชัดเจน ไต้ซืออู๋เซวียนลุกขึ้น ขณะที่ชายเสื้อปลิวไสวนั้น ราวกับมีกลิ่นหอมจางๆ โชยเข้าจมูกของเธอ เป็กลิ่นที่คุ้นเคยมากๆ ไม่ทำให้เธอแสบจมูก แต่กลับนึกไม่ออกว่าเธอเคยได้กลิ่นนี้จากที่ไหน
“โยม เชิญตามอาตมามา”
ไต้ซืออู๋เซวียนนำทางเธอมาที่อีกห้อง วางกล่องไม้จันทน์ไว้ตรงหน้าเธอ
“โยมลองดูสิ ของโบราณเหล่านี้มีกี่ชิ้นที่จำเป็ต้องซ่อมแซม”
สิ่งของที่วางอยู่ในกล่องนี้คือภาพ “ประวัติศาสตร์ที่ไม่สมบูรณ์” ที่เธอเห็นก่อนหน้านี้ ตอนที่เห็นภาพตอนนั้น เพียงแค่รู้สึกชื่นชมที่ในโลกนี้ยังสามารถอนุรักษ์ของโบราณเหล่านี้ไว้ได้
แต่เมื่อของโบราณเหล่านี้มาอยู่ตรงหน้าของเธอ หัวใจของเธอพลันเต้นแรง รู้สึกแสบรื้นที่ขอบตาอย่างควบคุมได้ยาก หลายปีมาแล้วที่เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ไม่เคยมีอารมณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ มันกลับควบคุมไม่ได้ ราวกับว่าของพวกนี้เป็ของเธอ มันเป็ของเธอ หัวใจของเธอรู้สึกว่างเปล่ามาก ราวกับว่าเธอได้สูญเสียของที่สำคัญอย่างมากไป แต่คิดไม่ออก จับต้องไม่ได้
ไต้ซืออู๋เซวียนยืนอยู่ข้างๆ อย่างสงบ แทบไม่รู้สึกถึงอารมณ์ใดๆ ของเขาเลย แต่ตอนที่น้ำตาของหลิวเยว่กำลังไหล เขากลับยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์มาให้ ใต้ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ปักลายดอกแพนซี่เล็กๆ ไว้หนึ่งดอก
“ขอบคุณค่ะ”
เธอรับผ้าเช็ดหน้ามา พลันได้นึกขึ้นได้ว่ากลิ่นหอมจางๆ บนตัวของไต้ซืออู๋เซวียนคือกลิ่นดอกแพนซี่
หลิวเยว่สวมถุงมือ และหยิบหวีไม้ขึ้นมา ตรงกลางฟันหักไปหนึ่งซี่ เธอถูมันไปพลางถอนหายใจเบาๆ
“ความไม่สมบูรณ์ก็คือความงามแบบหนึ่ง ฉันไม่แนะนำให้ซ่อมแซมมัน แม้ว่าจะซ่อมมันให้เหมือนเดิม แต่ในทุกความไม่สมบูรณ์อาจซ่อนเื่ราวที่น่าสังเวชแต่งดงามเอาไว้ก็ได้”
“ความไม่สมบูรณ์ก็คือความงาม? ซ่อนเื่ราวเอาไว้?” ไต้ซืออู๋เซวียนเอ่ยทวนซ้ำ จับจ้องไปที่หลิวเยว่ สายตานั้นราวกับห่างไกลจากปัจจุบัน ดูกระจ่างใส สุดท้ายก็กล่าวว่า
“อือ เช่นนั้นก็ไม่ซ่อมแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] ผ้ากาสาวพัสตร์ เป็ผ้าเหลืองสำหรับภิกษุ