หลินเฟิงควบม้าตรงไปหาจิวชื่อเซวี่ย และกล่าวว่า “ผู้บัญชาการ”
“หลินเฟิง ตอนนี้ข้าได้มอบตำแหน่งให้กับเ้า เ้าก็เป็หนึ่งในกองกำลังทหารม้าโลหิต ในกองทัพเ้าสามารถทำอะไรก็ได้ หากเจอสถานการณ์คับขัน เ้าก็มีอำนาจในการตัดสินใจได้ อย่างไรก็ตามพวกเ้าทั้งสองต้องกลับมา ไม่อย่างนั้นเมื่อพวกเ้าไปแล้วตำแหน่งผู้บังคับกองพันก็จะว่าง”
จิวชื่อเซวี่ยกล่าวขณะชี้ไปที่หานหมานและพั่วจวินที่อยู่ด้านหลังหลินเฟิง
“ท่านแม่ทัพ นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราสามารถเข้าร่วมหน่วยดาบนภาโลหิตได้หรือขอรับ?” หานหมานกล่าวอย่างคาดหวัง หากเขาได้ต่อสู้เคียงข้างหลินเฟิงล่ะก็ ไม่ว่าตำแหน่งใดเขาก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น
“ไม่ ตอนนี้พวกเ้าทั้งสองต้องกลับไปยังหน่วยของเ้าก่อน”
จิวชื่อเซวี่ยกล่าว หานหมานและพั่วจวินจึงยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
กล่าวจบทั้งสองก็ส่งยิ้มแห้งๆ ให้หลินเฟิง จากนั้นก็กลับไปยังหน่วยของตัวเองทันที
“หลินเฟิง ตอนนี้ข้ายังต้องพึ่งพาพวกเขาทั้งสองคน แต่อีกไม่นานพวกเขาก็จะได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเ้า” จิวชื่อเซวี่ยกล่าวเสียงเบา แล้วกล่าวต่อทันที “เ้าไปได้แล้ว”
“ขอรับ” หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยและเดินออกไป
“หลินเฟิง”
ในขณะนั้นได้มีเสียงใสและหนักแน่นเรียกหลินเฟิง เมื่อเขาหันไปมองตามเสียงก็เห็นต้วนซินเยี่ยกำลังโบกมือให้เขา
“พวกเ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน” หลินเฟิงกล่าวกับป้าเตาและคนอื่นๆ แล้วไปหาองค์หญิงก่อนถามว่า “องค์หญิงมีปัญหาอะไรหรือเปล่าขอรับ?”
“ต้องมีปัญหาถึงเรียกหาเ้าได้หรือ? เ้าเป็องครักษ์ส่วนตัวของข้านะ”
ต้วนซินเยี่ยกล่าวขณะยิ้มอย่างอ่อนโยน ทำให้หลินเฟิงไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี
“หลินเฟิง เ้าตามข้าไปที่กระโจมหน่อยสิ คราวนี้ข้าจะให้ชิวเฉ่าอยู่ด้วย เ้าสามารถพูดคุยเป็เพื่อนข้าได้นะ”
ต้วนซินเยี่ยกล่าวอีกครั้ง แต่หลินเฟิงกลับเงียบ
“เ้าไม่ชอบหรือ? งั้นก็ช่างเถอะ เ้ากลับไปได้แล้ว”
ต้วนซินเยี่ยกล่าวเมื่อเห็นหลินเฟิงยังคงนิ่งเงียบเช่นนั้น แม้นางจะผิดหวังแต่ก็พยายามยิ้มออกมา
หลินเฟิงหันหัวม้าและควบออกไป ฉากนี้ทำให้ต้วนซินเยี่ยถึงกับต้องกัดริมปากแน่น คาดไม่ถึงว่าเธอจะรู้สึกปวดร้าวถึงเพียงนี้ ั้แ่เล็กจนโตนางยังไม่เคยถูกใครปฏิเสธมาก่อน แม้แต่ชายหนุ่มรูปงามในเมืองหลวงนางก็ไม่เคยชายตามอง แต่หลินเฟิง ทำให้นางเกิดความรู้สึกดีๆ ด้วยแต่ครั้งแรก ในครานางถึงกับรวบรวมความกล้าพูดออกไป แต่กลับถูกเขาปฏิเสธกลับมา
“พวกเ้ากลับไปที่กระโจมก่อนเถอะ”
หลังจากหลินเฟิงกล่าวกับสหายของเขาแล้วก็หันหัวม้ากลับมา ต้วนซินเยี่ยเห็นดังนั้นรอยยิ้มอ่อนโยนก็ปรากฏบนใบหน้า ความโศกเศร้าเมื่อคู่จึงถูกแทนที่ด้วยความสุข
ที่แท้หลินเฟิงก็ไม่ได้ปฏิเสธนาง เขาเพียงแค่สั่งให้หน่วยของเขากลับไป
“องค์หญิง”
หลินเฟิงกล่าวขณะกลับไปหาต้วนซินเยี่ย
“ไปกันเถอะ”
เส้นผมของต้วนซินเยี่ยพลิ้วไหวไปตามลมขณะควบม้า ในขณะนั้นมีทหารกำลังติดตามนางจำนวนหนึ่ง หลินเฟิงก็ติดตามนางอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ได้รู้สึกถึงสายตาชั่วร้ายที่กำลังมองเขาอยู่
“หึ”
คนที่อยู่ข้างๆ หลิ่วชั่งหลันพึมพำออกมา ทำให้หลิ่วชั่งหลันต้องประหลาดใจ เขาหันหน้ามามองหลิ่วเฟยและกล่าวว่า “เฟยเฟย เ้าต้องแสดงท่าทีให้ดีกว่านี้อีกสิ”
“แล้วข้าต้องแสดงยังไง?”
หลิ่วเฟยกัดฟันกล่าวอย่างเจ็บใจจากนั้นก็ควบม้าจากไปทันที นางกำลังสาปส่งหลินเฟิงอยู่ในใจ
“ท่านแม่ทัพ ดูเหมือนว่าองค์หญิงซินเยี่ยจะสนใจหลินเฟิงมาก ในอนาคตนางอาจกลายเป็คู่แข่งของเฟยเฟย”
จิวชื่อเซวี่ยพูดเสียงเบา ชายชราเหล่านี้นึกโกรธองค์หญิงเล็กน้อย พวกเขาสังเกตเห็นว่าองค์หญิงต้วนซินเยี่ยไม่ได้มองหลินเฟิงแบบเดียวกับที่มองคนอื่น
ต้วนซินเยี่ยมักจะยิ้มให้กับคนอื่นๆ อย่างอ่อนโยน แต่เมื่อนางยิ้มให้หลินเฟิงแล้ว มันกลับนุ่มนวลและอ่อนหวานกว่ามาก
รักครั้งแรกมักทำให้หญิงสาวรู้สึกอ่อนไหวดุจสายน้ำ เหมือนกับหลิ่วเฟยในตอนนี้ที่ไม่อาจปิดซ่อนความรู้สึกในดวงตาได้
หลิ่วชั่งหลันยิ้มอย่างขมขื่นขณะส่ายหัว เขามองตามร่างเงาที่กำลังควบม้าจากไป แม้ร่างเงานี้ก็กำลังสวมชุดเกราะที่ดูองอาจ แต่หลิ่วชั่งหลันไม่อาจลืมได้ว่าภายใต้ชุดเกราะนั้น เป็ร่างอันศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์จนน่าประหลาดใจ
…
ภายในกระโจมของต้วนซินเยี่ยได้ตกแต่งอย่างเรียบง่าย แม้จะไม่หรูหรามากนัก แต่ก็สะอาดและเป็ระเบียบ ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ
ในขณะนั้น หลินเฟิงและต้วนซินเยี่ยกำลังนั่งอยู่ที่พื้น ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนมีเพียงโต๊ะไม้คั่นกลางตัวหนึ่ง
“องค์หญิง นายน้อยหลินเฟิง ชาพร้อมแล้วเ้าค่ะ”
ชิวเฉ่ายกถ้วยชาสองแก้วเดินมาช้าๆ เมื่อมาถึงด้านหน้าต้วนซินเยี่ยและหลินเฟิงแล้ว นางก็วางชาตรงหน้าพวกเขาอย่างนอบน้อม
หลินเฟิงหยิบถ้วยชาขึ้นมาขณะยิ้มให้ชิวเฉ่าพลางกล่าวว่า “แม่นางชิวเฉ่า ไม่จำเป็ต้องมากพิธีเช่นนี้”
เมื่อได้รับการดูแลเป็พิเศษเช่นนี้ ทำให้หลินเฟิงไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไร
“นายน้อยหลินเฟิง ท่านเป็แขกขององค์หญิง ย่อมเป็หน้าที่ของข้าอยู่แล้วที่ต้องปฏิบัติเช่นนี้เ้าค่ะ”
ชิวเฉ่ากล่าวพร้อมรอยยิ้มละไม ลักยิ้ม 2 ข้างปรากฏที่ข้างแก้มของนาง ทำให้นางยิ่งดูน่ารักน่ามอง อายุของนางน่าจะประมาณ 15-16 ปี
หลินเฟิงเพียงยิ้มกลับไปเท่านั้น ไม่พูดอะไรให้มากความ ในความเป็จริงแล้วชิวเฉ่าแค่เป็ทาส แต่ที่สามารถมาอยู่ข้างกายองค์หญิงได้ถือว่าโชคดีเป็อย่างมาก นอกจากนี้ต้วนซินเยี่ยก็ดูแลนางเป็อย่างดี ทำให้ชิวเฉ่าก็เคารพต้วนซินเยี่ยจากใจจริง โดยไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ
“องค์หญิง สนามรบมันเป็สถานที่ที่อันตราย ทำไมท่านถึง้ามาที่นี่หรือขอรับ?”
หลินเฟิงถามอย่างสงสัย ว่ามีเหตุผลอะไรที่องค์หญิงอย่างนางต้องมายังสนามรบแห่งนี้ด้วย
“ข้าอยู่ในพระราชวังมานาน ได้แต่ทอดถอนใจไปวันๆ ข้าจึงอยากออกมาเห็นโลกภายนอกบ้าง จึงตัดสินใจตามมาสนามรบเพื่อมาดูความกล้าหาญของเหล่านักรบด้วยสายตาของตนเอง” ต้วนซินเยี่ยกล่าวเสียงเบาทั้งรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
ขณะที่ใครหลายคนต่างเฝ้าฝันอยากใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายอยู่ในพระราชวังอันศักดิ์สิทธิ์ แต่บางคนที่อาศัยอยู่ในนั้นมานานกลับรู้สึกเหมือนถูกล่ามโซ่เอาไว้ จึงอยากออกมาเดินเล่นบ้าง เช่นเดียวกับต้วนซินเยี่ย
“หลินเฟิง เ้าชอบฟังเพลงพิณไหม?” จู่ๆ ต้วนซินเยี่ยก็กล่าวถาม หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยเป็คำตอบ “ชอบ”
“งั้นข้าจะบรรเลงพิณให้เ้าฟัง”
เมื่อต้วนซินเยี่ยเห็นหลินเฟิงพยักหน้า นางจึงเผยรอยยิ้มตื่นเต้นออกมา ในขณะนั้นชิวเฉ่าก็ได้นำกู่เจิงมาวางไว้บนโต๊ะไม้แล้วเก็บของที่ไม่จำเป็ออกไป
ต้วนซินเยี่ยคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะวางมือทั้งสองข้างของนางไว้บนพิณและเริ่มบรรเลงอย่างช้าๆ
สายตาของหลินเฟิงมองต้วนซินเยี่ยไม่ขยับ ตอนนี้นางดูสง่างามอย่างมาก ยามที่นางเงยหน้าขึ้นมาในบางครั้งและยิ้มให้ มันช่างน่าหลงใหลมาก นางได้ละทิ้งตัวตนของนางและบรรเลงพิณอย่างสง่าผ่าเผย ซึ่งมันก็เพียงพอที่จะทำให้ชายหลายคนต้องตกหลุมรักนาง
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมลูกหลานชนชั้นสูงถึง้าแต่งงานกับองค์หญิง หญิงสาวที่งดงามเช่นนาง ผู้สถานะองค์หญิงและมีจิติญญาทางสายเื สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ชายหนุ่มส่วนใหญ่ต้องตาลุกวาวได้ไม่ยาก
เพลงทั้งต้วนซินเยี่ยบรรเลงนั้น ทั้งนุ่มนวล สงบ ซึ่งทำให้หลินเฟิงจินตนาการถึงกระแสน้ำในหุบเขาที่ไหลผ่านป่าไผ่
ผู้ที่มีความรู้ในเพลงพิณจะสามารถบอกถึงลักษณะนิสัยของบุคคลได้อย่างง่ายดาย เมื่อพวกเขาได้ฟังเสียงพิณ สำหรับต้วนซินเยี่ยแล้ว นางเปรียบได้กับสายน้ำที่ใสสะอาดในฤดูใบไม้ผลิที่ไหลมาตามูเา ในขณะเดียวกันความงดงามของนางก็ราวกับดอกกล้วยไม้ที่อยู่ใจกลางหุบเขาอย่างสงบ
หลินเฟิงค่อยๆ หลับตาลงจิบชาขณะฟังเสียงธรรมชาติที่สวยงามและเสียงพิณที่กำลังบรรเลง สิ่งแวดล้อมเหล่านี้ทำให้จิตใจของเขาสงบขึ้น ความวิตกกังวลพลันสลายไป เขาเพียงเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงพิณเท่านั้น
ต้วนซินเยี่ยเงยหน้าขึ้น เห็นหลินเฟิงกำลังหลับตาอยู่ ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของนางเริ่มอ่อนหวานยิ่งกว่าเดิม
ภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงัดในกระโจมหลังนี้ มีเพียงเสียงบรรเลงพิณเท่านั้นที่ดังอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามขณะที่หลินเฟิงกำลังหลับตาอยู่จู่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา เขารู้สึกคล้ายหัวใจกำลังกระตุกวูบ
เขาลืมตาขึ้นฉับพลัน เผยดวงตาสีเทาคู่สวยให้ปรากฏ ทุกอย่างรอบตัวหลินเฟิงกลายเป็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลินเฟิงหันไปทางด้านหนึ่งและแทงกริชออกไปโดยไม่ลังเล
“พั่บ!”
มีเสียงแหลมดังขึ้นเมื่อกริชตัดผ่านลูกศรกลางอากาศ ซึ่งเกือบเฉียดแก้มของหลินเฟิง
เกิดสายลมโหมกระหน่ำรุนแรง จนผ้าม่านกระโจมโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง ขณะนี้หลินเฟิงรู้สึกได้ถึงอันตรายที่ย่างกรายเข้ามา
หลินเฟิงยกกริชขึ้นต้านอีกครั้งเพราะรู้สึกถึงดาบที่กำลังฟาดฟันลงมา หลินเฟิงแทงกริชไปข้างหน้า แต่มันก็ไม่มีอะไร
“ฟิ้ว ฟิ้ว!” กริชได้แทงไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินเฟิงใคือ มือขวาของอีกฝ่ายที่ใช้ป้องกันกริชของเขาเอาไว้ ในขณะเดียวกันเขาก็ใช้มือซ้ายขว้างลูกศรออกไป มันพุ่งไปหาต้วนซินเยี่ยที่อยู่ด้านหลังหลินเฟิง
การกระทำทั้งหมดเกิดเพียงชั่วพริบตารวดเร็วราวกับฟ้าผ่า อีกฝ่ายแม้กระทั่งชีวิตของตัวเองก็ไม่สนใจ
“นักฆ่า!”
หัวใจของหลินเฟิงกำลังเต้นระรัว ลูกศรที่อีกฝ่ายขว้างออกไปมันรวดเร็วเกินไป แม้หลินเฟิงจะเร่งมาแค่ไหนมันก็สายไปแล้ว เขาจึงปลดปล่อยลมปราณเพื่อขัดขวาง
หากหยุดลูกศรไว้ไม่ทันเวลาล่ะก็ ป่านนี้ต้วนซินเยี่ยคงตายไปแล้ว
อย่างน้อยนักฆ่าคนนี้ต้องอยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 ด้วยชีวิตแลกชีวิตเขาจึงปาลูกศรออกไป ช่างเป็วิธีที่เหี้ยมโหดยิ่งนัก