เรือค่อยๆ ล่องไปเบื้องหน้า บรรยากาศยังคงสนุกสนานร่าเริงเหมือนเดิม
แต่ทุกคนต่างก็รู้กันว่าพวกเขาเป็มิตรกันเบื้องแค่เพียงหน้าเท่านั้น
ฮวาเชียนจือคิดว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของตนเองแล้วในขณะที่เซียวซู่ซู่กำลังคิดหาแผนการรับมืออย่างยากลำบากนางไม่อยากที่จะสูญเสียทุกอย่างในตอนนี้ไปแต่ก็ไม่อยากจะทำให้สกุลเซียวเดือดร้อนด้วย
เพราะฉะนั้น เวลานี้นางจึงรู้สึกเ็ปอยู่ไม่น้อย
เซียวเอินเองก็มองออกแต่กลับไม่รู้จะเอ่ยเช่นไรออกมาดี เขามิใช่คนที่มุทะลุ เพราะฉะนั้นเื่นี้เขาคิดว่าจะกลับไปปรึกษากับฮูหยินเฒ่าเซียวมี่จะเหมาะสมมากกว่า
ทางสวี่เว่ยหรานก็กำลังชื่นชมดอกบัวพร้อมกับหญิงงามจำนวนมาก แต่ก็มักจะหันไปมองทางเซียวซู่ซู่อยู่บ่อยครั้งเขาอยากจะหาโอกาสพูดคุยกับนาง แต่กลับถูกหญิงสาวเหล่านี้ห้อมล้อมไว้โดยตลอดถ้าหากมิใช่เพราะฮวาเชียนเย่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเขาก็คงจะไม่รักษาภาพลักษณ์จอมปลอมนี้ของตนต่อเป็แน่
แต่ว่ามิเพียงมีฮวาเชียนเย่อยู่เซียวซู่ซู่เองก็อยู่ที่นี่ด้วย
ภาพลักษณ์ขององค์ชายผู้มีจิตเมตตาที่เขาสร้างมาเป็เวลาหลายปีนี้จะพังทลายลงไม่ได้เพราะฉะนั้นจึงได้แต่อยู่เป็เพื่อนสาวงามเหล่านี้อย่างใจดี อีกทั้งความรู้สึกที่ถูกสาวงามห้อมล้อมนั้นก็ไม่เลวเลย บางคนอยากจะมีโอกาสเช่นนี้ยังไม่อาจมีได้เสียด้วยซ้ำ
เป็ที่รู้กันว่าสตรีของแคว้นป่ายฮวามิใช่พวกที่มีดีแต่รูปโฉมสตรีของที่นี่แม้จะเป็เพียงสามัญชนทั่วไปก็ยังมีความสามารถมากกว่าสตรีของทั้งสองแคว้นมากนัก เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็สังคมที่สตรีเป็ใหญ่
ฮวาเชียนเย่ปลีกตัวออกจากสาวงานทั้งหลายได้และมานั่งอยู่ข้างกายเซียวซู่ซู่ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งพิษภัยโครงหน้าก็มีความอ่อนโยนอยู่หลายส่วนแต่ที่มีมากกว่าคือความเ้าเล่ห์ถึงกระนั้นก็ยังดูหล่อเหลาน่ามองเป็อย่างมาก
ด้วยรูปโฉมของเขาแล้วถือว่าสมบูรณ์แบบมากสำหรับบุรุษของแคว้นป่ายฮวา
“คุณหนูเล็กสกุลเซียวเชี่ยวชาญด้านการดีดพิณมิสู้บรรเลงสักเพลงดีหรือไม่?” น้ำเสียงของฮวาเชียนเย่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเสมือนกำลังเอ่ยขอความคิดเห็นของนางอยู่
ในแววตายิ่งอ่อนโยนนุ่มนวลดุจผิวน้ำ
เขามองไปทางเซียวซู่ซู่ด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
ความจริงแล้วด้วยฐานะของเขาฮวาเชียนเย่ต่อให้เป็บุรุษก็ไม่จำเป็ต้องประพฤติตัวเช่นนี้ต่อเซียวซู่ซู่ แต่เขาไม่อยากให้เซียวซู่ซู่รู้สึกว่าตัวเขามีตำแหน่งสูงส่งจึงได้ทำตัวถ่อมตนและวางตัวเช่นนี้
เขารู้ว่าเมื่อครู่ไม่ว่าฮวาเชียนจือจะใช้วิธีอันใดก็ได้ข่มขู่หรือซื้อใจเซียวซู่ซู่ไปได้สำเร็จแล้วการที่เขามาเอาตอนนี้ถือว่าช้าไปก้าวหนึ่ง
แม้ว่าเขาจะไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แต่ก็ไม่คิดอยากจะปล่อยมือให้มีการพัฒนาอย่างอื่นต่อไปได้ จำเป็ต้องลงมือบางอย่าง
เซียวซู่ซู่เห็นฮวาเชียนเย่ทำเช่นนี้ทำให้ไม่สามารถหาเหตุผลปฏิเสธได้ทว่านางยังคงเลิกตาขึ้นมองไปทางฮวาเชียนจือแวบหนึ่ง
ความเกลียดชังที่นางมีต่อสตรีผู้นี้ยังคงอยู่ตลอดอีกทั้งยังบวกกับการข่มขู่เมื่อครู่ของนางเซียวซู่ซู่ยิ่งเห็นนางเป็เหมือนหนามในอก ความเกลียดชังยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น
“ได้ยินว่าองค์หญิงเองก็เป็สตรีมากความสามารถที่โด่งดังของต้าเยียนมิทราบว่าพระองค์จะยอมร่วมแสดงกับหม่อมฉันได้หรือไม่?” เซียวซู่ซู่มิอาจปฏิเสธฮวาเชียนเย่ได้และยิ่งไม่อยากจะมีปัญหากับเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดในครานี้
เช่นนั้นสกุลเซียวยิ่งไม่มีทางถอยกลับแล้ว
“จะร่วมอย่างไร?”ความหยิ่งทะนงของฮวาเชียนจือได้ปรากฎบนใบหน้าขึ้นอีกครั้งแม้ว่าต้าเยียนจะมีซูเมิ่งหรู และนางเองก็ไม่ได้อยู่ติดอัมดับแต่ว่านางไม่เคยรู้สึกว่าตนพ่ายแพ้ต่อสตรีคนนั้น เพียงแต่ว่าหาได้มีโอกาสแข่งขันเฉกเช่นงานชมดอกฉยงฮวาเท่านั้น
“หม่อมฉันบรรเลงดนตรีองค์หญิงทำการร่ายรำ” ตอนนี้เซียวซู่ซู่เองก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาราบเรียบ มิได้มีอารมณ์ใดๆ
“ดีเลย ข้าว่าฝีมือร่ายรำของน้องข้าจะต้องดีที่สุดในแคว้นป่ายฮวาเป็แน่”ฮวาเชียนเย่กลับเอ่ยขัดขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างได้เวลา
เดิมฮวาเชียนจือคิดว่าจะให้เซียวซู่ซู่ร่ายรำและตนบรรเลงดนตรีเพราะถึงอย่างไรเสียการร่ายรำต่อหน้าคุณหนูตระกูลผู้ดีเหล่านี้ก็ถือเป็การลดฐานะของตน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฮวาเชียนเย่จะเอ่ยสนับสนุนเช่นนี้
นางลอบกัดฟันแน่นฮวาเชียนจือในตอนนี้มิกล้าทำตัวเป็ปรปักษ์กับเสด็จพี่ผู้นี้ของตนอย่างเปิดเผยนางจึงได้แต่แกล้งทำเป็ยิ้มๆ พลางพยักหน้าเบาๆ “เสด็จพี่ชมเกินไปแล้ว”
นางหันไปจ้องเซียวซู่ซู่แวบหนึ่งในแววตานั้นเต็มไปด้วยการตักเตือน อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความหมายว่า แล้วเราจะได้เห็นดีกันอีกด้วย
เซียวซู่ซู่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพลางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยท่าทางสบายๆ
เซียวเอินในตอนนี้กลับกระตุกมุมปากขึ้นเป็รอยยิ้มก่อนจะหันไปสบสายตากับเซียวซู่ซู่แวบหนึ่ง สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มซุกซนของเซียวซู่ซู่อีกทั้งนางยังแลบลิ้นของตนออกมาด้วยท่าทางซุกซน ขี้เล่น แน่นอนว่านางมิใช่คนที่เสียเปรียบ
ตอนนี้ถึงเวลาจะทำให้ฮวาเชียนจือต้องตกที่นั่งลำบากแล้ว
ยังดีที่ฮวาเชียนเย่ผู้นี้รู้จักประพฤติตนเป็อย่างมากคิดอยากจะดึงเซียวซู่ซู่มาเป็พวกก็จำเป็ต้องแสดงความจริงใจเสียหน่อยซึ่งตอนนี้เขาทำได้ดีมาก
เซียวซู่ซู่รับเอาพิณโบราณที่ฮวาเชียนเย่ยื่นมาให้นิ้วมือเรียวยาวลากผ่านตัวพิณเบาๆ ในแววตามีประกายระยิบระยับปรากฎขึ้นจากความรอบรู้เื่พิณของนางแค่ดูก็รู้แล้วว่าพิณคันนี้ถือว่าเป็พิณคุณภาพดีเยี่ยม
แน่นอนว่านางรู้สึกชื่นชอบจนไม่คิดอยากจะปล่อยมือ เจียวเหว่ยของม่อเวิ่นเฉินในชาติก่อนยังมิทำให้นางสนใจได้ถึงเพียงนี้
หลังจากที่มือของเซียวซู่ซู่ค่อยๆลากผ่านตัวพิณเบาๆ แล้วหญิงสาวที่โอบล้อมสวี่เว่ยหรานอยู่นั้นก็ถูกดึงดูดความสนใจด้วยเช่นกันทางสวี่เว่ยหรานยิ่งหันมามองทางนี้พลางขมวดคิ้วของตนเบาๆ
เสียงพิณเริ่มบรรเลงประกอบกับท่วงท่าร่ายรำของฮวาเชียนจือที่เริ่มขึ้นเช่นกัน
ที่แคว้นป่ายฮวาสตรีไม่มีตัวอย่างการออกมาแสดงร่ายรำมาก่อนต่อให้เป็งานชมดอกฉยงฮวาก็ไม่มีการแข่งขันร่ายรำ ตอนนี้องค์หญิงทำการร่ายรำด้วยตนเองแน่นอนว่าทำให้คนจำนวนมากอดที่จะรู้สึกประหลาดใจมิได้
ตอนนี้สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปทางฮวาเชียนจือที่กำลังร่ายรำอยู่ถึงขั้นที่ทุกคนต่างก็มองข้ามเสียงพิณของเซียวซู่ซู่ไปต่อให้เป็เสียงเพลงที่ไพเราะเพียงใด ตอนนี้ก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจของผู้คนได้
แน่นอนว่าฮวาเชียนเย่และสวี่เว่ยหรานยังคงนิ่งเฉยเป็อย่างมาก พวกเขาทำเพียงแค่มองดูอยู่เงียบๆด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งไม่มีท่าทางแห่งความประหลาดใจ
เสียงพิณบรรเลงควบคู่ไปกับการร่ายรำขณะที่เรือก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไป เสียงพิณก้องกังวานไปไกล ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายล้วนหันศีรษะมามองทางนี้
เมื่อรู้ว่าเป็เรือของราชสำนักพวกเขาก็หดศีรษะกลับไปด้วยเกรงว่าจะนำภัยมาสู่ตน ทว่ากลับมีเรืออยู่ลำหนึ่งมิได้ห่างออกไปไกลนัก อีกทั้งยังค่อยๆ เข้าใกล้พวกเขาขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งเสียงพิณดังก้องอยู่ข้างหู
คนทั้งสองบนเรือจึงหันมาสบตากัน ทั้งสองคนนั้นก็คือป๋ายหลี่ม่อและหนานกงม่อ
พวกเขาทั้งสองเองก็มิได้กลับแคว้นของตนอีกทั้งยังอยู่ที่แคว้นป่ายฮวามาโดยตลอด โดยอ้างว่ามาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นชมวิวทิวทัศน์ แต่ความจริงแล้วพวกเขามาทำอะไรที่นี่ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ
และทางแคว้นป่ายฮวาเองก็มิได้อยู่เฉยพวกเขาได้ส่งคนไปลอบจับตาดูทุกการกระทำของคนทั้งสองมาโดยตลอด
งานเลี้ยงร้อยบุปผาวันนี้ก็ได้ดึงดูดสวี่เว่ยหรานมาแล้ว เช่นนั้นการปรากฎตัวของป๋ายหลี่ม่อและหนานกงม่อก็อยู่ในแผนการด้วยเช่นกัน
“พิณดีทำนองไพเราะ ระบำงดงาม”
หลังจากที่เพลงจบลงฮวาเชียนจือเองก็เดินกลับไปนั่งที่ด้วยสีหน้าเขียวคล้ำขณะที่เซียวซู่ซู่หันไปมองคนอื่นๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทว่ากลับมีคำพูดประโยคหนึ่งดังขึ้นจากฟังตรงข้ามที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ก้องกังวาน ทำให้ผู้คนทั้งหลายล้วนหันไปมองทางที่มาของเสียง
เมื่อเห็นป๋ายหลี่ม่อเซียวซู่ซู่และฮวาเชียนจือก็ล้วนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
และในขณะเดียวกันก็เบิกตาขึ้นมองไปทางฮวาเชียนเย่เมื่อเห็นเขามีเพียงท่าทางที่สบายๆ ไร้กังวล พวกนางจึงไม่สะดวกที่จะเอ่ยอะไรออกมา
ตอนนี้พวกเขาถึงจะรู้ว่างานเลี้ยงร้อยบุปผานั้นเป็แค่แผนการร้ายฉากหนึ่ง
กระทั่งเซียวเอินเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างดูเหมือนว่าน้องสาวของตนจะกลายเป็เหยื่อล่อเป็เหยื่อล่อที่ฮวาเชียนเย่เอาไว้ล่อปลาแต่เพียงเท่านั้น
สวี่เว่ยหรานเห็นถึงการมาของป๋ายหลี่ม่อก็มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นทันที รีบหันไปมองเรือของตนที่อยู่ไม่ไกลออกไปนักตรงนั้นมีเฮ้ออี้เทียนที่นำนักฆ่าจำนวนมากซ่อนตัวไว้เพื่อเตรียมพร้อมไว้ในยามจำเป็
เพียงแต่ว่าตอนนี้เรือทั้งสองเหมือนจะจงใจเว้นระยะให้ห่างออกไปอยู่บ้างห่างจนถึงขั้นที่ต่อให้เขาแอบลอบส่งสัญญาณลับก็เกรงว่าจะรอกำลังสมทบไม่ทันเสียแล้ว
ป๋ายหลี่ม่อที่เดินขึ้นมาบนเรือมีสีหน้าเป็ระมัดระวังรู้ทั้งรู้ว่าติดกับแล้ว แต่ก็จำต้องขึ้นมาบนเรืออย่างไม่มีทางเลือก
มือของหนานกงม่อจับที่ดาบข้างเอวของตนไว้ตลอดเวลาดวงตาเยือกเย็นและหยั่งลึกอย่างไร้ที่สิ้นสุด
“ที่แท้เป็องค์รัชทายาทจากแคว้นอ้าวอวิ๋นพวกเราช่างมีวาสนาต่อกันเหลือเกิน” ครั้งนี้เปลี่ยนเป็ฮวาเชียนเย่เดินรุดไปด้านหน้า “พี่ป๋ายหลี่มาได้เวลาพอดีถ้าหากมุ่งหน้าต่อไปก็จะถึงชิงชวนหยวนแล้ว พวกเราบังเอิญอยู่กันพร้อมหน้าพอดี”