ใต้ราตรีนั้นเจดีย์จะส่องแสงแวววาวภายในลานกว้าง
ความมืดมิดมาเยือนนอกเมือง เหมือนกระแสน้ำกระทบโล่แสง ทำให้เกิดเสียงดังสนั่น มีเงาปีศาจปรากฏขึ้นบนโล่แสง ช่างดุร้ายและน่าสะพรึงกลัว
ใต้แท่นหินภายนอกเจดีย์ หนิงเทียนกำลังให้ความสนใจกับลวดลายครึ่งบนของแผ่นศิลา ในขณะที่ชิวอีเซี่ยนกำลังให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงในแผนที่
“ศิษย์พี่อูดูนั่นสิ จุดตรงซากปรักหักพังทางทิศทักษิณจางลงแล้ว โอกาสและโชคลาภที่นั่นถูกผู้อื่นพรากไปตามที่คาดไว้”
อูเหรินเจี๋ยกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าจะเป็อวี้ชุนเสวี่ยจริงๆ”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “จากจุดที่ทำสัญลักษณ์ไว้ทั้งสิบจุด มีหกจุดที่สีจางลงแล้ว ยามนี้เหลือเพียงปราสาทสองแห่ง แผ่นศิลาทางทิศบูรพา และเจดีย์เท่านั้น”
ชิวอีเซี่ยนกล่าวว่า “ซึ่งหมายความว่ามีอย่างน้อยหกคนจากจำนวนคนที่เข้ามาเจ็ดสิบสองคนที่ได้ออกไปแล้ว”
อู๋เหรินเจี๋ยมองคนเก้าคนที่อยู่ใกล้เคียง ในนั้นมีซิงซิวสามคน และหยวนซิวหกคน ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งอยู่ในขอบเขตผนึกดารา
“ด้วยระดับการบำเพ็ญของคนเหล่านี้ ช่างน่าทึ่งยิ่งนักที่พวกเขาสามารถเข้าถึงสถานที่แห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “ข้าจะไปถามดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
หนิงเทียนมองลวดลายบนแผ่นศิลา มีทั้งหมดสามสิบแปดลาย ซึ่งเป็ลายสีเทายี่สิบสี่ลาย และลายที่มีแสงเรืองรองสิบสี่ลาย
ลวดลายสีเทาเหล่านี้ และลวดลายที่ส่องสว่างแสดงถึงอะไร
ในขณะที่ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง หยางวั่นอวิ๋นก็เข้ามา
“ข้าถามไปทั่ว ลวดลายสามสิบแปดบนแผ่นศิลาหมายความว่ามีคนอยู่ที่นี่สามสิบแปดคน บางคนถูกกำจัดโดยไม่อาจผ่านไปได้แม้เพียงด่านแรกด้วยซ้ำ”
“ด่านแรกคืออะไร?” หนิงเทียนถามอย่างสงสัย
“เป็ขั้นบันไดหินเก้าขั้น ถ้าไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ก็ไม่อาจเข้าไปในเจดีย์ได้ ตราบใดที่ผู้บำเพ็ญเหยียบขั้นบันไดหินและก้าวขึ้นไป ลวดลายจะปรากฏบนแผ่นศิลา ถ้าลวดลายเรืองแสง นั่นหมายความว่าผู้บำเพ็ญอยู่ใน่ก้าวไปข้างหน้า หากเป็สีเทาแสดงว่าล้มเหลวในการผ่านด่าน ว่ากันว่ามีทั้งหมดสามด่าน และบางคนล้มเหลวในด่านแรก”
ชิวอีเซี่ยนเหลือบมองคนทั้งเก้าแล้วกระซิบ “พวกเขาทั้งหมดล้มเหลวหรือ?”
หยางวั่นอวิ๋นพยักหน้าและกล่าวว่า “พวกเขาทั้งหมดล้มเหลว ข้าได้ยินพวกเขาพูดว่าเคยมีคนล้มเหลวในการบุกเข้ามาที่นี่มาก่อน และไปที่อื่นแล้ว เช่น ซากปรักหักพัง ปราสาท และแผ่นศิลา พวกเขากำลังมองหาโอกาสอื่น”
“ดูเหมือนการวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ของหนิงเทียนจะถูกต้อง เราที่อยู่ภายนอกอยากเข้ามาภายใน ส่วนคนที่อยู่ภายในกลับออกไปด้านนอก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโอกาสจริงๆ”
หนิงเทียนมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “ในเมื่อคนเหล่านี้ล้มเหลว ทำไมพวกเขายังอยู่”
“ฟ้ามืดแล้ว ไม่สามารถหลบหนีได้ในขณะนี้ บางคนวางแผนจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะไปไหนดี”
ชิวอีเซี่ยนกล่าวว่า “ตอนนี้พวกอู๋เยวี่ยฮุย เจียงซั่งอี และลี่ไห่ซิงน่าจะเข้าไปข้างในแล้ว ความก้าวหน้านี้เกี่ยวข้องกับขอบเขตหรือไม่?”
หยางวั่นอวิ๋นกล่าวว่า “กฎเกณฑ์นั้นแปลกประหลาด และผู้คนที่มีขอบเขตต่างกันก็จะมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นกุญแจสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ขอบเขต แต่อยู่ที่คน”
อูเหรินเจี๋ยกล่าวว่า “ในเมื่อเรามาถึงแล้ว เช่นนั้นก็ลองดูก่อนเถอะ”
แววตาของทั้งสี่ร้อนแรง ไม่ว่าจะสามารถฝ่าฟันผ่านด่านไปได้สำเร็จหรือไม่? สิ่งนี้มันเป็เื่ของความเป็และความตาย ใครเล่าจะไม่สนใจ?
“พวกเ้าคิดว่าพวกเขาทั้งสี่จะทำสำเร็จได้หรือไม่?”
ผู้แพ้ทั้งเก้าที่อยู่ด้านข้างกำลังให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของพวกหนิงเทียนทั้งสี่คน
“เ้าควรจะถามว่า จะมีสักคนที่ประสบความสำเร็จหรือไม่”
“ถ้าโชคดี ไม่แน่อาจมีหนึ่งหรือสองคนที่ประสบความสำเร็จ หรือถ้าโชคไม่ดี พวกเขาก็อาจเป็เหมือนเรา”
ทั้งเก้าคนไม่ได้มองจื๋อซิวทั้งสี่ในแง่ดี ในฐานะผู้แพ้ พวกเขาหวังว่าทุกคนจะเป็เหมือนตน และพวกเขาไม่อยากเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ
หยางวั่นอวิ๋นเดินไปข้างหน้าและเป็คนแรกที่เหยียบขั้นบันไดหิน แผ่นศิลาสั่นทันที พร้อมกับลวดลายเถาวัลย์ปรากฏอยู่ข้างบน
หนิงเทียนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด และถามด้วยความประหลาดใจ “นี่เป็ลวดลายของรากบ่มเพาะหรือไม่?”
ลายเถาวัลย์กะพริบระยิบระยับบนแผ่นศิลา แต่แสงสลัวไปหน่อย
ลวดลายิญญาปรากฏบนขั้นบันไดหิน ทำให้เกิดการกดทับอันหนักหน่วง หยางวั่นอวิ๋นรู้สึกราวกับร่างของตนถูกกดทับโดยเขาไท่ซาน ลมหายใจของเขาจึงเริ่มถี่ขึ้น
แสงกระจายไปทั่วร่างกายของหยางวั่นอวิ๋นพร้อมเสียงที่ดังขึ้นอย่างแ่เบา กระดูกทั้งร่างกู่คำราม เขาเดินขึ้นไปทีละขั้นภายใต้ความกดดันอันยิ่งใหญ่
หนิงเทียนสังเกตเห็นว่าหยางวั่นอวิ๋นมีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผาก บันไดหินเก้าขั้นนี้เป็เื่ยากมากสำหรับเขา
ลายเถาวัลย์ส่องแสงบนแผ่นศิลา แต่เมื่อเทียบกับลวดลายแวววาวอื่นๆ มันมักจะทำให้ผู้คนมีภาพลวงตาที่มืดมนอยู่เสมอ
“ศิษย์พี่หยาง ท่านทำได้”
ชิวอีเซี่ยนะโให้กำลังใจหยางวั่นอวิ๋น แต่ในใจเขารู้สึกกังวลเล็กน้อย
หากหยางวั่นอวิ๋นซึ่งอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนผ่านไม่สามารถขึ้นไปที่นั่นได้ นั่นจะเป็ไปไม่ได้เลยที่ชิวอีเซี่ยนซึ่งอยู่ในขั้นเก้าของขอบเขตผนึกดาราจะข้ามผ่านไปได้ไม่ใช่หรือ?
อูเหรินเจี๋ยขมวดคิ้ว ด่านแรกของเจดีย์นี้ยากเหลือเกิน ไม่แปลกใจเลยที่มีผู้แพ้มากมาย
ในขณะนี้ หยางวั่นอวิ๋นก้าวเข้าสู่ขั้นที่เจ็ดของบันไดหินแล้ว เหลือเพียงสองก้าวสุดท้ายเท่านั้น
หนิงเทียนและชิวอีเซี่ยนะโชื่อเขา และรอคอยความสำเร็จ
ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ในที่สุดหยางวั่นอวิ๋นก็ข้ามผ่านบันไดหินทั้งเก้าขั้นและปีนขึ้นไปบนแท่นทรงกลมได้สำเร็จ
“ศิษย์พี่ ในที่สุดคราวนี้ก็มาให้กำลังใจข้ากันเถอะ”
ชิวอีเซี่ยนลองเป็คนถัดไป ทันทีที่เขาก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดหิน ใบไม้ก็ปรากฏขึ้นบนแผ่นศิลา สิ่งนี้ทำให้หนิงเทียนสับสนเล็กน้อย นี่ไม่ใช่รากบ่มเพาะของชิวอีเซี่ยน
แสงลายใบไม้บนแผ่นศิลาก็ไม่สว่างมากนักเช่นกัน แสงกะพริบวูบวาบแ่เบาจนน่ากังวล
ชิวอีเซี่ยนรู้สึกกดดันเป็อย่างมาก แต่จริงๆ แล้ว เขาผ่อนคลายมากกว่าหยางวั่นอวิ๋น และฝ่ายด่านแรกไปได้ด้วยดี
“ศิษย์พี่อู เชิญท่านก่อนเลย”
อูเหรินเจี๋ยก็ไม่สุภาพเช่นกัน เขาก้าวตรงไปยังขั้นบันไดหิน ก่อนลวดลายถังไม้จะปรากฏบนแผ่นหิน นี่เป็อีกครั้งที่หนิงเทียนตกตะลึง
“เมื่อข้าขึ้นไป จะมีลวดลายอะไรปรากฏบนแผ่นศิลากันนะ?”
หนิงเทียนมีสีหน้าแปลกๆ แสงของลวดลายถังไม้บนแผ่นหินก็ไม่แรงเช่นกัน อาจเป็เพราะนี่คือด่านแรก?
“ศิษย์น้องหนิง มาเร็ว”
หยางวั่นอวิ๋นมองเขาอย่างไม่กังวล แต่กลับเต็มไปด้วยความคาดหวัง
หนิงเทียนมองแผ่นศิลาแล้วก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดหิน
ในขณะนั้นแผ่นศิลาก็สั่นะเื แสงจ้าส่องไปทั่ว ทำให้เกิดเสียงอุทาน
ใบหน้าของผู้แพ้ทั้งเก้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขณะที่หยางวั่นอวิ๋น ชิวอีเซี่ยน และอูเหรินเจี๋ยต่างใ
ลวดลายที่ปรากฏบนแผ่นศิลาเป็ประตูมิติที่ส่องแสงระยิบระยับโดยมีเปลวเพลิง ลำธาร เสาลม เนินเขา ดอกไม้ ต้นไม้ และเถาวัลย์อยู่ในประตูมิติที่ไม่สามารถคาดเดาได้
หนิงเทียนรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็โล่งใจเล็กน้อยเช่นกัน นี่ไม่ใช่ลวดลายรากบ่มเพาะ แต่ก็ยังเป็ไปตามคาด
ขั้นบันไดหินเรืองแสง สั่นะเืและส่งเสียงคำราม ปลดปล่อยพลังลึกลับแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของหนิงเทียน และสั่นะเืร่างกายของเขา
หนิงเทียนใช้ยุทธศาสตร์ครอง์ หอคอยพลังทั้งสองในร่างกายเชื่อมโยงกัน ก่อเกิดเป็พลังยิ่งใหญ่ที่ยับยั้งทุกสิ่ง เขาจึงผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดายราวกับเดินบนพื้นราบ
ใบหน้าของหยางวั่นอวิ๋นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่เขาไม่สามารถซ่อนความใภายในได้เลย
“ทำได้ดีมาก สมแล้วที่เ้าเป็อัจฉริยะที่ทรงพลังที่สุดของจื๋อซิว”
“ศิษย์พี่ชมเกินไปแล้ว”
หนิงเทียนมาถึงแผ่นศิลา ก่อนจะจ้องมองไปที่ลวดลายที่แวววาวทั้งสิบแปดจุดบนนั้น ประตูสู่์ของเขานั้นสว่างไสวที่สุด
ชิวอีเซี่ยนเหลือบมองแผนที่แล้วอุทาน “ดูสิ จุดที่มีสัญลักษณ์ตรงปราสาททางทิศหรดีกำลังกะพริบ คนในลิขิตปรากฏตัวแล้ว”
“ไม่รู้ว่าใครเป็ผู้โชคดี กลายเป็ผู้ได้รับโอกาสนั้นไป”
อูเหรินเจี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “การอิจฉาผู้อื่นนั้นไม่มีประโยชน์ โชคชะตาของเราอยู่ในมือเราเอง”
ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในเจดีย์พร้อมกัน เมื่อมาถึงชั้นหนึ่งของเจดีย์ ภายในมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณยี่สิบจั้ง จากมุมมองเชิงโครงสร้างแล้ว นี่คือหอคอยไม้ ผนังด้านในจารึกไว้ด้วยลวดลาย ตะวันจันทราดารา ภูผานที บุปผาพฤกษาพงไพร และสกุณาภมรมัจฉา
“เจดีย์มีเก้าชั้น จากชั้นสองมุ่งตรงสู่ชั้นสี่ ชั้นสามข้ามไปชั้นห้า จากนั้นจึงเข้าสู่สี่ชั้นที่เหลือ้า”
หยางวั่นอวิ๋นพูดสั้นๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้รับรู้
เมื่อชิวอีเซี่ยนได้ยินเช่นนี้ เขาก็รีบตรงไปที่บันได
หนิงเทียนเดินไปวนหอคอยสามรอบ เมื่อคำนึงถึงทุกสิ่งแล้วจึงเริ่มจดจำลวดลายต่างๆ บนผนังด้านใน จากนั้นจึงเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง
ชิวอีเซี่ยน หยางวั่นอวิ๋น และอูเหรินเจี๋ยขึ้นไปยังชั้นสามแล้ว แต่หนิงเทียนกลับไม่รีบร้อน เขาอยู่บนชั้นสองสักพักก่อนจะไปยังชั้นสาม
นอกจากผู้บำเพ็ญทั้งสี่แล้ว บนชั้นนี้ยังมีเหมยฉินเสวี่ยและลี่ไห่ซิงอยู่ด้วย
“แล้วคนที่เหลือล่ะ?”
“เจียงซั่งอี อู๋เยวี่ยฮุย และชิวซานอวิ๋นขึ้นไปยังชั้นสี่แล้ว ความยากของด่านนี้…”
ใบหน้าของหยางวั่นอวิ๋นเคร่งขรึม แม้กระทั่งลี่ไห่ซิงและเหมยฉินเสวี่ยก็ไม่สามารถผ่านไปได้ สิ่งนี้ทำให้เขากังวลมาก
“ศิษย์น้องชิว เ้าไปก่อน”
อูเหรินเจี๋ยมองชิวอีเซี่ยน แล้วบอกให้เขาระวังให้มากขึ้น
“นกโง่ต้องบินก่อน[1] ข้าจะลองดู”
หนิงเทียนกำลังเดินไปรอบๆ ชั้นสาม โดยมีหยางวั่นอวิ๋นติดตามอย่างใกล้ชิด สาเหตุหลักมาจากเขากลัวว่าลี่ไห่ซิงจะลงมือกับหนิงเทียน
ขณะที่อูเหรินเจี๋ยให้ความสนใจกับความก้าวหน้าของชิวอีเซี่ยน ด่านสองนี้ยากกว่าด่านแรกมาก
ชิวอีเซี่ยนใช้ทุกสิ่งที่มี เค้นทุกอย่างที่เคยเรียนรู้มาใช้ เขาทั้งคำรามและกรีดร้อง เืพุ่งออกมาจากทวารทั้งเจ็ด เขายังคงพุ่งขึ้นไปบนชั้นสี่ได้ แต่ก็ได้รับาเ็สาหัสแล้ว
“ศิษย์น้องหนิง ถึงตาเ้าแล้ว”
อูเหรินเจี๋ยให้หนิงเทียนเป็คนที่สองที่ต้องทะลวงด่าน นั่นเพราะเขาต้องระวังลี่ไห่ซิงและเหมยฉินเสวี่ยเอาไว้
ถ้าอูเหรินเจี๋ยและหยางวั่นอวิ๋นทะลวงไปก่อน และให้หนิงเทียนอยู่เพียงลำพัง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลี่ไห่ซิงและเหมยฉินเสวี่ยสังหารจื๋อซิวอัจฉริยะที่ทรงพลังที่สุด หนิงเทียนจะไม่ถึงคราวหรอกหรือ?
“ได้ ข้าจะพยายาม”
เห็นได้ชัดว่าหนิงเทียนเข้าใจความกังวลของอูเหรินเจี๋ย เขาจึงมาถึงบันไดภายใต้การคุ้มครองของศิษย์พี่สอง
บันไดไม้สลักลวดลายลึกลับ เมื่อก้าวขึ้นไป เส้นเ่าั้ก็ดูมีชีวิตขึ้นมาทันที ราวกับผีที่วนเวียนอยู่รอบกายหนิงเทียน และพยายามเข้าไปในร่างกายของเขา
หนิงเทียนตรวจสอบอย่างระมัดระวัง ทว่ากายเต๋าิญญาศักดิ์สิทธิ์ของเขามีการตอบสนองและมันยอมรับการรุกรานของกำลังภายนอกอย่างแท้จริง ราวกับว่ามันถูกดูดกลืนด้วยพลังบางอย่าง
หนิงเทียนไม่ได้ขัดขืนมากนัก การดูดซึมนี้ดูเหมือนไม่เป็อันตรายสำหรับเขา แต่กลับทำให้เขาสามารถเดินขึ้นไปบนชั้นสี่ได้อย่างง่ายดาย
ดวงตาของลี่ไห่ซิงฉายแววด้วยความหงุดหงิด หากรู้ว่าหนิงเทียนจะสามารถขึ้นไปได้อย่างราบรื่น เขาคงลงมือสังหารอัจฉริยะที่ทรงพลังที่สุดของจื๋อซิวไปก่อนแล้ว
สภาพบนชั้นสี่ของเจดีย์แตกต่างจากสามชั้นด้านล่างอย่างเห็นได้ชัด มีฉากกั้นตรงกลาง และมีภาพแขวนอยู่สามภาพ
นอกจากชิวอีเซี่ยนแล้ว บนชั้นสี่ยังมียอดฝีมืออีกสอง คนหนึ่งคืออู๋เยวี่ยฮุยจากศาลาดารา์ และอีกคนคือฉู่จินหงจากสำนักหานเทียน
ทั้งสามยืนปักหลักเบื้องหน้าม้วนภาพ มองม้วนภาพทั้งสามม้วน้า
ภาพชิ้นแรกเป็ภาพแผนที่โลกซึ่งมีเจดีย์โบราณ ซากปรักหักพังสองแห่ง ปราสาทสามแห่ง และแผ่นศิลาสี่แผ่นทำสัญลักษณ์ไว้อย่างชัดเจน และมีคำอธิบายเป็ข้อความกำกับอยู่ด้วย
“ซากปรักหักพัง ปราสาท และแผ่นศิลาต่างก็มีโชคที่แตกต่างกันออกไป มีโชคอันยิ่งใหญ่ทั้งสิ้นเก้าประการ มีเพียงผู้ที่ถูกลิขิตจึงจะรับโชคเ่าั้มาได้”
“โชคของเจดีย์โบราณอยู่บนสี่ชั้น้า และมีโชคทั้งหมดสิบประการ”
ม้วนแรกแสดงชะตากรรมของโลกนี้ และชี้ให้เห็นจำนวนผู้คนที่ถูกลิขิต
ชิวอีเซี่ยนขมวดคิ้ว จากการอนุมานจะพบว่า มีคนทั้งหมดเจ็ดสิบสองคนจากทั้งสามสายบำเพ็ญที่เข้ามายังที่แห่งนี้ ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสิบเก้าที่เท่านั้น
แม้ว่าคนที่เหลือจะไม่ตายในความมืด ทว่าสุดท้ายก็ต้องถูกขังและตายที่นี่
---------------------------------------
[1] นกโง่ต้องบินก่อน (笨鸟先飞) แปลว่าคนหัวช้าต้องทำก่อน หรือคนงุ่มง่ามต้องออกตัวก่อน
