เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียงกรีดร้องขึ้นในเวลาหกโมงเช้าตรงเป๊ะ เหมือนเดิมทุกวันไม่มีผิดเพี้ยน
ติ๊ด... ติ๊ด... ติ๊ด...
ฉันยื่นมือลอดผ่านความอบอุ่นของผ้าห่มนวมผืนเก่า ควานหาต้นตอของเสียงนั้นด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก มันไม่ใช่ความเกียจคร้านเสียทีเดียว แต่มันคือความหนักอึ้งบางอย่างที่กดทับเปลือกตาเอาไว้ ความรู้สึกที่บอกว่า “อีกวันหนึ่งแล้วสินะ”
หน้าจอโทรศัพท์สว่างวาบในความมืดสลัว แสงสีขาวแยงตาจนฉันต้องหรี่ตามอง ตัวเลขดิจิทัลบอกเวลา 06:00 น. พร้อมกับวันที่ที่เลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ จนฉันแทบจำไม่ได้แล้วว่าวันนี้วันอะไร ถ้าไม่มีตารางสอนแปะอยู่ที่ข้างฝาผนัง
ฉันชื่อ อาวรรณ หรือที่ใครๆ เรียกกันว่า “ครูอา”
ในวัยสามสิบห้าปี ชีวิตของฉันดูเหมือนจะลงตัวตามแบบแผนที่ผู้ใหญ่เคยบอกไว้ เรียนจบ สอบบรรจุรับราชการครู แต่งงาน มีลูก และมีบ้านทาวน์โฮมหลังเล็กๆ แถบชานเมือง ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบในสายตาคนนอก แต่ทำไมกันนะ... ทุกครั้งที่ตื่นลืมตาขึ้นมาในตอนเช้า ฉันกลับรู้สึกเหมือนข้างในอกมันกลวงเปล่า เหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญบางชิ้นหายไป และฉันหาไม่เจอว่ามันคือชิ้นไหน
“แม่... ง่วงอะ ไม่ไปโรงเรียนได้ไหมวันนี้”
เสียงงัวเงียยานคางของเด็กผู้ชายดังมาจากก้อนผ้าห่มที่ขดตัวอยู่ปลายเตียง ฉันถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะระบายยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นี่คือก้อนความสุขก้อนเดียวที่ชัดเจนที่สุดในชีวิตฉัน
“มิกซ์ ลุกได้แล้วครับลูก นักเรียน ป.3 เขาไม่โดดเรียนกันนะครับ”
ฉันขยับตัวลุกขึ้นนั่ง พับผ้าห่มของตัวเอง แล้วเอื้อมมือไปเขย่าเ้าก้อนกลมๆ นั้นเบาๆ
“แม่อ๊ายยยยยย...” มิกซ์ร้องประท้วง ลากเสียงยาวเฟื้อย โผล่หน้ายุ่งๆ ที่ผมชี้ฟูไปคนละทิศละทางออกมาจากผ้าห่ม “เมื่อวานครูให้การบ้านคณิตเยอะมากเลยอะ ผมทำจนมึนหัวไปหมดแล้วเนี่ย”
“แล้วใครกันนะที่แอบเล่นเกมจนถึงสี่ทุ่ม” ฉันเลิกคิ้วถาม น้ำเสียงดุแต่ไม่จริงจังนัก
“ก็... ก็ พ่อ อนุญาตนี่นา”
คำว่า ‘พ่อ’ ทำให้รอยยิ้มบนหน้าฉันจางลงเล็กน้อย ฉันหันไปมองพื้นที่ว่างอีกฝั่งของเตียงนอน หมอนใบใหญ่วางอยู่ตรงนั้น รอยยุบตัวยังปรากฏจางๆ พร้อมกับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายผสมกลิ่นบุหรี่เย็นๆ ที่ติดอยู่บนปลอกหมอน แต่เ้าตัวไม่อยู่แล้ว
“พ่อไปไหนแล้วอะแม่” มิกซ์ถามพลางขยี้ตา
“พ่อออกไปทำงานแต่เช้าแล้วมั้งลูก” ฉันตอบออกไปแบบนั้น ทั้งที่ในใจก็ไม่แน่ใจนักว่า ‘งาน’ ที่เขาทำอยู่ตอนนี้คืออะไรกันแน่
สามีของฉันชื่อ กิตติ เราแต่งงานกันมาสิบปีแล้ว เขาเป็คนรักสนุก เพื่อนเยอะ และมีความฝันใหม่ๆ ผุดขึ้นมาเสมอ เขาเปลี่ยนงานบ่อยจนฉันเลิกนับ ั้แ่ช่างซ่อมรถ พนักงานขายประกัน คนขับรถส่งของ จนล่าสุดเห็นบอกว่าไปช่วยเพื่อนดูหน้าร้านคาราโอเกะ หรืออะไรสักอย่างทำนองนั้น เขาไม่ได้เป็คนเลวร้าย เขาไม่เคยตบตีฉัน ไม่เคยด่าทอหยาบคายใส่ลูก แต่เขาเหมือนสายลมที่พัดไปเรื่อยๆ ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน และบางครั้ง... ฉันก็รู้สึกเหมือนกำลังแบกเสาบ้านไว้คนเดียว
“แม่ไม่ไปปลุกพ่อบ้างเหรอ” ลูกชายยังถามต่อด้วยความไร้เดียงสา
“พ่อออกไปแล้วครับ เอ้า ลุกเร็วคนเก่ง เดี๋ยวแม่ทำไข่ดาวกรอบๆ ให้กิน”
คำว่าไข่ดาวกรอบๆ มีอานุภาพทำลายล้างความง่วงได้ชะงัดนัก มิกซ์เด้งตัวขึ้นจากที่นอนทันที วิ่งตึงตังไปคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ฉันมองตามหลังลูกชายพลางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง
กระจกเงาบานใหญ่สะท้อนภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันเห็นอยู่ทุกวัน
อาวรรณในวัยสามสิบห้าปี ผมยาวสีดำเริ่มมีผมขาวแซมประปรายที่โคนผม ร่องรอยความเหนื่อยล้าฉายชัดผ่านถุงใต้ตาที่คอนซีลเลอร์เริ่มเอาไม่อยู่ ฉันรวบผมขึ้นมัดเป็หางม้าต่ำๆ อย่างลวกๆ หยิบครีมบำรุงมาทาพอเป็พิธี ไม่ได้คาดหวังความสวยงามอะไรมากไปกว่าขอให้ดู ‘เรียบร้อย’ สมฐานะครูโรงเรียนประถม
“มีความสุขไหมอาวรรณ...”
ฉันเผลอถามตัวเองในกระจก เป็คำถามที่ไม่มีคำตอบ หรือบางที... ฉันอาจจะแค่ไม่อยากตอบมัน
ฉันเดินลงบันไดบ้านมาชั้นล่าง บรรยากาศในบ้านเงียบสงบจนได้ยินเสียงตู้เย็นทำงานหึ่งๆ บนโต๊ะกินข้าวมีแก้วกาแฟสำเร็จรูปที่ดื่มเหลือไว้ครึ่งแก้ว วางคู่กับซองบุหรี่ที่ถูกขยำทิ้งไว้ เป็หลักฐานยืนยันเพียงอย่างเดียวว่าเมื่อเช้านี้กิตติเคยอยู่ตรงนี้ ก่อนจะหายตัวไปตามวิถีชีวิตของเขา
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ เก็บแก้วไปล้าง แล้วเริ่มลงมือทำมื้อเช้า เสียงน้ำมันในกระทะดังฉ่าเมื่อตอกไข่ลงไป กลิ่นหอมของไข่ดาวและไส้กรอกทอดเริ่มอบอวลไปทั่วครัว เป็กลิ่นของความเป็แม่ที่ดึงฉันกลับมาสู่โลกความจริง
“หอมจังเลยแม่อาย” มิกซ์เดินลงมาในชุดนักเรียนที่กระดุมเม็ดบนติดผิดรัง ฉันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้มลงไปช่วยติดให้ใหม่
“เมื่อไหร่จะแต่งตัวเรียบร้อยเองได้เนี่ย หืม?”
“ก็รีบมาดูไข่ดาวนี่นา” เขาฉีกยิ้มกว้าง ฟันหลอซี่หน้าทำให้หน้าตาดูทะเล้นน่าเอ็นดู
เราสองคนแม่ลูกนั่งกินข้าวเช้ากันเงียบๆ มีเพียงเสียงช้อนส้อมกระทบจาน มิกซ์ดูการ์ตูนในโทรศัพท์ไปด้วย ส่วนฉันนั่งจิบน้ำเปล่า มองดูลูกเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ย
“แม่ วันนี้แม่ต้องประชุมใช่ไหม” มิกซ์เงยหน้าถาม
“อืม... วันนี้ประชุมเื่กิจกรรมโรงเรียน คงกลับช้าหน่อย มิกซ์รอที่ห้องครูเวรนะลูก เดี๋ยวแม่ไปรับ”
“แต่ถ้าพ่อว่าง พ่ออาจจะมารับใช่ไหม” แววตาของลูกมีความหวังวูบหนึ่ง
ฉันชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ลูก “ใช่จ้ะ ถ้าพ่อว่างนะ”
คำว่า ‘ถ้า’ ในประโยคนั้น มันช่างเลือนรางเหลือเกินในความรู้สึกของฉัน
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ฉันคว้ากระเป๋าสะพายใบเก่งที่อัดแน่นไปด้วยสมุดการบ้านนักเรียน ปากกาแดง และเอกสารการสอน จูงมือมิกซ์เดินออกจากบ้าน ล็อกกุญแจรั้ว แล้วเดินไปรอวินมอเตอร์ไซค์ที่หน้าปากซอย
ลมเช้าพัดเอื่อยๆ ปะทะใบหน้า กลิ่นดินชื้นๆ จากฝนที่ตกปรอยๆ เมื่อคืนยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ระหว่างทางที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์วินไปโรงเรียน ฉันมองดูทิวทัศน์เดิมๆ ที่เห็นมาเป็สิบปี
ตึกแถวร้านค้าเดิมๆ
ร้านขายโจ๊กเ้าเดิม
ป้ายโฆษณาที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา
ชีวิตของฉันเหมือนเข็มนาฬิกาที่เดินวนอยู่ในวงกลมวงเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้แย่ ไม่ได้ลำบาก แต่มัน... น่าเบื่อ
วินมอเตอร์ไซค์จอดส่งเราที่หน้าโรงเรียนอนุบาลลำปางเขลางค์รัตน์อนุสรณ์ โรงเรียนประถมขนาดใหญ่ประจำจังหวัด เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ ดังระงมไปทั่วบริเวณ เสียงผู้ปกครองะโสั่งลูกหลาน เสียงนกหวีดของยามจราจร ทุกอย่างคือความวุ่นวายที่คุ้นเคย
“สวัสดีค่ะครูอา”
“สวัสดีครับครูอา”
นักเรียนหลายคนยกมือไหว้ทักทาย ฉันยิ้มรับ รับไหว้ตอบ พยายามทำหน้าที่ ‘ครูผู้ใจดี’ อย่างดีที่สุด แต่วันนี้... ใจฉันมันลอยไปไกลกว่านั้น
เมื่อส่งมิกซ์เข้าห้องเรียนเสร็จ ฉันเดินขึ้นอาคารเรียนไปยังห้องพักครู วางกระเป๋าลงบนโต๊ะประจำตำแหน่ง เหลือบมองปฏิทินตั้งโต๊ะที่ถูกกากบาทวันที่ผ่านไปแล้วจนเกือบหมดเดือน
จู่ๆ สายตาของฉันก็ไปสะดุดเข้ากับรูปถ่ายใบเล็กๆ ที่เสียบอยู่ข้างปฏิทิน มันเป็รูปถ่ายสมัยฉันยังเป็เด็กประถม ตัวเล็กๆ ตัดผมสั้นเท่าติ่งหู ยืนยิ้มแป้นแล้นจนตาหยีอยู่ในชุดเนตรนารี
ฉันหยิบรูปใบนั้นขึ้นมาดู... เด็กหญิงอาวรรณในวันนั้นดูมีความสุขจัง แววตาเต็มไปด้วยความฝัน ความหวัง และความสดใสที่ฉันในตอนนี้จำแทบไม่ได้แล้วว่ามันรู้สึกยังไง
“ตอนนั้น... ฉันฝันอยากเป็อะไรนะ?”
“ตอนนั้น... ฉันเคยรักใครหรือเปล่า?”
ภาพความทรงจำเลือนรางบางอย่างแวบเข้ามาในหัว กลิ่นอายของขนมหวานหน้าโรงเรียน เสียงหัวเราะของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบแกล้งดึงผมเปียฉัน และคำสัญญาเด็กๆ ที่เคยเกี่ยวก้อยกันไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังโรงเรียน
"โตขึ้น... เราจะแต่งงานกับเธอนะ อา"
เสียงนั้น... เสียงของเด็กผู้ชายที่ชื่อ ‘มอส’
ฉันเผลอวางมือทาบลงบนหน้าอกข้างซ้าย หัวใจที่เคยเต้นเป็จังหวะเนิบนาบมาตลอดหลายปี จู่ๆ ก็กระตุกวูบหนึ่งอย่างรุนแรง ความรู้สึกโหยหาอาวรณ์พุ่งพล่านขึ้นมาจนฉันต้องสูดหายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์
ทำไมจู่ๆ ถึงนึกถึงเขาขึ้นมานะ?
มอส... รักแรกในวัยประถม เพื่อนสนิทที่กลายมาเป็คนพิเศษ และเป็คนเดียวกับที่ฉันเป็ฝ่ายผลักไสเขาออกไปจากชีวิตด้วยความขี้ขลาดของตัวเอง
ป่านนี้เขาจะเป็ยังไงบ้าง? เขาจะแต่งงานมีครอบครัวไปหรือยัง? เขาจะมีความสุขดีไหม? หรือเขาจะลืมเด็กผู้หญิงใจร้ายคนนี้ไปแล้ว?
เสียงระฆังโรงเรียนดังขึ้น บอกเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ รีบเสียบรูปถ่ายใบนั้นกลับที่เดิม ปาดน้ำตาซึมๆ ที่หางตาออกลวกๆ แล้วหยิบสมุดเช็กชื่อเตรียมลงไปทำหน้าที่ครู
แต่ความรู้สึกโหวงๆ ในอกนั้นยังคงอยู่ มันไม่ใช่แค่ความเหงา แต่มันคือความรู้สึกเสียดาย... เสียดาย่เวลาที่ผ่านมา เสียดายคำพูดที่ไม่ได้พูด และเสียดายที่ปล่อยให้ ‘ความรักครั้งนั้น’ หลุดลอยไป
เช้าวันธรรมดาของฉันเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้... ฉันรู้แล้วว่ามีบางอย่างที่ฉันไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป ความทรงจำที่ถูกปิดผนึกไว้กำลังจะถูกเปิดออก และฉันไม่รู้เลยว่า เมื่อเปิดมันออกมาแล้ว ชีวิตเรียบง่ายของผู้หญิงวัยสามสิบห้าคนนี้ จะยังเหมือนเดิมได้อีกหรือไม่...
