Chapter seventeen: Smell of us
เพราะเื่ราวทั้งหมดที่ได้รับฟังจากเจซมันทำให้ความรู้สึกของแพทริเซียในตอนนี้หนักอึ้งไปหมด จากที่เคยได้รับรู้เื่ราวจากคุณแม่มาบ้างแล้วแต่พอได้ฟังรายละเอียดจากคนในตระกูลก็ยิ่งทำให้แพทรู้สึกหดหู่เข้าไปใหญ่ ยิ่งเื่ราวทั้งหมดที่ได้ตอกย้ำว่าทำไมไซม่อนถึงออกจากคฤหาสน์ไม่ได้ก็ทำให้แพทได้รู้เหตุผลแล้วว่าการที่จะได้เป็ผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไปมันไม่ได้เป็เื่ง่ายเลยสักนิด
เหมือนกับว่าชีวิตของไซม่อนจะตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา
โดยที่เขาไม่ได้รับรู้เลยสักนิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ
เสียงของเครื่องยนต์ที่ดับลงพร้อมกับเสียงเปิดประตูจากคนขับรถทำแพทริเซียหลุดออกจากภวังค์ ความคิดที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวทำให้เขาต้องสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านออกไปจนทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างกันต้องหันมามอง
“เข้าใจแล้วใช่ไหม?” เจซเอ่ยถามขึ้น
“เข้าใจแล้วครับ”
“ลงไปพักผ่อนได้แล้ว ราตรีสวัสดิ์”
แพทริเซียพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะก้มเก็บถุงที่ถูกวางอยู่ข้างตัวแล้วก้าวลงจากรถด้วยแววตาเหม่อลอย สองขาเรียวก้าวช้าเพราะความหนักอึ้งในใจ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามาทำให้ใจสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ในตอนแรกแพทก็คิดว่าทุกอย่างเป็เพียงแค่เื่ราวในอดีตนั่นแหละจึงทำให้เขาตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไม่กลัวอะไรเท่าไหร่นัก แต่พอได้รู้ว่าทุกอย่างมันยังคงมีสืบต่อมาจนรุ่นของไซม่อนก็ทำให้แพททำตัวไม่ถูกเหมือนกัน หากเขารู้ว่าทุกอย่างเป็แบบนี้ เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองจะตัดสินใจรับสอนไซม่อนหรือเปล่า นี่มันเหมือนกับว่าเขาเอาชีวิตตัวเองมาพัวพันกับความเป็ความตายยังไงอย่างนั้น
ขนาดเจซยังดูกังวลขนาดนั้นตอนเจอลุค
ไม่อยากจะคิดภาพถ้าคนของอีแวนส์ได้เจอกับไซม่อนเลย
“คุณมอร์แกน”
“..”
“แพทริเซีย”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียกจากด้านหลังจนทำให้แพทหันกลับไปมองทันที และเขาก็พบว่าเป็เจซที่เดินตามหลังมาห่าง ๆ อีกฝ่ายยังคงแสดงสีหน้าเป็กังวลอย่างเห็นได้ชัดหลังจากได้เล่าทุกอย่างให้เขาฟัง แพทเดาว่าเจซเองก็คงกังวลใจอยู่ไม่น้อยกับการต้องเล่าเื่ราวเหล่านี้แต่เพราะเป็ตัวเขาเองนั่นแหละที่ไปขอร้องให้อีกฝ่ายเล่าทั้งหมด
ตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกผิดกับเจซขึ้นมานิดหน่อยแล้วละ
“ครับคุณแมคคอยด์”
“แค่เดินมาส่งเพราะนี่มันก็ดึกมากแล้ว คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะปล่อยให้คุณเดินเข้าคฤหาสน์คนเดียว”
“ขอบคุณครับ”
“คุณมอร์แกน” เจซเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ครับ”
“ผมสอดนามบัตรไว้ในถุงผ้าของคุณ ถ้าหากมีอะไรหรือ้าความช่วยเหลืออะไรที่มันเกินกว่ากำลังของตัวเองก็ให้ติดต่อมา”
แพทริเซียก้มลงเปิดถุงผ้าในมือของตัวเองทันทีที่เขาเอ่ยจบ กระดาษสีดำใบเล็กที่ถูกตีพิมพ์ด้วยฟอนต์สีเงินเป็ชื่อของ Jesse Mcqoid ก็ถูกแนบอยู่ตามที่เขาได้บอกมาจริง ๆ
“ขอบคุณครับ”
“จำไว้นะคุณมอร์แกน”
“ครับ?”
“ถ้าหากจะเชื่อใจใคร ขอให้เป็แค่ไซม่อนคนเดียวเท่านั้น”
“..”
“ดูแลตัวเองให้ดี ไว้พบกันใหม่”
ไร้ซึ่งคำตอบจากแพทริเซีย คนตัวเล็กทำเพียงยืนนิ่งทบทวนคำพูดของเ้าของแผ่นหลังที่กำลังจะเดินลับหายไป แม้คำพูดของอัลฟ่าเ้าของดวงตาสองสีจะแฝงไปด้วยความห่วงใยแต่ความรู้สึกหนักอึ้งที่มาพร้อมประโยคเ่าั้นี่สิ
ถ้าหากจะเชื่อใจใครอย่างนั้นเหรอ
แพทริเซียใช้เวลานานนับสิบนาทีกับการเดินขึ้นไปบนห้องพักเพราะความเหม่อลอยและความคิดที่กำลังตีกันปะปนไปหมดจึงทำให้ทุกอย่างดูช้าลงกว่าที่เคยเป็ กว่าโอเมก้าตัวเล็กจะข่มตานอนหลับได้ในคืนนั้นก็ใช้เวลาเกือบฟ้าจะสว่างเข้าไปแล้ว แพทริเซียนอนหลับไปพร้อมกับความคิดฟุ้งซ่านมากมายที่ต่อให้เขาจะอยากหยุดคิดแค่ไหนก็หยุดไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาคิดว่าก็ยังโชคดีที่ยังมีวันหยุดอีกวันให้ได้ใช้เวลาจัดการตัวเองโดยที่ไม่ต้องทำอะไร
เพราะเื่ราวมากมายที่ได้รับรู้มามันทำให้เขาต้องคิดหนัก
จนลืมไปเลยว่ามีใครบางคนที่กำลังรออยู่
- Simon’s theory -
เพราะผ้าม่านที่ไม่ได้ถูกปิดสนิทอย่างทุกวันจึงทำให้แสงแดดจากข้างนอกสาดส่องเข้ามารบกวนคนที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราจนได้ เสียงครางเบา ๆ ในลำคอดังขึ้นเมื่อความเมื่อยล้าเกิดขึ้นทันทีที่ร่างเล็กขยับเปลี่ยนท่าทาง เสียงพรูลมหายใจเข้าออกยังคงสม่ำเสมอเหมือนก่อนหน้าแม้ในตอนนี้เ้าตัวจะรู้สึกตัวบ้างแล้ว แพทริเซียซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มหนาอีกครั้งเมื่อแสงแดดสว่างแยงเข้าดวงตาคู่สวยที่กำลังหลับพริ้มอยู่ แต่คิ้วสวยก็ต้องขมวดอีกครั้งเมื่ออาการครั่นเนื้อครั่นตัวที่กำลังเกิดขึ้นมันช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
คงไม่ใช่หรอกมั้ง อีกตั้งเป็อาทิตย์กว่าจะถึงเวลา
คงยังไม่ฮีทตอนนี้หรอก
แพทริเซียจำวันครบรอบฮีทของตัวเองได้ดีและคอยกินยาระงับอย่างตรงเวลาในทุก ๆ เดือนเพราะฉะนั้นไม่มีทางที่เขาจะแสดงอาการฮีทออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวแบบนี้ สำหรับตัวแพทเองนี่เป็เื่ที่สำคัญที่สุดในชีวิต คนอย่างแพทริเซียจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองตกเป็อันตรายกับอัลฟ่าหน้าไหนทั้งนั้น แม้มันจะต้องฝืนธรรมชาติของตัวเองก็ตาม ยังไงเขาก็ต้องเลือกคู่ครองที่ตรงกับใจของเขาไม่ใช่เพียงเพราะแค่ความผิดพลาดเหมือนอย่างในนิยายน้ำเน่าที่เขาเคยอ่านมา
คนตัวเล็กค่อย ๆ ค้ำยันตัวขึ้นมานั่งพิงกับหัวเตียงกว้างด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทั้งที่ตัวเขาเองก็พยายามจะไม่คิดถึงเื่ที่เจซเล่าแล้วแต่พอตื่นขึ้นมาความคิดทั้งหมดก็วนกลับมาในหัวอัตโนมัติอย่างห้ามไม่ได้ แพทริเซียถอนหายใจออกมายาว ๆ ด้วยความหนักใจ
ตั้งใจไว้แล้วแท้ ๆ ว่าจะทำงานนี้ให้จบแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ทำไมความกลัวในใจมันถึงมีมากมายขนาดนี้
มือเล็กทั้งสองข้างยกขึ้นลูบใบหน้าเบา ๆ ก่อนจะฟุบใบหน้าลงไปกับฝ่ามือของตัวเอง หูทั้งสองข้างของแพทริเซียอื้ออึง ไม่ว่าแพทจะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหยุดความคิดของตัวเองที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ได้สักนิด เขาไม่อยากจะคิดเลยสักนิดว่าถ้าหากเขาบังเอิญไปพบกับคนของอีแวนส์คนเดียวแบบนั้นอีกแล้วถูกพบว่าเป็คนของควินท์เรลนั้นจะเป็ยังไง เพียงแค่คิดมือทั้งสองข้างก็สั่นซะจนทำอะไรไม่ถูก เขาเองไม่ได้อยากตกอยู่ในอันตรายที่ไม่มีใครเตือนแบบนี้เลยสักนิด
ในขณะที่ความคิดกำลังทำงานหนักจนทำให้ไหล่บางในชุดนอนกำลังจะเริ่มสั่นเพราะความโหวงในใจที่เกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ จู่ ๆ เสียงตะกุกตะกักที่ดังแว่วเข้ามาในหูก็ต้องทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ก่อนเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากหน้าประตูจะทำให้แพทริเซียเด้งตัวขึ้นจากเตียงอัตโนมัติ
ต้องเป็เสียงของไซม่อนแน่ ๆ
มือเล็กที่กำลังชื้นเหงื่อเอื้อมไปเปิดประตูก่อนรอยยิ้มหวานปรากฏบนใบหน้าเ้าของห้องทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ภาพของทายาทตระกูลควินท์เรลที่เขาคุ้นเคยกับสุนัขคู่ใจที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นหน้าห้องและจ้องมองมาทางเขา ความหนักใจและความกังวลต่าง ๆ ที่เคยมีอยู่ล้นในอกแต่พอได้เห็นภาพตรงหน้าก็ทำเอาแพทริเซียโล่งใจขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
“อรุณสวัสดิ์คุณมอร์แกน” อัลฟ่าหนุ่มเอ่ยทักเขาก่อน
“อรุณสวัสดิ์คุณควินท์เรล”
ไซม่อนมองหน้าเขาอยู่ครู่นึงก่อนจะชะงักและก้มลงไปเกาท้องให้เ้าแซมมี่ที่นอนหงายอยู่บนพื้นเหมือนเดิม ท่าทางที่เขามักจะได้รับเวลาที่อีกฝ่ายเริ่มมีเื่อะไรในใจหรือกำลังไม่พอใจอะไรสักอย่างแบบนั้นทำแพทริเซียหลุดยิ้มได้อย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่แพทเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำท่าทางอย่างนั้นใส่เขา เพราะเขากับไซม่อนก็ไม่ได้เจอกันเกือบจะหนึ่งวันเต็ม ๆ ด้วยซ้ำ
“ว่าแต่คุณควินท์เรลมาทำอะไรหน้าห้องเราล่ะวันนี้?”
“ก็ พาแซมมี่ม-”
“พาแซมมี่มาเดินเล่น”
เสียงทุ้มของอัลฟ่าหนุ่มถูกกลืนหายไปทันทีที่แพทริเซียเอ่ยประโยคที่เขากำลังจะบอก แพทริเซียหลุดหัวเราะออกมายิ่งทำให้ริมฝีปากของไซม่อนเบะลงไปยิ่งกว่าเดิม
“เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคุณควินท์เรล?”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“แล้วทำไมคุณถึงทำหน้าบึ้งตึงแต่เช้าอย่างนั้นล่ะ?”
และแพทก็ได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายเป็เพียงแค่การเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาครู่เดียวก่อนที่ไซม่อนจะก้มหน้าลงไปมองเ้าแซมมี่เหมือนเดิม แพทริเซียไม่อยากจะเชื่อเลย เหมือนกับว่าในตอนนี้เขากำลังถูกอีกฝ่ายเมินยังไงอย่างนั้นแหละ
คนตัวเล็กยกแขนขึ้นกอดอกมองการกระทำของคนตรงหน้านิ่ง ๆ อย่างครุ่นคิด ถ้าหากเมื่อวานไม่ได้เกิดอะไรขึ้นแล้วอะไรคือเหตุผลที่ไซม่อนทำหน้าง้ำงอใส่เขาอยู่แบบนี้ อัลฟ่าหนุ่มชำเลืองขึ้นมามองเขาเป็พัก ๆ ทั้งที่แสดงสีหน้าเหมือนเดิมยิ่งทำให้แพทริเซียขมวดคิ้วสงสัยกับการกระทำของไซม่อนเข้าไปใหญ่
หรือไม่พอใจที่เขาไม่อาบน้ำแล้วเปิดประตูมาทักทายอีก
“ไหนบอกว่าจะกลับเร็ว” เสียงทุ้มเอ่ยแ่เบาในลำคอ
“อะไรนะคุณควินท์เรล?”
“..”
“คุณพูดอะไร เราไม่ได้ยินเลย” แพทริเซียขยับก้าวเข้าไปใกล้เขามากขึ้นก่อนจะก้มตัวน้อย ๆ ลงไปถามอีกฝ่ายที่กำลังก้มหน้าอยู่
“ไหนบอกว่าจะกลับเร็ว”
และในขณะเดียวกันที่แพทริเซียก้มเข้าไปใกล้ก็เป็จังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามองจนใบหน้าของทั้งสองห่างกันไม่ถึงคืบ ทั้งสองคนค้างนิ่งอยู่สักพักจนเป็แพทที่ตั้งสติได้และถอยหลังออกมาทันทีด้วยความใ
“เอ่อ”
จริง ๆ แล้วแพทเองก็ไม่ได้คิดอยากเข้าข้างตัวเองนักหรอกนะ แต่การกระทำพร้อมคำพูดแบบนั้นมันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายอยากเจอเขาหรือเปล่า และแล้วใบหน้าหวานก็เห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ถึงแม้แพทจะค่อนข้างมีภูมิต้านทานกับคำพูดชวนหวานเลี่ยนหรืออะไรแบบนั้นก็เถอะ แต่เพราะประโยคที่แสดงถึงความจริงใจที่ดูเหมือนกับว่าอยากเจอเขาพร้อมใบหน้าซื่อ ๆ แบบนั้นก็ทำแพทต้องเม้มปากแน่นทันที
นี่มันครั้งแรกเลยที่มีคนทำแบบนี้กับเขา
แต่ยังไม่ทันที่แพทจะได้คิดอะไรต่อ ประโยคที่อัลฟ่าหนุ่มเอ่ยออกมาก็ทำให้รอยยิ้มหวานพลันหุบหายไปทันที
“ไหนขนมของเราล่ะ”
ขนม?
อย่าบอกนะว่าหมายถึงขนมที่เขาสัญญาไว้
“ก็ขนมที่บอกว่าจะซื้อมาฝากเราไง”
สรุปก็แค่อยากกินขนมสินะ
ไอ้บ้าไซม่อน
ทั้งที่มันไม่ใช่เื่น่าหงุดหงิดเลยสักนิดแต่ในตอนนี้แพทริเซียกลับกัดฟันกรอดด้วยความหมั่นไส้อัลฟ่าตรงหน้า ถึงแม้ในใจจะเถียงว่าไม่ใช่ความผิดอะไรของไซม่อนก็เถอะแต่ใครจะไปคิดกันล่ะว่าท่าทางแบบนั้นมันไม่ได้มีให้เขา แต่กลับมีให้ขนมเ้ากรรมที่เขาต้องเสียเวลาทั้งวันกับคนอย่างลุค อีแวนส์เพื่อให้ได้มา
ถึงบอกไปไอ้อัลฟ่าหน้าหมานี่ก็ไม่มีวันเข้าใจหรอก
แล้วทำไมเขาถึงต้องมารู้สึกหงุดหงิดกับเื่แค่นี้ด้วยล่ะเนี่ย
“ทำไมมองเราแบบนั้นล่ะคุณมอร์แกน?”
“ฮะ..”
“มองอย่างกับจะฆ่าเราอย่างนั้นแหละ”
แพทริเซียชะงักเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยทักท้วงขึ้นมา ทั้งที่จริงเขาแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าในตอนนี้เขาแสดงสีหน้ายังไงออกไปให้อีกฝ่ายได้เห็น แต่การอธิบายสีหน้าของเขาที่ไซม่อนบรรยายออกมานั้นทำเขาปรับสีหน้าแทบไม่ทัน แพทริเซียกระแอมเล็กหน่อยเพื่อปรับอารมณ์ของตัวเองก่อนจะเอ่ยแก้ตัวออกไปเบา ๆ
“อ๋อ.. ก็เปล่านี่”
“งั้นก็ดีแล้ว แต่ขนมเราล่ะ”
“อื้ม! เรารู้แล้วน่าคุณควินท์เรล จะเข้าไปเอาให้เดี๋ยวนี้แหละ” แพทถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียเข้าไปในห้อง ทิ้งให้อัลฟ่าหนุ่มและเ้าสุนัขขนปุยนั่งมองตามด้วยความงุนงง
ใช้เวลาเพียงไม่นาน คนตัวเล็กก็ออกมาพร้อมกับถุงใบใหญ่ที่ทำให้ไซม่อนทำตาลุกวาว ถุงกระดาษสีขาวที่เขาไม่คุ้นเคยแต่กลิ่นหอมของขนมที่ลอยออกมาแตะจมูกแม้ถุงจะถูกปิดอยู่ก็ทำให้ไซม่อนยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย จริง ๆ แล้วเขาเองก็ไม่ได้ถึงกับเป็พวกคลั่งไคล้ขนมอะไรแบบนั้นหรอก แต่พอเป็ขนมที่มีคนตั้งใจซื้อมาให้แบบนี้ ความรู้สึกมันก็ต่างกันจริง ๆ และถุงกระดาษสีขาวก็ถูกหยิบยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกดีเข้าไปใหญ่
คุ้มแล้วแหละมั้ง
กับการที่นั่งรอมาทั้งวันั้แ่เมื่อวาน
ใช่ ไซม่อนนี่แหละที่นั่งรอแพทริเซียั้แ่อีกฝ่ายออกจากคฤหาสน์ไปจนดึกดื่น ถึงแม้เขาจะคอยบอกตัวเองอยู่ตลอดก็เถอะว่ามันไม่มีความจำเป็ที่ต้องมานั่งรออีกฝ่ายเลยเพราะแพทก็ได้ให้สัญญาไว้แล้ว แต่ทำไมตลอดทั้งวันของเขาวนเวียนอยู่กับการคิดเื่คุณครูฝึกสอนตรงหน้าด้วยก็ไม่รู้ ความกังวลใจที่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกขึ้นมามากมายทั้งวันยิ่งทำให้เขาเอาแต่ใจจดใจจ่ออยู่กับการรออีกฝ่าย และนั่นก็คงเป็เหตุผลที่เขารีบจูงเ้าแซมมี่มาทางฝั่งปีกขวาของชั้นสองั้แ่เวลาเช้าตรู่ด้วยละมั้ง
“ของเราเหรอ?” อัลฟ่าหนุ่มเอ่ยถามพร้อมลุกขึ้นยื่นมือรับถุงกระดาษสีขาวจากแพทริเซียมาไว้กับตัวเอง เขาเปิดปากถุงออกน้อย ๆ เพื่อสอดส่องดูของข้างในและมันก็ทำให้เขายิ้มออกมาอีกครั้ง ขนมมากมายที่ถูกเลือกสรรถูกบรรจุในถุงจนแน่นไปหมด
“ใช่ ของคุณนั่นแหละ”
“ทั้งหมดเลย?”
“อื้ม ก็เราไม่รู้ว่าขนมอันไหนจะถูกใจคุณเลยเลือกมาเกือบทุกอย่างที่มีในร้านเลย”
“ราคาคงแพงน่าดู”
“ไม่เลย”
“ให้เราจ่ายคืนให้ได้ไหม?”
“ไม่ต้องหรอก เราตั้งใจซื้อมาฝากคุณควินท์เรลนะ”
“งั้นจ่ายคนละครึ่งก็ได้.. เผื่อจะได้ทานด้วยกัน” ไซม่อนเอ่ยเสียงแ่พร้อมจ้องมองใบหน้าของแพทริเซียด้วยแววตาใสซื่อ
เหมือนลูกหมาเลย
แพทริเซียก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มทันทีที่ได้เห็นสายตาของอีกฝ่าย ท่าทางที่แสดงออกมาเหมือนเด็กซื่อแบบนั้นยิ่งทำให้ความเอ็นดูที่แพทมีให้ไซม่อนมีเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยปกติแล้วการซื้อของฝากให้คนรอบข้างนั้นเป็เื่ปกติที่เขามักจะทำเป็ประจำ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะตอบกลับมาแบบไซม่อน และยิ่งความคิดที่อยากแบ่งกันทานนั่นอีก
แพทกำลังจะหยุดยิ้มไม่ได้แล้วจริง ๆ
“ราคามันเท่าไหร่เหรอคุณมอร์แกน”
“คุณควินท์เรล”
“อื้ม ว่าไง?”
“เราซื้อมาให้คุณ ไม่จำเป็ต้องจ่ายให้เราหรอก แต่ถ้าคุณอยากแบ่งให้เรากินก็เป็สิทธิ์ของคุณเพราะขนมทั้งหมดในถุงนี้เป็ของคุณ”
“แต่ว่า-”
“ไว้โอกาสหน้า คุณควินท์เรลค่อยเอาขนมอย่างอื่นมาฝากเราบ้าง ดีไหม?”
“เราจะมีโอกาสได้ไปซื้อเมื่อไหร่กันล่ะ..”
ไซม่อนบ่นอุบอิบพร้อมกับก้มหน้าจนคางชิดอก โอเมก้าตัวขาวชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคตัดพ้อและท่าทางของคนตรงหน้า ทั้งที่จริงมันควรเป็ประโยคปลอบใจที่อีกฝ่ายไม่ต้องใส่ใจก็ได้ แต่เพราะเป็ไซม่อนด้วยละมั้ง ถึงพร้อมจะลองทำทุกอย่างตามที่เขาพูดออกไปทุกครั้ง
“ก็ไม่เห็นต้องเป็สิ่งของที่ต้องซื้อเลยก็ได้นี่”
“..” อัลฟ่าหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย
“ขอแค่เป็อะไรที่คุณควินท์เรลเห็นแล้วคิดถึงเราขึ้นมาหรือคิดว่าอยากให้สิ่งนั้นกับเราแค่นั้นก็พอแล้วละ”
“ได้ยังไงกัน ขนมนี่ก็ดูแพงออก”
“สิ่งของที่อยากให้กันมันไม่ได้มีมูลค่าที่ราคาหรอกนะคุณควินท์เรล”
“..”
“มูลค่ามันอยู่ที่ใจของคนอยากให้มากกว่า”
“เหรอ..”
“ใช่ครับ”
อัลฟ่าหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะโล่งใจขึ้นบ้างที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำหน้าง้ำงอแบบในตอนแรกแต่เขาก็ยังไม่เข้าใจสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมาอยู่ดี แล้วจู่ ๆ ไซม่อนก็ยืดตัวเต็มความสูงก่อนจะก้าวเข้ามาหาเขาช้า ๆ จนโอเมก้าตัวเล็กใถอยจนแผ่นหลังติดกับกำแพงหน้าห้อง
“อ.. อะไรเหรอคุณควินท์เรล”
หัวใจดวงเล็กเต้นถี่ขึ้นมาเมื่อได้กลิ่นไม้สนที่เป็เอกลักษณ์จากอีกฝ่ายลอยมาแตะจมูก แพทอยากจะกลั้นหายใจเหลือเกินแต่ก็กลัวจะผิดสังเกตจนอีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมาอีก ทั้งที่ไซม่อนยังไม่ได้ทำอะไรด้วยซ้ำแต่ทำไมเขาถึงรู้สึกใจเต้นแปลก ๆ ขึ้นมาได้มากขนาดนี้
“ขอบคุณนะ”
“ครับ”
“ขอบคุณทั้งเื่ขนม ทั้งเื่ที่ตั้งใจซื้อมาให้เรา”
“เราพูดกับคุณควินท์เรลไว้แล้วนี่ เราตั้งใจซื้อมาให้จริง ๆ”
“อื้ม เราก็รอคุณมอร์แกนอย่างตั้งใจเหมือนกัน”
ประโยคบอกเล่าที่ฟังดูแล้วแสนธรรมดาแต่ในตอนนี้กลับทำให้ใบหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ หัวใจที่กำลังเต้นแรงกลับเต้นถี่ขึ้นจนแพทริเซียได้ยินเสียงจังหวะหัวใจของตัวเองดังก้องอยู่ในหู ฝ่ามือเล็กเลื่อนขึ้นมาทาบทับที่หน้าอกข้างซ้ายน้อย ๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
ในตอนนี้ แพทไม่กล้ามองหน้าไซม่อนด้วยซ้ำ
แต่อาการของอัลฟ่าหนุ่มก็ไม่ได้ต่างกัน ใบหูของเขาแดงขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นจับหูตัวเองเพื่อเก็บซ่อนอาการเอาไว้ บทสนทนาที่จบลงอย่างไม่ตั้งใจก็ถูกแทนที่ด้วยความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณและมีเพียงแค่เสียงของเ้าแซมมี่ร้องครางหงิงขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเ้านายไม่ได้สนใจตัวมันอีกต่อไปแล้ว
แพทริเซียค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจของตัวเองออกช้า ๆ เขาเลื่อนมือชื้นเหงื่อของตัวเองถูไปมากับเสื้อนอนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองอัลฟ่าตรงหน้าที่กำลังจ้องมองเขาอยู่เหมือนกัน
“กลิ่นขนมมันหอมเนอะ” ไซม่อนเอ่ยขึ้นมาพร้อมชำเลืองมองถุงกระดาษในมือของตน
“อ๋อ.. อ่า ก็ต้องหอมสิ ที่ร้านใช้เนยสดทำเองด้วยนะ”
“มันหอมกลิ่น.. วนิลาน่ะสิ”
แพทตอบกลับไปพร้อมเสียงหัวเราะแห้ง ๆ เพื่อแก้เขินกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่พอได้รับคำตอบแบบนั้นกลับมาพร้อมได้มองไซม่อนใกล้ ๆ แบบนี้ ภาพในวันที่เขาสอนให้อีกฝ่ายจัดระเบียบร่างกายของตัวเองครั้งแรกก็ผุดขึ้นมาจนทำให้ริมฝีปากเล็กต้องเม้มเข้าหากันแน่น เสียงหอบหายใจที่เคยดังของทั้งคู่ในวันนั้นก็ดังก้องขึ้นมาในหูจนแพทต้องกลืนน้ำลายตัวเองอย่างยากลำบาก
เอาจริงแล้ว การอยู่ใกล้กันของอัลฟ่าและโอเมก้าที่โตเต็มวัยสมบูรณ์อย่างพวกเขานั้นไม่ใช่เื่ดีเลยสำหรับคนที่ไม่ได้พร้อมจับคู่กัน จากที่ไม่เคยคิดจะศึกษาเื่ระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าแต่หลังจากที่ได้ใกล้ชิดกับไซม่อน เขาเองก็เริ่มศึกษามาบ้างและพบว่ามันก็ค่อนข้างอันตรายสำหรับเพศรองอย่างเขาเหมือนกัน
ถึงแม้จะปกป้องตัวเองดีแค่ไหนก็เถอะ
แต่เพราะสัญชาตญาณก็อาจจะทำให้บางอย่างอยู่เหนือการควบคุม
และยิ่งในตอนนี้ที่เขาเองก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองนั้นประหม่าและร่างกายก็กำลังสั่นเทิ้มเพียงเพราะแค่อยู่ใกล้กับอีกฝ่ายนี่อีก กลิ่นไม้สนที่ลอยจางมากับอากาศทำแพทริเซียคุมตัวเองได้ยากลำบาก และดูเหมือนในตอนนี้กลิ่นที่อีกฝ่ายกำลังสูดดมอยู่มันก็ไม่ใช่กลิ่นขนมในถุงกระดาษนั่นแล้วละ
เพราะกลิ่นประจำตัวของเขา
คือกลิ่นวนิลา
ยังไม่ทันที่แพทริเซียจะได้พูดแก้ตัวออกไปแต่เพราะอัลฟ่าหนุ่มที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ พร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดใส่เขา โอเมก้าตัวเล็กก็ตัวแข็งทื่อซะจนขยับไปไหนไม่ได้ ไซม่อนแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเองด้วยความสงสัย ความหวานฟุ้งของกลิ่นประจำตัวของโอเมก้าตัวเล็กทำเขาอดไม่ได้จนต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเรื่อย ๆ
“กลิ่นมันหอมจริง ๆ นะคุณมอร์แกน แต่มันเหมือนหอมไม่ได้หอมมาจากขนม..”
“ม.. ไม่ใช่หรอก กลิ่นขนมนั่นแหละคุณควินท์เรล”
“แต่-”
“เรา.. เราจะไปอาบน้ำแล้ว กินขนมให้หมดด้วยล่ะ!” แพทริเซียพูดขึ้นอย่างรีบร้อนพร้อมผลักหน้าอกกว้างให้ออกจากตัวเองจนสุดกำลัง คนตัวเล็กรีบวิ่งเข้าไปในห้องพร้อมกับดึงประตูบานใหญ่ให้ปิดลงจนเกิดเสียงดังไปทั่วชั้นสอง
แผ่นหลังเล็กพิงกับประตูห้องนอนพร้อมหัวใจที่เต้นถี่รัว กลิ่นวนิลาหอมหวานที่ลอยฟุ้งอยู่กับอากาศทำแพทต้องขบฟันลงกับริมฝีปากของตัวเองไว้แน่น ดูเหมือนว่าอาการฮีทของเขามันจะมาถึงเร็วกว่าปกติแล้วจริง ๆ ขาเรียวเล็กก้าวยาว ๆ ไปที่โต๊ะเพื่อควานหากระปุกยาระงับอาการฮีทมากำไว้ในมือแน่น
เกือบไปแล้วจริง ๆ
เพียงเพราะแค่อยู่ใกล้กันเท่านั้นเอง
กลิ่นไม้สนที่ติดอยู่ปลายจมูกทำใจดวงเล็กเต้นถี่รัวขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่เหมือนกำลังถูกปกป้องและความรู้สึกปลอดภัยที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต แต่ในตอนนี้มันกลับค่อย ๆ คืบคลานเข้าที่หน้าอกข้างซ้ายจนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเหมือนกำลังถูกผ้านวมผืนใหญ่โอบกอดไว้ซะอย่างนั้น
ว่าแต่ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันล่ะ?
- Simon’s theory -