เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยการมาถึงของคนจากฮ่องเต้ที่นำราชโองการมาแจ้ง ฉินเย่เหวินได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากผู้บังคับการทหารระดับสูงเป็แม่ทัพเพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งเป็สิ่งที่ยากจะเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของกองทัพ ที่เต็มไปด้วยนายทหารที่ต้องใช้เวลาหลายสิบปีเพื่อก้าวถึงตำแหน่งนี้ แต่สำหรับฉินเย่เหวิน มันกลับไม่ใช่เวลาแห่งความยินดีหรือความตื่นเต้นเลย สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและความรู้สึกผิดหวัง เขาเห็นว่าการยกตำแหน่งครั้งนี้ไม่คุ้มค่ากับความเ็ปที่เขาต้องเผชิญจากการต้องแยกจากหญิงสาวผู้เป็ที่รัก ความสำเร็จในสายตาของเขากลับกลายเป็การแลกเปลี่ยนที่แสนเ็ปและไร้ค่า
“หวังเจียเหอ ฮ่องเต้ ข้าขอสัญญาว่าจะทำให้เ้าต้องรู้สึกเ็ปอย่างที่สุด ข้าจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เ้ารัก ไม่ว่าจะเป็เมียของเ้า ลูกของเ้า หรือแม้แต่ท่านแม่ของเ้า ข้าจะไม่เว้นแม้แต่สนมที่อยู่เคียงข้างเ้า ข้าจะทำให้เ้าต้องสูญเสียทุกสิ่งที่สำคัญสำหรับเ้า” นี่เป็คำมั่นสัญญาของฉินเย่เหวินที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความปรารถนาในการแก้แค้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นดูเหมือนจะเป็ความฝันที่เลื่อนลอย ที่สุดท้ายอาจไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็ความจริงได้ เพราะถูกขัดขวางด้วยความจริงที่ยากจะเปลี่ยนแปลง
ฉินเย่เหวินเริ่มมุ่งมั่นในการดูแลตัวเองอย่างเข้มงวด เพิ่มเสน่ห์และบุคลิกภาพให้ดูโดดเด่นราวกับเป็ยอดขุนพลแห่ง์ เพื่อให้ทุกสายตาที่มองมาหาเขารู้สึกหวั่นไหว สาวงามทั้งแผ่นดินต่างหลงใหลในตัวเขา แม่ทัพหนุ่มผู้นี้ค่อยๆ เพิ่มเสน่ห์ของตนด้วยความตั้งใจ ทำให้สาวงามมากมายหันมาจับจ้องและพูดถึงเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
ทุกครั้งที่เขาเข้าวังหลวง เขาไม่พลาดที่จะสบตากับองฮองเฮาอย่างแอบแฝง แม้ว่าฮ่องเต้จะอยู่เคียงข้างเธออยู่ตลอดเวลา องฮองเฮาก็สามารถััได้ถึงความเร่าร้อนในสายตาของแม่ทัพหนุ่ม สายตาที่เขามองมานั้นแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่ลึกซึ้งและเผ็ดร้อน แม้จะมีฮ่องเต้เป็กำแพงกั้นกลาง แต่ความตึงเครียดและแรงดึงดูดระหว่างพวกเขายังคงมีอยู่ตลอดเวลา
ภายในใจขององฮองเฮาเต็มไปด้วยความเปลี่ยวเหงาและความเ็ปที่ลึกซึ้ง ฮ่องเต้ไม่เคยสนองความ้าทางอารมณ์ของนางเลย นางต้องเผชิญกับความเหงาและความท้อแท้จากการที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับนางสนมอื่นๆ มากกว่านาง อารมณ์และความรู้สึกของนางถูกละเลยและไม่มีใครให้ความสนใจ การต้องทนอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มานานสร้างความรู้สึกผิดหวังและความเศร้าในใจของนาง ทำให้ความเปลี่ยวเหงาที่สะสมอยู่ภายในนั้นยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ชีวิตในวังหลวงกลายเป็ความทนทุกข์ที่ยากจะทนได้
หลังจากที่แม่ทัพหนุ่มรุ่นลูกส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนมาที่องฮองเฮา เปลวไฟแห่งความ้าในใจของนางเริ่มถูกจุดติดอย่างรวดเร็ว แม้จะนั่งอยู่ท่ามกลางความหรูหราและการจับตามองจากผู้คนมากมายในวังหลวง ตัวนางกลับรู้สึกเหมือนถูกเปลวไฟแห่งราคะเข้าครอบงำจนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตัวนางนั้นรุนแรงและลึกซึ้ง นางเริ่มรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และการที่แม่ทัพหนุ่มส่งสายตาที่มีเสน่ห์และเร่าร้อนมายังนาง ทำให้นางเริ่มอยากจะทำความรู้จักกับเขามากขึ้น
แม่ทัพฉินเย่เหวินรู้ดีว่าหลี่หวงซินและสาวใช้นั้นจะต้องเดินผ่านเส้นทางนี้ เขาจึงแสร้งทำเป็ยืนชมวิวธรรมชาติอย่างสงบ แต่สายตาของเขากลับจ้องมองไปที่องฮองเฮาอย่างไม่ละสายตา เปลวไฟแห่งความเร่าร้อนในดวงตาของเขาชัดเจนแม้จะพยายามซ่อนมันไว้
เมื่อองฮองเฮาหลี่หวงซินเห็นแม่ทัพหนุ่มจ้องมองนางอย่างร้อนแรงในโถงวังหลวง นางจึงสั่งให้สาวใช้ยืนอยู่ตรงที่เดิมแล้วเดินเข้าไปหาฉินเย่เหวินเพียงลำพัง น้ำเสียงของนางเ็าและเรียบเฉย แต่น้ำหนักของคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังและความท้าทาย
“เ้าจ้องมองข้าด้วยสายตาที่หยาบคายเช่นนี้ไม่กลัวโดนข้าสั่งปะาเหรอ?” นางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงอารมณ์มากนัก แต่มองผ่านไปยังแม่ทัพหนุ่มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
แม่ทัพฉินเย่เหวินยังคงจ้องมองใบหน้าขององฮองเฮาหลี่หวงซินอย่างไม่อ้อมค้อม แม้จะเป็หญิงวัย 48 ปี แต่ความงดงามของนางยังคงเปล่งประกายอย่างสง่างาม นางมีใบหน้าที่เรียบเนียนและสวยงาม ราวกับภาพวาดที่สวยงามซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยความพิถีพิถัน ใบหน้าของนางมีความละเอียดอ่อนและเสน่ห์ที่ท้าทาย แม้ว่าจะผ่านกาลเวลา แต่ความงามของนางยังคงคงทนและไม่จางหาย
เรือนร่างขององฮองเฮานั้นเป็สิ่งที่ยากจะลืมเลือน แม้จะมีอายุ แต่รูปร่างของนางยังคงสง่างามและมีเสน่ห์ นางมีสัดส่วนที่งดงามเหมาะสมกับความเป็ราชินี ทุกๆ สัดส่วนของร่างกายดูเหมือนถูกวางแผนมาอย่างดีเสมอ ร่างกายของนางมีความสมดุลและสง่างาม ่เอวที่เพรียวบางและสะโพกที่โค้งมน ทำให้รูปร่างของนางดูมีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น
แม่ทัพหนุ่มแสดงความหืนกระหายที่ไม่ปิดบังต่อเรือนร่างของนาง ด้วยแววตาที่เปล่งประกายความ้าอย่างไม่ปิดบัง เขาพูดด้วยความรู้สึกจริงใจและอิจฉาฮ่องเต้ที่มีสาวงามเช่นนางอยู่ข้างกาย
“หากข้าต้องตายเพราะผู้หญิงที่งดงามเช่นท่าน ข้าก็ยอม ข้าจะถือว่าตัวของข้านั้นคงตายไม่เสียชาติเกิดแล้ว แต่สิ่งที่ข้าเสียใจจริงๆ ก็คือข้าคงไม่มีบุญวาสนาสักครั้งที่จะได้ชื่นชมเรือนร่างที่สุดแสนจะเย้ายวนของท่าน ข้าล่ะอิจฉาฮ่องเต้จริงๆ ที่มีสาวงามเช่นท่านอยู่ข้างกาย”
ไฟราคะในใจขององฮองเฮาหลี่หวงซินลุกโชนอย่างรุนแรงเมื่อแม่ทัพหนุ่มฉินเย่เหวินแสดงออกถึงความ้าเรือนร่างของนาง น้ำราคะไหลออกจากบริเวณที่ลับของนางบ่งบอกถึงความร้อนแรงของอารมณ์ที่เธอรู้สึกอย่างชัดเจน ขณะที่ความ้าและความกระหายในใจของนางมีการแสดงออกอย่างชัดเจน
เมื่อนางพยายามพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “หากข้าสวยงามจริง ฮ่องเต้ก็ต้องสนใจข้าบ้างสิ แต่เขากลับไม่เคยมองข้าสักครั้ง” นางพูดด้วยความเ็ปและความรู้สึกท้อแท้ เนื่องจากความรู้สึกที่ถูกละเลยในวังหลวงได้สะสมอยู่ในใจของนาง
แม่ทัพฉินเย่เหวินยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเคารพ “หากข้าต้องตกไปเป็ทาสทั้งชีวิตของท่าน ข้าก็ยินดี” คำพูดของเขาแสดงให้เห็นถึงความหลงใหลและความชื่นชมที่แท้จริงต่อความงามของนาง ความรู้สึกนี้ยิ่งทำให้หัวใจขององฮองเฮาพองโตด้วยความตื้นตันและความสุข
ความรู้สึกของนางที่เคยถูกละเลยและเ็ปกลายเป็ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความพอใจและความรู้สึกว่าเธอมีค่า ในตอนนี้นางรู้สึกได้รับการยกย่องและชื่นชมอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นจากคำชมของแม่ทัพหนุ่มทำให้หัวใจของนางกลับรู้สึกเต็มไปด้วยความรู้สึกดีและความสุขที่นางไม่เคยััมาก่อน
องค์ฮองเฮาหลี่หวงซินมองแม่ทัพหนุ่มฉินเย่เหวินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความสงสัย หลังจากที่เขาแสดงออกถึงความชื่นชมและความหลงใหลในตัวนางอย่างเปิดเผย นางตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่มีความเยือกเย็นและท้าทาย
“หึ เ้าช่างใจกล้านัก ข้าจะคอยดูไปก่อนว่าเ้าจะมีความกล้าได้มากสักเพียงไหน”
น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความไม่เชื่อและความคาดหวัง นาง้าทดสอบความจริงใจของแม่ทัพหนุ่มและดูว่าเขาจะมีความกล้าพอที่จะดำเนินตามคำพูดของเขาหรือไม่ ความท้าทายนี้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่ซับซ้อนและความหวาดระแวงของนาง ในขณะเดียวกันก็เป็การเปิดโอกาสให้แม่ทัพหนุ่มได้พิสูจน์ตัวเองต่อหน้าต่อตานาง