“น้องสามแต่งบทกวีไปว่าอย่างไรหรือ อยากพูดให้พวกเราทุกคนร่วมชื่นชมไปด้วยหรือไม่” เมื่อมองไปรอบๆ เห็นเหล่าคุณหนูกำลังล้างมืออยู่ โม่เสวี่ยิ่ก็แสดงสีหน้ายิ้มย่องแล้วถามอย่างอดมิได้
“พี่หญิงพูดล้อเล่นแล้ว ข้าหรือจะเขียนบทกวีอะไรได้ อักษรก็รู้อยู่แค่ไม่กี่ตัวเท่านั้นเอง คงไม่อาจเรียกว่าเป็ร้อยกรองบทกวีอะไรหรอก ดูจากความรวดเร็วในการแต่งกลอนของพี่หญิงก็รู้ได้ว่าต้องแต่งออกมาได้ดีแน่ วันหน้าหากมีเวลาก็ช่วยชี้แนะน้องสาวบ้างเล่า ยามมีงานเลี้ยงในวังแบบนี้อีกจะได้ไม่ต้องขายหน้ามาถึงพี่หญิง” โม่เสวี่ยถงยิ้มหวานหยาดเยิ้ม ตั้งใจกล่าวเสียงดังขึ้นเล็กน้อยอย่างถ่อมตัว
นางก็เขียนไปเรื่อยเปื่อยจริงๆ นั่นแหละ วันนี้สมควรต้องให้โม่เสวี่ยิ่ได้ขึ้นชื่อบนหัวแถว
คำพูดเช่นนี้ย่อมเป็การเปิดโอกาสให้โม่เสวี่ยิ่สบช่องใช้ประโยชน์ แสร้งแสดงความใส่ใจต่อน้องสาวด้วยน้ำคำอ่อนโยน “เื่นี้จะโทษน้องสามได้อย่างไร เมื่อก่อนเ้าอยู่อวิ๋นเฉิงมาโดยตลอด งานราชการของท่านพ่อก็ล้นมือ ไม่มีเวลาแม้แต่จะเชิญผู้รู้มาช่วยอบรมสั่งสอนให้ จะไม่รู้ความบ้างก็เป็เื่ปรกติ รอท่านพ่อมีเวลาเมื่อไรพี่สาวจะเสนอให้ท่านพ่อช่วยหาพี่เลี้ยงาุโให้เ้าสักคน”
คุณหนูในสกุลไหนๆ ต่างก็มีพี่เลี้ยงาุโประจำตัวั้แ่เล็กกันทั้งสิ้น ไม่เพียงแต่ช่วยอบรมกฎระเบียบ ขัดเกลามารยาททางสังคม ยังช่วยบ่มสอนศิลปะการครองเรือน วิถีการเป็ภรรยาและสะใภ้ที่ดี อบรมจรรยาสตรี พิณหมากบทกวีภาพวาด... หากมิได้ร่ำเรียนสิ่งเหล่านี้มาั้แ่เด็ก โตขนาดนี้แล้วค่อยมาศึกษาจะทันใช้งานได้อย่างไร?
บ้านไหนจะอยากแต่งสตรีที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง ทั้งยังไม่เป็ที่โปรดปรานของบิดามาเป็สะใภ้บ้างเล่า แต่งมาก็ไม่อาจใช้ประโยชน์อันใดได้สักอย่าง
ดังนั้นเมื่อโม่เสวี่ยิ่กล่าวจบ ฮูหยินที่ได้ยินคำพูดของนางต่างมองโม่เสวี่ยถงด้วยแววตาเหยียดหยาม บางคนก็มองพิจารณาโม่เสวี่ยิ่อย่างละเอียด แม้เป็ธิดาที่เกิดจากอนุภรรยาแต่ก็มีพร์ความสามารถโดดเด่น บิดาก็โปรดปรานรักใคร่ ไม่แน่ว่าต่อไปอาจมีโอกาสได้เป็ธิดาภรรยาเอกก็เป็ได้ จึงพากันมองอย่างรู้สึกชื่นชม
เมื่อโม่เสวี่ยิ่เห็นสายตาของฮูหยินสองสามท่านมองมาที่ตนเองก็สลัดสีหน้าลำพองใจไปจนสิ้น นั่งวางท่างามสง่ายกยิ้มน้อยๆ ดูนุ่มนวลอ่อนหวาน เหล่าฮูหยินต่างผงกศีรษะอย่างพึงใจอยู่เงียบๆ คิดไว้ว่าอาจจะส่งคนไปลองทาบทามดูเสียหน่อย
“ขอบคุณมากเ้าค่ะพี่หญิงใหญ่” โม่เสวี่ยถงไม่นำพาแม้แต่น้อย สีหน้ายังคงเผยรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาสร้างความรู้สึกดีให้ผู้คน “มิน่าเล่าจึงมักได้ยินผู้คนกล่าวขวัญถึงพี่หญิงอยู่เสมอ บทกวีที่ไพเราะถึงเพียงนั้นก็ยังสามารถประพันธ์ออกมาได้ ยอดเยี่ยมที่สุดเลยเ้าค่ะ หากเป็ข้าล่ะก็... ต่อให้สิบวันสิบห้าวันก็ยังเขียนออกมาไม่ได้เลย แค่ได้เห็นก็รู้สึกเป็บุญตาแล้ว”
ยิ่งเชิดชูให้สูงเท่าไร ตอนตกลงมายิ่งเจ็บสาหัสเท่านั้น!
ใบหน้าทอยิ้มดูใสซื่อ เอ่ยวาจายกยอปอปั้นโม่เสวี่ยิ่สุดกำลัง ทำให้คุณหนูคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้างเริ่มรู้สึกหมั่นไส้
ขุนนางที่ได้เข้าวังครานี้ล้วนเป็ขุนนางขั้นสอง ขั้นสามขึ้นไป ทั้งยังมีทายาทของขุนนางผู้มีคุณงามความดีในอดีตมาร่วมด้วย โม่ฮว่าเหวินเป็ขุนนางขั้นสามย่อมมีคุณสมบัติเข้าร่วมงานได้อยู่แล้ว แต่ซือหม่าเหอเยี่ยนมาในฐานะบุตรหลานของขุนนางผู้มีความชอบ และซือหม่าหลิงอวิ๋นก็กำลังจะได้สืบบรรดาศักดิ์เป็ท่านโหวแล้วด้วย
หากกล่าวตามเหตุผลท่านโหวผู้เฒ่าเสียชีวิตไปนานแล้ว ซือหม่าหลิงอวิ๋นผู้เป็ทายาทควรได้เลื่อนขึ้นเป็เจิ้นกั๋วโหวแทนบิดา แต่เนื่องจากมีเหตุนานัปการและจักรพรรดิไม่ทรงเอ่ยถึง ผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมไม่กล้ามากวาจา ด้วยเหตุนี้ซือหม่าหลิงอวิ๋นจึงเป็เพียงซื่อจื่ออยู่เยี่ยงนี้มาจนถึงอายุยี่สิบปี
แต่มีข่าวจากในวังออกมาว่า คืนนี้อาจมีการแต่งตั้งให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นเป็เจิ้นกั๋วโหวคนใหม่ แต่เนื่องจากโหวฮูหยินสุขภาพไม่ดีมิได้มาด้วย ดังนั้นเขาจึงพาซือหม่าเหอเยี่ยนน้องสาวผู้ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมาออกงานแทน
ซือหม่าเหอเยี่ยนชื่นชอบบทกวีเป็อย่างยิ่ง เนื่องจากซือหม่าหลิงอวิ๋นยังมิได้เลื่อนขึ้นเป็เจิ้นกั๋วโหว ตำแหน่งที่นั่งของนางจึงรั้งอยู่ด้านหลังเช่นเดียวกัน เมื่อได้ยินโม่เสวี่ยถงเอ่ยชมบทกลอนของโม่เสวี่ยิ่ไม่ขาดปากก็นึกอยากรู้อยากเห็น หันมาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูใหญ่เขียนบทกวีไว้อย่างไรหรือ พูดให้พวกเราทุกคนฟังบ้างสิ”
เหล่าคุณหนูและฮูหยินที่นั่งอยู่ด้วยกันต่างก็รบเร้าอย่างกระตือรือร้น
โม่เสวี่ยิ่ย่อมลำพองใจยิ่ง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากร่ายกลอนบทนั้น หางตาพลันเห็นโม่เสวี่ยถงกำลังยกยิ้มพร่างพรายจึงได้สติ ฉุกคิดแล้วหุบปากนิ่ง โม่เสวี่ยถงมิใช่น้องสาวที่ไร้ปัญญาความสามารถคนเดิมอีกแล้ว และหาได้เชื่อตนเองอย่างหมดใจเหมือนเมื่อก่อน จากการลับเหลี่ยมกันมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ นางต้องเป็ฝ่ายเพลี่ยงพล้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ครานี้จะให้เสียเื่อีกไม่ได้เด็ดขาด
“น้องสามเยินยอเกินไปแล้ว ข้าคิดอะไรได้ก็จรดพู่กันลงไป ไหนเลยจะเขียนได้ยอดเยี่ยมดังเ้าว่า จึงไม่อาจรับคำชมของคุณหนูและฮูหยินทุกท่านได้หรอกเ้าค่ะ” โม่เสวี่ยิ่แสร้งทำทีแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนอีกครั้ง
“พี่หญิงก็อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย บทกวีที่ดีเยี่ยงนั้นมิได้เห็นกันง่ายๆ แค่ดูก็รู้แล้วว่ามีความรู้ความสามารถสูงส่ง” โม่เสวี่ยถงไม่คิดจะปล่อยนางไปง่ายๆ รอยยิ้มบนริมฝีปากยิ่งเผยความจริงใจเด่นชัด ยกชายกระโปรงขึ้นอย่างน่ารัก กล่าวเสียงมาดมั่นสีหน้าดูภาคภูมิใจยิ่ง
ไม่รู้ว่านังเด็กสมควรตายผู้นี้จะออกความคิดอะไรอีก จึงจะบีบให้ตนเองพูดบทกวีออกมาให้ได้ แม้ว่าโม่เสวี่ยิ่จะไม่กระจ่างเหตุผล แต่ในใจก็มีเสียงเตือนให้ระวังภัยตลอดเวลา เจตนาเดิมของนางย่อม้าเผยประกายความสามารถให้ทุกคนได้ประจักษ์ในงานเลี้ยงคืนนี้ ทำให้บิดาเห็นความสำคัญ แต่ท่าทีของโม่เสวี่ยถงยามนี้ชวนให้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ในขณะที่ยังไม่ล่วงรู้เป้าหมายของอีกฝ่ายนางจะต้องนิ่งไว้ก่อนเพื่อป้องกันความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น
สาเหตุที่ทำให้ตนเองต้องแพ้พ่ายอย่างหมดรูปก่อนหน้านี้ ก็เพราะใจร้อนเกินไป
โม่เสวี่ยิ่หวนคิดถึงที่มาของกวีบทนี้ จำได้ว่ายามนั้นนางลอบไปหาซือหม่าหลิงอวิ๋นที่จวนเจิ้นกั๋วโหว ระหว่างรออยู่ในห้องหนังสือก็หยิบประชุมบทกวีของเขามาอ่าน บทกลอนเ่าั้ไพเราะราวกับผู้เขียนเป็ดรุณีน้อยคนหนึ่ง นางจึงแอบท่องจำบทที่ชื่นชอบเอาไว้ คราวนี้จึงมีโอกาสหยิบยกออกมา อย่างไรซือหม่าหลิงอวิ๋นก็มีใจให้นาง แม้จะทราบภายหลังว่าตนเองแอบนำบทกลอนที่เขาแต่งขึ้นมาใช้ย่อมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว
ดังนั้นโม่เสวี่ยิ่จึงชะล่าใจ ไม่วิตกแม้แต่น้อยว่าจะถูกผู้อื่นเปิดโปง และยิ่งไม่เคยคิดว่าบทกลอนแสนไพเราะบทนั้นซือหม่าหลิงอวิ๋นมิได้เป็ผู้แต่งขึ้นด้วยตนเอง บทประพันธ์ของเขาอย่างมากก็มีเพียงบทสองบทเท่านั้น แท้จริงแล้วในตำรารวบรวมบทกวีที่โม่เสวี่ยิ่พบ หากไม่จ้างบัณฑิตมาเขียนให้ก็คัดลอกหยิบยืมมาจากผู้อื่น ปกติก็ไม่แม้แต่จะเปิดอ่าน ดีไม่ดีเ้าตัวยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าบทกลอนที่ตนเองเพียรจรดพู่กันลงไปจนเป็เล่มออกมามีกลอนบทนี้อยู่ด้วย
โม่เสวี่ยิ่เชื่อว่าซือหม่าหลิงอวิ๋นจะไม่นำบทกวีที่งดงามอ่อนช้อยเหมือนดั่งความคิดของสตรีมาใช้อย่างแน่นอน งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยคุณชายสกุลดีซึ่งนิยมชมชอบในบทกวี หากพวกเขาได้เห็นบทกลอนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของหญิงงามในหอลึกเยี่ยงนี้ จะต้องเกิดความประทับใจต่อนางอย่างลึกซึ้ง
เมื่อใคร่ครวญถึงจุดนี้ นางยังมีโอกาสแต่งเข้าตำหนักขององค์ชายได้อยู่ หรือหากไม่สามารถก็ยังมีหวังว่าจะได้แต่งเข้าจวนของตระกูลสูงศักดิ์ แม้หลี่โย่วโม่จะเป็บุตรภรรยาเอกของท่านเสนาบดีหลี่ ซึ่งนับว่ามีอำนาจบารมีอย่างแท้จริง แต่เหนือจากเขาขึ้นไปยังมีเหล่าองค์ชาย จวนมหาเสนาบดีและกั๋วกงทั้งสี่ ขอเพียงแมีบุตรหลานของตระกูลดังกล่าวมาหมายตา นางเชื่อว่าด้วยสติปัญญา รูปโฉมและความสามารถของตนเอง ย่อมมีโอกาสได้แต่งเข้าสกุลที่สูงส่งดีงามกว่านี้ได้แน่
เมื่อเวลานั้นมาถึงนางจะเหยียบโม่เสวี่ยถงให้จมดิน ต้องให้นังแพศยาน้อยก้มหัวอยู่แทบเท้าของตนเองในสภาพน่าเวทนาแสนสาหัสอย่างที่สุด ขณะที่นึกลำพองใจ สีหน้ากลับฉายแววของผู้ถ่อมตนและยิ่งอ่อนโยนลงเรื่อยๆ
“มิได้ยอดเยี่ยมปานนั้นหรอก น้องสามก็อย่าเอ่ยถึงอีกเลย เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเ้าตั้งใจยกยอพี่สาวของตนเอง” โม่เสวี่ยิ่ยิ้มกล่าว
โม่เสวี่ยิ่เสแสร้งเก่งนัก โม่เสวี่ยถงยิ้มเยาะในใจ แม้จะปกปิดได้ดีเลิศอย่างไร แต่รอยยิ้มลำพองใจใต้ก้นบึ้งดวงตาก็ล้นออกมาอยู่ดีนั่นแหละ
นางไม่รีบก็ไม่เป็ไร ที่จริงวันนี้ตนเองก็ไม่นึกอยากมีเื่ แต่กลับมีคนรอไม่ไหว เช่นนั้นมิสู้อดใจไว้ รอสักประเดี๋ยวคงมีละครสนุกให้ชมอีกเยอะ
ต่อจากนั้นโม่เสวี่ยถงก็มิได้เอ่ยคำใดออกมาอีก เนื่องจากมีบทกลอนจากเหล่าคุณชายส่งมา แต่ละคนอ่านแล้วก็มีทั้งพยักหน้าและส่ายศีรษะ พอมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าเข้ามาก็พากันลืมเลือนเื่เมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น มีเพียงซือหม่าเหอเยี่ยนที่ยังพูดถึงบทกวีของโม่เสวี่ยิ่อยู่หลายหน แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายวางเฉยไม่อยากเอ่ยถึงจริงๆ จึงปล่อยไป แล้วหันมาสนใจกับบทกลอนที่อยู่ในมือแทน
ภายใต้แสงโคมสว่างไสว สาวงามกลุ่มใหญ่ต่างหยิบบทกวีของฝ่ายชายมานั่งอ่านบ้าง ยืนอ่านบ้าง แล้วหันมาพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศแบบนี้ทำเอาหัวใจของบรรดาหนุ่มๆ ต่างร้อนรุ่มกระชุ่มกระชวย พอนึกว่ามีสาวงามปานหยาดฟ้าหลายๆ คนกำลังชื่นชมผลงานของตนเองอยู่ หัวใจก็เต้นถี่รัวแทบกระดอนออกมาจากอก รู้สึกตื่นเต้นสุดพรรณนา
สายตาของชายหนุ่มที่อยู่บนเกาะฝั่งซ้ายจึงดูกระตือรือร้นขึ้นอีกหลายส่วน
เฟิงเจวี๋ยหร่านหยิบกลอนขึ้นมาอ่าน แล้วหันไปตบไหล่เรียกโหยวเยวี่ยเฉิงซึ่งอยู่ด้านข้าง มุมปากกระดกคล้ายรอยยิ้มแต่มิใช่ “โหยวซื่อจื่อลองดูกวีบทนี้สิ นี่ต้องเป็ผลงานของหญิงสาววัยแรกแย้มแน่ๆ เนื้อหาความหมายของแต่ละบาทล้วนเขียนได้งดงาม เ้าลองดู” พูดจบก็ส่งบทกวีแผ่นนั้นให้
โหยวเยวี่ยเฉิงกำลังกระซิบอยู่กับขันทีผู้หนึ่ง เมื่อเห็นเฟิงเจวี๋ยหร่านยื่นบทกวีมาให้ก็รีบรับมาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อท่านอ๋องเซวียนเอ่ยชื่นชมกระหม่อมก็ต้องขอดูเป็บุญตา สตรีแบบไหนกันหนอที่จะเขียนบทกวีที่มีสีสันงดงามได้ถึงเพียงนั้น”
หลังจากขันทีถอยออกไป เขาก็หยิบบทกวีที่ถืออยู่ขึ้นมาพลิกเปิดดู ก่อนส่งต่อให้ผู้ที่อยู่ด้านข้าง “คุณชายฉิน ท่านเป็ผู้มีสายตาสูงส่ง ช่วยดูหน่อยเถิดว่าบทกลอนของคุณหนูผู้นี้เป็อย่างไร”
เขารู้สึกว่ากลอนบทนี้ยังไม่ดีพอ แม้ว่าเฟิงเจวี๋ยหร่านจะชมว่าใช้ได้ แต่เขาย่อมไม่อยากพูดทัดทานต่อหน้า ขณะที่กล่าวออกไปในใจก็นึกดูแคลนเฟิงเจวี๋ยหร่านอยู่เงียบๆ ว่าเป็อ๋องที่ไม่มีวิชาความรู้อะไรสักอย่าง
“ซื่อจื่อคิดว่ายังไม่ดีหรือ” เฟิงเจวี๋ยหร่านย่อมไม่คิดปล่อยเขาไป ใบหน้าพลันเปลี่ยนสี พรวดพราดลุกยืนขึ้น หัวคิ้วมุ่นขมวด ดวงตาวาวโรจน์ สีหน้าดูบึ้งตึง แต่ความหุนหันพลันแล่นของเขาทำให้เหล่าคุณชายที่กำลังมองหญิงงามกันอย่างเพลิดเพลินต่างสะดุ้งใ เสียงดังจอแจพลันเงียบกริบในบัดดล
ก่อนโหยวเยวี่ยเฉิงจะมาถึงงานเลี้ยง ผู้าุโในตระกูลต่างกำชับเป็หนักหนาว่าอย่ายั่วโทสะเซวียนอ๋องผู้นี้อย่างเด็ดขาด แม้ว่าเขาจะไม่ทำการทำงาน แต่ก็เป็องค์ชายที่จักรพรรดิโปรดปรานรักใคร่ที่สุด ไม่ว่าใครก็ล่วงเกินไม่ได้ทั้งสิ้น
เมื่อเห็นเฟิงเจวี๋ยหร่านบันดาลโทสะโดยไร้เหตุผลโหยวเยวี่ยเฉิงก็มุ่นคิ้วเล็กน้อย ท่านอ๋องผู้นี้ช่างอารมณ์แปรปรวนโดยแท้ โชคดีที่เขาก็มีประสบการณ์ต้านรับคลื่นใหญ่ลมแรงเช่นนี้มาบ้าง จึงวางจอกสุราในมือลง แล้วลุกขึ้นค้อมเอวประสานมือให้เฟิงเจวี๋ยหร่านอย่างนอบน้อม แล้วยกศีรษะขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล “มิใช่ว่าเยวี่ยเฉิงรู้สึกว่าไม่ดี เพียงแต่ตนเองความรู้ตื้นเขิน ไม่ค่อยเข้าใจความงามของบทกวีเท่าใดนัก ดังนั้นจึงเชิญคุณชายฉินมาร่วมประเมิน”
ด้วยวาจาอ่อนน้อมถ่อมตน สีหน้ายิ้มแย้มที่ไม่ดูต่ำต้อยหรือแข็งกร้าวเกินไป เพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถอธิบายเื่ราวอย่างแจ่มแจ้ง และด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อยจึงสร้างความรู้สึกที่ดีต่อผู้อื่น