เหล่าลูกผู้ดีไม่น้อยหัวเราะเยาะออกนอกหน้า
พ่อแม่ก็มาด่วนตาย อิทธิพลของบ้านตระกูลเย่ก็ล่มสลาย หากว่ากันตามบริบทชนชั้นของอาณาจักรเสวี่ยแล้ว เขาคือชนชั้นล่าง ฐานะทางสังคมนั้นตกต่ำอย่างที่สุด
แต่จากที่ท่านเ้าสำนักผู้เลื่องลือคุณธรรมและเต็มเปี่ยมไปด้วยบารมีของสำนักกวางขาวได้พบกับเ่ิูในวัยเพียงแค่หกเจ็ดปีเข้าโดยบังเอิญ ท่านก็ฟันธงว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนสามัญ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะผงาดแค่ไหนในสำนักกวางขาว แม้แต่ขั้นัเร้นของอาณาจักรเสวี่ยก็ยังมีสิทธิ์เข้าถึงได้อย่างง่ายดาย
เ้าสำนักเป็ใครน่ะหรือ!
ฐานันดรสูงส่ง วงศ์ตระกูลไม่ต้องพูดถึง อาจเรียกได้ว่าอิทธิพลล้นฟ้า ไหนจะยังครองตำแหน่งผู้แข็งแกร่งที่สุดในเมืองลู่ิถึงยี่สิบปีซ้อนอีก กล่าวโดยง่ายคือคำพูดของท่านเป็ดั่งศาลตัดสินเลยทีเดียว
เพราะเหตุนั้น ด้วยคำทำนายเช่นนี้ เ่ิูซึ่งยังเป็เด็กไม่ประสีประสา จึงถูกสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องอย่างไม่ทันตั้งตัว
ทว่าด้วยเหตุนี้เ่ิูก็ถูกเหล่าคนที่เรียกตนเองว่าบุคคลชนชั้นสูงริษยา ก็แค่คนยาจกคนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับถูกทำนายว่าเป็ที่หนึ่งยอดแห่งอัจฉริยะ แล้วผู้ร่ำรวยเช่นพวกเขาจะนับเป็อันใดได้อีก?
หลังจากนั้นจึงเกิดเป้าหมายร่วมกันอย่างลับๆ คือการเยาะเย้ยถากถางและทำเหมือนเ่ิูเป็ตัวตลก
ดังนั้นเมื่อสี่ปีก่อน หลังจากการตายของพ่อแม่ เ่ิูก็ได้เข้าร่วมการสอบเข้าสำนักกวางขาวเป็ครั้งแรก ตอนนั้นเขาอายุเพียงสิบขวบเท่านั้น แต่กลับดึงดูดทุกความสนใจ ถึงขั้นเป็หัวข้อหลักที่คนทั่วบ้านทั่วเมืองลู่ิจับตามอง
ผู้คนมากมายล้วนคิดว่าคำทำนายของเ้าสำนักจะเกิดขึ้นจริง เมืองลู่ิจะได้เห็นการกำเนิดของอัจฉริยะตัวเป็ๆ ด้วยดวงตาคู่นี้ ทว่า...
ใครเล่าจะรู้ ว่าเื่จริงมันตรงกันข้าม
ท่าทางของเ่ิูเรียกง่ายๆ ว่าเละเทะ สอบยังไม่ทันผ่านสักด่านก็ถูกคัดออกเรียบร้อย
เขาได้ทำลายสถิติที่เคยมีมาของสำนักกวางขาว โดยการเป็คนที่ตกรอบเร็วที่สุดเป็ประวัติการณ์ และคะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินที่สุดด้วย
กระทั่งการสอบอีกสามครั้งในปีต่อๆ มา ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม
หลังจากล้มเหลวครั้งที่สองและสามได้กระตุ้นเขาหนักขึ้น เ่ิูก็ดูจะสติแตกขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันของเขานอกจากกินกับนอนแล้ว ก็ไปนั่งนิ่งเหมือนปูนปั้นอยู่หน้าหลุมศพพ่อแม่ เขาจึงได้รับฉายาจากบรรดาคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นว่า ‘าาสี่มงกุฎ’
เื่ราวเหล่านี้ เป็เื่ตลกของชาวบ้านมาตลอด
ณ ยามนี้ เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากเพื่อนรอบข้าง หนุ่มน้อยในชุดผ้าไหมก็ยิ่งได้ใจ รู้สึกตื่นเต้นที่มีพวกเดียวกัน
หน้าตาของเขามีแต่ความเหยียดหยาม จงใจเข้ามาขวางเพื่อยั่วโทสะ ส่งสีหน้ากวนบาทาที่เหมือนจะสื่อว่าคนอย่างเ้าจะมีปัญญาทำอะไรข้าได้
“ไสหัวไป” เ่ิูเหล่มองครู่เดียว แล้วโบกมืออย่างรำคาญ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เด็กหนุ่มในชุดผ้าไหมะเิหัวเราะ “ไสหัวไปเรอะ? แล้วถ้าข้าไม่ไป เ้าจะทำอะไรข้าวะ ดูๆ แล้วเ้าต่างหากที่ต้องหลีกให้ข้า”
เพี้ยะ!
เ่ิูเพียงตวัดมือตบหน้าธรรมดาๆ ไอ้หนุ่มชุดผ้าไหมก็ซวนเซจนล้มคว่ำ
ไม่มีใครล่วงรู้ว่า เ่ิูนั้นมีพละกำลังมหาศาล ห่างไกลจากคนรุ่นราวคราวเดียวกันมากนัก
ในครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้แก่วิชาลมหายใจไร้ชื่อ
ตลอดสี่ปีมานี้ ในขณะที่คนอื่นคิดว่าเขานั่งบ้าใบ้โง่งมอยู่หน้าหลุมศพบิดามารดา แท้จริงแล้วเ่ิูกำลังฝึกฝนวิชาลมหายใจไร้ชื่ออยู่
วันเวลาที่ผันผ่าน วิชานี้ไม่แสดงประโยชน์อื่นใดออกมาแน่ชัด ทว่าเด็กหนุ่มกลับค้นพบว่า เรี่ยวแรงของเขานับวันมีแต่จะทวีคูณขึ้น
เพิ่มขึ้นจนเกือบจะน่ากลัว
แน่นอน เพราะเป็ลูกชายที่รักษาคำสั่งเสียของพ่ออย่างเคร่งครัด จึงไม่เคยแสดงพลังนี้ออกมาต่อหน้าใครๆ
แต่ในวันนี้ เขาไม่มีความจำเป็ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป
ไอ้หนุ่มผ้าไหมไร้การป้องกันโดยสิ้นเชิง จึงถูกแรงกระแทกอย่างจังจนล้มคว่ำไปอีกทาง ความรู้สึกนั้นเหมือนกับถูกท่อนเหล็กตีไม่มีผิด เขามึนงงจนมองเห็นดาว สมองชาไปเสียครึ่ง
เกิดรอยปูดบนซีกหน้าซ้ายเหมือนลูกท้อเน่าๆ เขามองเ่ิูด้วยแววตาหวาดกลัวจนพูดไม่ออกและไม่อยากจะเชื่อ
เ่ิูหัวเราะร่า เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ไม่ยอมไสหัวไป ข้าก็ตบหน้าเ้าไง ตอนนี้รู้แล้วหรือยัง?”
เหล่าลูกผู้ดีที่เหลือล้วนสูดดมไอเย็นเข้าปอด
“เ้ากล้าต่อยตีคนที่นี่งั้นหรือ?”
พริบตาต่อมา บรรดาเด็กมีสกุลก็โต้กลับมา โกรธเกรี้ยวดุจว่าเ่ิูได้ตบหน้าพวกเขาหมดทุกคน
ทุกคนโมโหจัด ล้วนแต่ะโสั่งองครักษ์พิทักษ์ตนเองให้เข้าโอบล้อมเ่ิู สถานการณ์ตึงเครียดในฉับพลัน
เ่ิูยกริมฝีปากอย่างถากถาง
เขาค่อยๆ หยิบตราทองเหลืองออกมาจากอกอย่างไม่รีบร้อน มันทอประกายอยู่กลางฝ่ามือ เด็กหนุ่มหัวเราะหึๆ พลางมององครักษ์ของพวกคนรวยโดยเฉพาะของไอ้เด็กชุดผ้าไหมคนนั้น ก่อนจะเอื้อนเอ่ย “เปิดหูเปิดตาสุนัขของพวกเ้าซะนะ ข้าอยากต่อยตีก็ต่อยตี พวกเ้าจะทำอะไรข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
“นั่นมัน...”
ชั่ววินาทีที่มองเห็นตราทองเหลือง ทุกคนพลันตกตะลึง
นั่นมันตราวีรชนา!
คือตราทองเหลืองของวีรชนไม่ผิดแน่!
ตำนานกล่าวว่าเมื่อครั้งแรกเริ่มสถาปนาอาณาจักรเสวี่ย จักรพรรดิอันศักดิ์สิทธิ์พระองค์แรก ชือพั่วปิน เพื่อที่จะให้รางวัลและเป็ขวัญกำลังใจแก่นายทหารและจอมยุทธ์ที่ยืนหยัดอุทิศตนทำาต่อต้านเผ่าอสูรและปีศาจ พระองค์ได้ขอให้ปรมาจารย์ม่อผิ่นหาน ผู้ชำนาญการสร้างอักขระขนาดที่ประวัติศาสตร์ภพไทวะยังต้องจารึกให้เป็ผู้ลงมือ นำของศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหาได้ยากยิ่งอย่างอุกกาบาตมาเป็วัตถุดิบ หล่อหลอมเป็ตราหนึ่งร้อยแปดดวงไม่ซ้ำแบบ ทว่าทรงเกียรติเหมือนกันทั้งสิ้น
นี่คือภูมิหลังแรกสุดของตราทางการทหาร
กฎหมายของราชสำนักเสวี่ยกำหนดไว้ ผู้ใดมีตราวีรชนต้องได้รับการเคารพยกย่องเทียบเท่าชนชั้นสูงทุกประการ
ในบรรดาทายาทจากชนชั้นสูงนั้นมีคนนึกขึ้นมาได้อย่างว่องไว คนเฒ่าคนแก่เล่าปากต่อปากกันมาว่า ตระกูลเย่เคยมีจอมยุทธ์ที่ได้ทำาปกป้องรักษาเมืองลู่ิ เป็เกียรติคุณอันใหญ่หลวง จึงได้รับตราทองเหลืองวีรชนมาด้วย
แต่ตระกูลเย่ได้ล่มสลายมานานปี และพวกเขาไม่เคยได้เห็นตรานี้กับตามาก่อน คนมากมายจึงคิดว่าเป็แค่เื่เข้าใจผิด ไม่นึกเลย...ว่าเื่เล่านั้นจะเป็ความจริงขึ้นมาได้
มีตราทองเหลืองแห่งวีรชนอยู่กับตัว!
แล้วยังอยู่หน้าประตูสำนักกวางขาวอีก!
นอกจากชนชั้นสูงระดับเดียวกันแล้ว ใครเล่าจะหาญกล้าแตะตัวเ่ิู?
ไม่เคารพยกย่องผู้มีตราเท่ากับไม่เคารพราชสำนักเสวี่ย มีแต่จะต้องโทษสถานหนัก
เหล่าทายาทผู้ดีรวมถึงบุรุษในชุดไหมผู้นั้น อย่างไรเสียก็ต้องไม่มีฐานันดรสูงแน่ ยังห่างชั้นจากชนชั้นสูงคนละโยชน์ ถึงได้หน้าซีดเผือด แล้วทรุดฮวบลงคุกเข่าเช่นนั้น
ส่วนเหล่าองครักษ์ที่คราแรกวางมาดอย่างพยัคฆ์หรือหมาป่าพร้อมขย้ำ บัดนี้กลับกลัวจนท้องแข็ง เหมือนหมาไฮยีน่าโดนเหยียบหาง ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า
กฎหมายบ้านเมืองเสวี่ยเคร่งครัดนัก ล่วงเกินชนชั้นสูงต้องตายสถานเดียว
หนุ่มน้อยเสื้อไหมที่ทำได้แค่มึน ครู่ต่อมาจึงตอบกลับด้วยหน้าเบ้ๆ มือข้างหนึ่งปิดหน้าข้างที่บวมเหมือนลูกท้อเน่า ตามองเ่ิูอย่างมาดร้าย
เ่ิูไม่ยอมง่ายๆ เขาแกว่งตราพลางเลิกคิ้วสูง “ทำไม? ยังไม่ยอมอีกหรือ?”
เด็กหนุ่มแข็งขืนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงก้มกายลงคุกเข่าข้างหนึ่งจรดพื้นอย่างจำใจ
เขาก็เป็บุตรคนรวยเหมือนกัน เพียงแค่ไม่ใช่ชนชั้นสูง เมื่อได้เห็นตราทองเหลืองแห่งวีรชนก็ต้องคุกเข่าเคารพ เปรียบได้กับปุถุชนคนธรรมดาต้องเคารพต่ออำนาจของราชสำนักและวีรชน มิฉะนั้นจะต้องโทษสถานหนัก
“สมเป็พวกชั้นต่ำ โผล่หัวมาให้ข้าตบโต้งๆ เสียอย่างนั้น”
เพียงประโยคเดียวจากปากเ่ิู ก็ทำผู้ต้อยต่ำกว่าโกรธจนจมูกแทบเบี้ยว
“ข้ารู้ว่าเ้าคาใจ แต่เ้าก็ต้องเข้าใจ ว่าไอ้ความอัปยศทั้งหลายที่เ้าได้รับอยู่ตอนนี้ มันก็เป็ผลจากที่เ้าก่อขึ้นมาเอง ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่มีวันได้รู้หรอกว่าสันดานเ้าเป็เช่นไร? คนทุกคนย่อมต้องจ่ายชดใช้กับการกระทำของตัวเอง ในใจเ้าตอนนี้คงเกรี้ยวกราดนัก ฮ่าๆ ไม่เป็ไร วันใดที่เ้าคิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอแล้ว ค่อยมาแก้แค้นข้าก็ได้”
เ่ิูพูดไปหัวเราะไป
เขาไม่ปกปิดความโดดเด่นของตัวเองแม้แต่นิดเดียว กลับเย้ยเยาะชอบใจคนที่เคยรู้สึกเหนือกว่าเขา
ว่ากันตามสัตย์จริง เด็กหนุ่มชุดไหมผู้นี้ทำเื่เลวร้ายมามิใช่น้อย ทั้งยังไม่เคยหยุดยั่วโมโหเ่ิูเลยแม้แต่ครั้งเดียว และเพราะเขามีเหตุผลบางอย่างจึงต้องอดทนไม่โต้ตอบมาโดยตลอด
แต่ในวันนี้ เขาไม่จำเป็ต้องทนอีกต่อไปแล้ว
เ่ิูรู้ประโยชน์ของตราทองเหลืองแห่งวีรชนมานาน
แต่ในความคิดเขา ความหมายที่ยิ่งใหญ่ของตรานี้มิได้มีเพียงแค่การนี้ เพราะเหตุนั้นจึงไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้รับรู้มาก่อน
ทว่า หากสถานการณ์บังคับ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะใช้มันแต่อย่างใด
เ่ิูเก็บตรา หัวเราะชอบใจระหว่างเดินมาอยู่ตรงหน้าโต๊ะไม้แดงใหญ่
เ่ิูรับป้ายชื่อผู้สมัครเข้าสอบ จากหนึ่งในลูกศิษย์ชั้นปีที่สองซึ่งมีหน้าที่แจกป้ายของสำนักกวางขาว
“8888? เลขสวยไม่เลวเลยนี่”
เมื่อมองป้ายไม้หยาบสลักนามในมือเสร็จ เ่ิูก็หัวเราะออกมา
เขาเริ่มไปเข้าแถวตามหมายกำหนดการ เพื่อรอคอยการทดสอบ
และเด็กหนุ่มสวมผ้าไหมคนนั้นก็ยังคงปิดหน้าตัวเอง ทั้งหวาดกลัวและขุ่นมัว
ตาของเขาเป็มันวับด้วยความอาฆาต
“ทำไมกัน? วันนี้ทำไมไอ้สวะนี่ถึงได้เปลี่ยนเป็คนละคน แล้วทำไมในมือถึงมีตราวีรชนนั่นได้? เ้าคนสมควรตาย โดนคนที่รู้กันทั่วว่าเป็ไอ้กากเดนนี่ตบเข้า ข้ามิอยากจะคิด หากข่าวแพร่ออกไปเมื่อไร ต้องกลายเป็ขี้ปากน่าขำของคนทั้งเมืองแน่ๆ!”
เด็กหนุ่มในชุดผ้าไหมดูเหมือนจะใกล้บ้าเสียแล้ว
“ความอับอายของข้าวันนี้ต้องแก้แค้นในวันหลัง...หือ? ไม่สิ เ่ิูปีนี้ก็สิบสี่แล้ว ถ้ามันยังงมโข่งเป็ชาวยุทธ์ไม่ได้เหมือนเดิม นั่นก็แปลว่า...”
เด็กหนุ่มอาภรณ์ไหมเกิดคิดอะไรขึ้นมาได้กัน
ััได้ถึงอารมณ์ชั่วร้ายในั์ตานั้นเพียงครู่เดียวก็เลือนหายไป
....
....
การรอเข้าแถว คือขั้นตอนที่แสนจะน่าเบื่อและล่าช้าเสียจริง
หลังจากเดินไปเดินมาอยู่หนึ่งชั่วโมงเต็ม ในที่สุดเ่ิูก็มาถึงลานทดสอบแรก
จะกล่าวถึงการทดสอบทั้งหกบทเพื่อเข้าสำนักกวางขาวนั้น บทแรกที่ต้องผ่านก็คือการทดสอบเืลมของร่างกายเพราะการฝึกวิทยายุทธ์ของภพไทวะนั้น ไม่ว่าจะเป็ใครก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องเริ่มจากการฝึกร่างกายให้แข็งแรงเสียก่อน มีเพียงการฝึกฝนร่างกายจนถึงขีดสุดแล้วเท่านั้น ถึงจะซึมซาบพลังลมปราณแห่งจักรวาลได้ เืลมของผู้ฝึกจึงมีความสำคัญเป็อย่างมาก
เืลมยิ่งสมบูรณ์เท่าใด กายเนื้อก็ยิ่งผ่อนคลาย ความสำเร็จในการฝึกก็จะมากขึ้นด้วย
และการทดสอบเืลมนั้นก็ง่ายดายมาก บนลานทดสอบนั้นจะวางหม้อหินโบราณน้ำหนักต่างกันอยู่เก้าอัน บนหม้อหินนั้นมีอักขระสลักอยู่ ผู้เข้าสอบต้องยกหม้อขึ้นมา ทำให้อักขระบนระฆังและกระบวนปราณบนพื้นเบื้องล่างถูกปลุกเร้าขึ้นมา มันจะแสดงระดับความสมบูรณ์ของเืลมของผู้เข้าสอบ
เป็วิธีดั้งเดิมที่สุด และได้ผลดีที่สุดด้วย
หนุ่มสาวผู้เข้าสอบคนแล้วคนเล่าผู้รอเข้ารับการทดสอบ ยืนเรียงรายภายใต้การจัดการของสำนัก
เมื่อยกหม้อหินโบราณขึ้น บนหม้อจะเผยริ้วรอยแดงหม่นผลุบๆ โผล่ๆ พลังของกระบวนปราณบนพื้นจะแทรกซึมเข้าไปภายในร่างกายผู้เข้าสอบ เมื่อเสร็จสิ้นแล้วก็จะปรากฏเป็เปลวแสงเืลมเบ่งบาน ส่งรัศมีไปสี่ทิศ
อาณาบริเวณของเปลวแสงเืลมยิ่งมากเท่าไร เืลมยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น
ผู้เข้าสอบซึ่งมีเืลมพูนพร้อมและมากพร์หาตัวจับยาก เมื่อเปลวแสงเืลมในร่างเบ่งบาน จะเป็ราวกับเปลวเพลิงโชติ่ทั่วสารทิศ มากเสียจนอาบเคลือบสนามสอบให้เป็สีแดงฉาน
“หมายเลข 8677 หม่าหรูหลง ยกหม้อที่สี่ สามร้อยยี่สิบจิน...ผ่าน!”
“หมายเลข 8884 กู้เจา ยกหม้อแรก แปดสิบจิน...ตกรอบ!”
“หมายเลข 8885 สวี่เฟย ยกหม้อที่สาม ร้อยแปดสิบจิน...ผ่าน!”
“หมายเลข 8886 กู่เหริน ยก...”
อาจารย์คุมสอบใช้พลังลมปราณอันพรั่งพรู ส่งคำประกาศผลการสอบเข้าหูของทุกคนอย่างชัดเจน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้