เสียงเดินด้านนอกห้องทำให้เสิ่นเยว่รู้สึกตัว นางขยับตัวเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกปวดระบมไปทั่วทั้งร่าง นางมองสำรวจไปทั่วห้องกลับไม่รู้สึกคุ้นเคยกับห้องนี้เลยสักนิด เสิ่นเยว่ยกมือขึ้นกุมขมับแสดงท่าทางเ็ปเสียงขยับตัวเบาๆ ของเสิ่นเยว่ทำให้คนที่อยู่ด้านนอกได้ยิน เขาจึงเปิดประตูเข้ามา
“ตื่นแล้วหรือแม่นาง อาการาเ็ของเ้าเป็อย่างไรบ้าง”
เสิ่นเยว่หรี่ตามองบุรุษที่เดินเข้ามาในห้องอย่างสำรวจ ใบหน้าของนางยังคงแสดงอาการเ็ปเมื่อครู่หลงเหลืออยู่
ชายหนุ่มคนนี้เขามีรูปร่างสูงโปร่งมีผิวที่ขาวกว่าบุรุษทั่วไป ชุดสีขาวที่ใส่ถือว่าเข้ากับบุคลิกที่ดูสุขุมของเขา อายุราวยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีโดยรวมแล้วถือว่าหล่อเหลาเลยทีเดียว ชายหนุ่มไม่รู้สึกอึดอัดกับท่าทีที่แสดงออกว่ากำลังมองสำรวจเขาอยู่ของนาง กลับกันเขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับนางอย่างน่าประหลาด
“ท่านเป็ใคร ที่นี่ที่ไหน”
เสิ่นเยว่ไม่ได้ตอบคำถามเขา นางยังคงถามในสิ่งที่ตนเองสงสัยในใจ
“ที่นี่สำนักัผงาด ข้าคือบุตรชายของเ้าสำนักมีนามว่าอวิ๋นชิงเฟิง สิบวันก่อนข้ากำลังเดินทางออกจากแคว้นโจวพบเ้าาเ็สาหัสนอนสลบอยู่ริมแม่น้ำจึงได้ช่วยเ้าขึ้นมา”
เสิ่นเยว่ทำท่านึกตาม
“แคว้นโจวหรือ”
เสิ่นเยว่พึมพำเบาๆ นางรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาชื่อของแคว้นโจวแต่นางจำไม่ได้ อวิ๋นชิงเฟิงสังเกตท่าทางของสตรีนิรนามที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้เขารู้สึกเหมือนเคยพบนางที่ไหนสักแห่ง แต่เขาเองก็จำไม่ได้หรือบางทีนางอาจจะมีใบหน้าเหมือนคนที่เขาเคยรู้จัก
“แม่นางเ้ามีนามว่าอะไร”
อวิ๋นชิงเฟิงไม่บังคับนางที่นางไม่ยอมตอบคำถามของเขา ท่าทางของนางตอนนี้เหมือนกับเด็กคนหนึ่งที่กำลังป่วยแล้วเอาแต่ใจทำให้เขารู้สึกเอ็นดูนางขึ้นมา
“ข้า.....”
เสิ่นเยว่ทำท่าทางนึกสายตาของนางกลอกไปมาดูสับสน
“ข้าจำไม่ได้”
อวิ๋นชิงเฟิงเลิกคิวมองนาง
“เ้าจำชื่อตนเองไม่ได้หรือ แล้วเ้ามีเื่ที่จำได้บ้างหรือไม่เื่ก่อนที่เ้าจะาเ็”
อวิ๋นชิงเฟิงพยายามช่วยกระตุ้นเสิ่นยว่ เผื่อว่านางจะยังคงหลงเหลือความทรงจำบางอย่าง
“ข้าคิดว่า..........ข้าจำได้บางอย่าง”
เสิ่นเยว่คิดเล็กน้อย
“นกอินทรี จดหมาย ข้าเขียนจดหมายถึงใครบางคน”
อวิ๋นชิงเฟิงยิ้มให้นางอย่างยินดี
“อย่างน้อยตอนนี้เ้าก็ยังจำเื่ราวได้บ้างเล็กน้อย ข้าคิดว่าอีกไม่นานเ้าก็คงจำเื่ราวของตนเองได้ทั้งหมด”
เสิ่นเยว่พยักกหน้ารับ ความจริงในใจของนางรู้สึกร้อนรุ่มเหมือน้าให้ให้ตนเองจำเื่ทั้งหมดได้เร็วๆ หลังจากที่คุยกับนางได้สักพัก อวิ๋นชิงเฟิงก็ออกจากห้องไป เขาสั่งให้สาวใช้สองคนคอยดูแลเสิ่นเยว่เผื่อว่าในตอนที่เขาไม่อยู่หากนาง้าอะไรให้เรียกใช้สาวใช้ทั้งสองคนได้เลย
ผ่านไปสิบวันแล้วยังหาเสิ่นเยว่ไม่พบทั้งเมืองหลวงต่างตกอยู่ในความโกลาหล แม้แต่ฮ่องเต้ยังสั่งระดมกำลังทหารออกตามหานางทั่วทุกหัวเมืองที่คิดว่านางจะถูกนักฆ่าจับตัวไปซ่อนเอาไว้
ไม่นานหลังจากนั้นชิงจู๋กลับมาที่จวนตระกูลเสิ่นด้วยร่างกายที่าเ็สาหัสหลังจากที่รายงานเื่ของเสิ่นเยว่แก่เสิ่นฮูหยินนางก็สลบไปทันที
หลี่เซวียนที่รับหน้าที่สืบสวนเื่นักฆ่าที่ถูกจ้างมาทำร้ายเสิ่นเยว่ทั้งยังต้องออกตามหาฮูหยินของตน ตอนนี้สภาพร่างกายของเขาแทบเหมือนศพเดินได้ ท่าทางของหลี่เซียนเหมือนคนอดนอนมานานนับเดือนทั้งที่พึ่งผ่านไปเพียงสิบวัน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันตลอดเวลาจนบ่าวไพร่ในเรือนแทบจะไม่กล้าปรากฏกายต่อหน้าเขา มีเพียงจงหลางที่คอยดูแลอยู่ไม่ห่างคอยเตือนให้เขาพักผ่อนบ้าง
ตอนนี้จงหลางก็ไม่ต่างจากผู้เป็นายเท่าใดนักเพราะเขาต้องทำหน้าที่ดูแลหลี่เซวียนทั้งยังต้องคอยทำตามคำสั่งของหลี่เซวียนเื่ออกตามหาข้อมูลของนักฆ่า ทั้งสกุลเสิ่นและสกุลหลี่ต่างก็ร้อนใจไม่ต่างกัน
เสิ่นฮูหยินได้ส่งจดหมายไปหาพี่ชายของนางที่หุบเขาแสงจันทร์เื่ที่เสิ่นเยว่หายตัวไป เมื่ออวิ๋นเจี้ยนเจี๋ยเ้าสำนักัผงาดได้รับจดหมายจากน้องสาวคนเล็กเขาก็รีบระดมคนออกจากสำนักไปทันที
ไม่นานข้อมูลและหลักฐานเื่คนที่จ้างวานนักฆ่าให้มาทำร้ายหลานสาวคนเดียวของหุบเขาแสงจันทร์ก็ถูกส่งไปที่ตระกูลเสิ่น เสิ่นฮูหยินไม่นึกเลยว่าคนตระกูลเจียงจะใจกล้าเหิมเกริมถึงเพียงนี้ เื่ที่เสิ่นเยว่ทำในวันนั้นที่ตระกูลเจียงเป็เพียงเื่เล็กน้อยเท่านั้น แต่คนที่เริ่มเื่ทั้งหมดคือคนของตระกูลเจียง ตนเองทำเลวกับคนอื่นได้แต่ไม่สามารถยอมรับที่คนอื่นตอบโต้กลับตนเองได้ นี่มันคนเลวขนานแท้เลยเชียว
เมื่อมหาเสนาบดีเสิ่นได้ข้อมูลและหลักฐานมาไว้ในมือเขาก็ส่งให้หลี่เซวียนทันที และตอนนี้ตระกูลเจียงก็ตกอยู่ในความโกลาหลเช่นกันเมื่อนายท่านเจียงผู้บงการกับเจียงหลีบุตรสาวถูกทหารกุมตัวส่งไปที่คุกหลวง ทั้งยังมีหลักฐานที่ตระกูลเจียงแอบค้าเกลือกับต่างแคว้นและยังแอบติดต่อกับต่างแคว้นอย่างลับๆ มีอีกหลายข้อหาที่ตระกูลเจียงต้องได้รับโทษเมื่อฮ่องเต้เห็นหลักฐานที่หลี่เซวียนถวายขึ้นมา ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้จับตัวคนทั้งตระกูลเจียงเอาไว้ไม่มีการไต่สวนหรือหาหลักฐานสั่งปะาทันที
เื่วุ่นวายในเมืองหลวงเสิ่นเยว่ที่ความจำเสื่อมล้วนไม่รับรู้ตอนนี้นางรักษาตัวที่หุบเขาแสงจันทร์ได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว นางออกมาเดินเล่นในสวนกับสาวใช้ทั้งสองคน
“เหตุใดข้ารู้สึกว่าที่นี่ดูเงียบพิกล ทุกคนหายไปไหนกัน หมดหรือ”
เสิ่นเยว่หันมาถามสาวใช้ทั้งสองคน
“แม่นาง เมื่อไม่นานมานี้ หลานสาวของท่านเ้าสำนักหายตัวไปท่านเ้าสำนักจึงสั่งให้ทุกคนออกตามหานางเ้าค่ะ”
เสิ่นเยว่พยักหน้ารับรู้ เื่ของหลานสาวเ้าสำนักนางไม่รู้จะช่วยอย่างไรเพราะตอนนี้นางเองก็แทบเอาตัวไม่รอด ตนเองเป็ใครยังไม่รู้เลย
วันเวลาล่วงเลยไปเสิ่นเยว่อยู่ที่หุบเขาแสงจันทร์ได้สองเดือนแล้วความทรงจำของนาก็ยังไม่กลับคืนมาแต่ทุกคืนนางจะฝันเห็นบุรุษหนึ่งคนที่นางไม่รู้จักเอาแต่เรียกชื่อของใครสักคน
แม้นางจะรู้สึกคุ้นเคยแต่นางก็ไม่สามารถจำเขาได้ บางครั้งนางก้ร้องเรียกหาเขาจนละเมอออกมา เสิ่นเยว่คิดว่าตนเองคงจะว่างมากจนเกินไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นนาง ก็ให้สาวใช้พานางไปพบอวิ๋นชิงเฟิงผู้มีพระคุณที่ช่วยชิวิตนางเอาไว้
เสิ่นเยว่และสาวใช้ตรงมาที่เรือนของอวิ๋นชิงเฟิงพบว่าที่นั่นมีคนอยู่หลายคนเหมือนกำลังยุ่งอยู่กับการปรึกษาเื่สำคัญ เสิ่นเยว่ไม่อยากรบกวนจึงคิดว่าเดี๋ยวค่อยกลับมาวันหลัง แต่อวิ๋นชิงเฟิงเปิดประตูออกมาก่อนและพบเข้ากับนางพอดี
“แม่นางเ้ามาทำอันใดที่นี่หรือ หรือว่าเ้ามีธุระอันใดกับข้า”
อวิ๋นชิงเฟิงมองเสิ่นเยว่ด้วยความแปลกใจ ถึงนางจะอาศัยอยู่ที่หุบเขาแสงจันทร์เพราะเขาเป็คนพามาแต่นางแทบไม่ปรากฏตัวให้เขาเห็นเลยสักครั้งคล้ายกับว่านางไม่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ อีกทั้ง่นี้เขายุ่งอยู่กับการตามหาลูกพี่ลูกน้องบุตรสาวท่านอาหญิงของเขาที่หายตัวไปเขาจึงไม่ได้ไปคุยกับนางเลย
“คุณชายอวิ๋นข้ามารบกวนท่านหรือไม่”
อวิ๋นชิงเฟิงส่ายหัวให้นางเป็เชิงบอกว่านางไม่ได้มารบกวนเขาเสิ่นเยว่ก็มีความกล้าเอ่ยปากกับเขาทันที
"คือ...พอดีว่าข้าคิดว่าตนเองพัก อยู่ที่นี่มาตั้งสองเดือนแล้วแต่กลับอยู่อย่างคนไร้ประโยชน์จึงอยากมาถามท่านว่าพอจะมีงานอะไรที่ข้าพอจะทำได้หรือไม่”
เสิ่นเยว่พูดเสียงเบาอย่างรู้สึกประหม่า ตอนนี้เขาดูเหมือนจะยุ่งมากด้วย อวิ๋นชิงเฟิงยิ้มให้นางอย่างใจดี
“เช่นนั้นเ้าทำอันใดเป็บ้างหรือ”
“ข้า.....”
เสิ่นเยว่ชะงักไป นั่นสินางทำอะไรเป็บ้าง ความทรงจำของนางยังไม่กลับมา แล้วนางจะรู้ได้อย่างไรว่านางทำอะไรได้ โถ่ โง่จริงๆ เสิ่นเยว่ทำหน้ายุ่งดวงตากลอกไปมาอย่างหาทางออกให้ตนเองไม่ได้
ทั้งสองคนที่ยืนคุยกันที่หน้าประตูไม่รู้ว่ามีอีกคนที่กำลังเดินมาทางด้านหลัง หลี่เซวียนได้ยินเสียงสตรีที่กำลังสนทนากับลูกพี่ลูกน้องของเสิ่นเยว่ที่เขาพึ่งจะได้พบหน้าเป็ครั้งแรก
เมื่อเดือนก่อนอวิ๋นชิงเฟิงเดินทางไปชิงโจวเพื่อตามหาเสิ่นเยว่ พวกเขาพึ่งกลับมาที่หุบเขาแสงจันทร์ได้เพียงไม่กี่วันเพื่อวางแผนออกตามหาเสิ่นเยว่อีกครั้ง
หลี่เซวียนเองก็พึ่งรู้ว่าบิดาของตนเป็ศิษย์สำนักัผงาดแห่งหุบเขาแสงจันทร์ที่เลื่องชื่อ ทั้งยังเป็ศิษย์สายตรงที่มีเพียงไม่กี่คนของท่านปรมาจารย์อวิ๋นจื่อเฉินผู้นั้น ตอนนี้ได้สละตำแหน่งให้บุตรชายขึ้นเป็เ้าสำนักแทนและตนเองได้เร้นกายออกจากยุทธภพไปแล้ว
และที่เขาใยิ่งกว่าคือมารดาของเสิ่นเยว่ นามว่าอวิ๋นเยว่ชิงเป็บุตรสาวคนเล็กของท่านปรมาจารย์อวิ๋นจื่อเฉิน ฮ่องเต้ และมหาเสนาบดีเสิ่นก็เป็ศิษย์สายตรงเช่นเดียวกัน มิน่าเล่าตอนที่ฮ่องเต้ได้รู้ว่าเสิ่นเยว่หายตัวไปถึงได้มีรับสั่งให้ระดมกองกำลังทหารออกตามหานางทั่วทุกหัวเมืองไม่เว้นแม้แต่ชายแดน เพราะนางเป็หลายสาวเพียงคนเดียวของ ปรมาจารย์อวิ๋นจื่อเฉินนี่เอง
เสิ่นเยว่ที่ยืนคุยอยู่กับอวิ๋นชิงเฟิงได้ยินเสียงเดินมาทางด้านหลังนางจึงหันไปมอง และทันที่ที่ทั้งสองสบตาโลกทั้งใบเหมือนหยุดชะงักทั้งเสิ่นเยว่และหลี่เซวียนต่างมองสบตากันนิ่งอยู่อย่างนั้นหลายชั่วอึดใจ จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าไปกอดนางเข้ามาในอ้อมแขนของตนอย่างรู้สึกโหยหา สองเดือนมานี้เขาแทบขาดใจเมื่อไม่เห็นนางอยู่ข้างกาย
“เยว่เอ๋อ เยว่เอ๋องของข้า เ้ากลับมาแล้ว”
หลี่เซวียนเอาแต่พูดพร่ำอยู่อย่างนั้นเหมือนคนเสียสติ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกงงงันกับการกระทำของท่านเขยน้อยผู้นี้