่หัวค่ำ ซูซานหลางกำชับกับเฉียวเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่า "พรุ่งนี้เ้าไปเยี่ยมอวี้อ๋องที่จวนอวี้อ๋องพร้อมกับข้า ห้ามก่อเื่เหลวไหลเป็อันขาด"
"ข้าจะก่อเื่เหลวไหลอะไรได้" เฉียวเยว่ไม่เข้าใจ
นางรู้สึกว่าบิดาดูแปลกชอบกล จากนั้นก็หันไปหามารดา พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงเอ่ยว่า "พวกท่านวิตกว่าข้าจะส่งจดหมายแทนพี่หญิงใหญ่หรือ?"
แผนการเกี้ยวบุรุษทำนองนี้นางรู้ดียิ่ง
"เ้ารู้ด้วยหรือ" ไท่ไท่สามเอ่ย
ซูซานหลางหน้าเศร้ายิ่งกว่าเดิม "ตอนนี้ข้าชักเริ่มกังวลว่านางเติบโตไปจะเป็อย่างไร ข้ากลุ้มจะตายอยู่แล้ว"
บุตรสาวของเขาอายุน้อยแค่นี้ก็ฉลาดเป็กรด เขาผู้เป็บิดากังวลใจจริงๆ เกรงว่าความเฉลียวฉลาดเกินไปของนางจะนำพาความยุ่งยากมาให้ ยุคสมัยนี้มักกล่าวว่าความโง่มักก่อให้เกิดปัญหา แต่คนฉลาดเกินไปก็สร้างปัญหาได้เช่นกัน
เฉียวเยว่ตบอก "ท่านพ่อวางใจได้ แท้จริงแล้วข้าก็รู้สึกว่าอวี้อ๋องไม่ใช่คนเรียบง่ายเท่าไรนัก คนเช่นนี้ อย่าตกมาเป็ครอบครัวเดียวกันจะดีกว่า และข้าจะไม่ทำเื่เช่นนี้แน่นอน ใครจะอยากเห็นพวกเขาเดี๋ยวรักกัน เดี๋ยวฆ่ากันไปจนผมขาวกันล่ะ เฮ่อ!"
ก้นน้อยๆ พลันถูกตีหนึ่งที
นางน้อยใจนะ
"อะไรคือเดี๋ยวรักกัน เดี๋ยวฆ่ากันไปจนผมขาว คำพูดแบบนี้ใช่สิ่งที่เด็กน้อยอย่างเ้าควรพูดหรือ? หากมิใช่ว่าพรุ่งนี้ต้องพาเ้าไปเยี่ยมอวี้อ๋อง วันนี้ข้าต้องฟาดก้นน้อยๆ ของเ้าให้ลายไปเลย ไม่รู้เหตุใดถึงคิดแต่เื่เหลวไหลได้ตลอดทุกเื่"
ซูซานหลางหยิกแก้มของนาง "หากซุกซนอีก ข้าจะลงโทษงดอาหารเ้า"
เฉียวเยว่มองบิดาอย่างไม่อยากเชื่อ รู้สึกไม่เป็ธรรมอย่างใหญ่หลวง "ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร ข้ากำลังเติบโตนะเ้าคะ"
ซูซานหลางหัวเราะเยาะ "แค่ไม่กินขนมมิทำให้การเติบโตของเ้าล่าช้าลงหรอก อย่าอ้างแต่เหตุผลนี้ ตอนนี้เ้ากลับไปนอนเสียดีๆ"
เฉียวเยว่เบะปาก ช่างโหดร้ายยิ่งนัก!
เห็นเงาหลังที่หงอยเหงาของบุตรสาวตัวกลม ไท่ไท่สามก็เอ่ยว่า "ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย บุตรยังเล็กนัก ทำเช่นนี้ไม่ค่อยดีกระมัง"
ถึงอย่างไรนางก็เป็ห่วงบุตรสาว
"ตามหลักเหตุผล เฉียวเยว่ทำให้อวี้อ๋องแขนหัก พวกเราควรพานางไปเยี่ยมไข้ แต่เ้าก็รู้จักข้าดี หากไม่ทำเช่นนี้ ข้ากลัวว่านางจะเล่นลูกไม้อันใดอีก ครั้นข้าจะไปคนเดียว ก็เป็การเสียมารยาท วันก่อนอวี้อ๋องส่งขนมมาอีกแล้ว ตอนเอาตะกร้าไปคืน อวี้อ๋องก็เอ่ยปากเชื้อเชิญ ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปรกติ ข้าวิตกว่าจดหมายของเฉียวเยว่จะเขียนอะไรส่งเดช แต่ทุกครั้งนางล้วนเขียนแต่คำขอบคุณ หลังๆ ด้วยความเคยชินข้าจึงมิได้อ่านอีก มาตอนนี้ก็ชักจะเริ่มหวั่นใจ"
"เช่นนั้นถามนางดีหรือไม่?"
"เ้าไม่รู้หรือว่านางเป็คนแบบไหน? เ้าถาม นางก็จะหลอกล่อจนเ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ข้าถาม นางก็จะกลิ้งกลอกไปเรื่อย ไม่สู้พรุ่งนี้ไปดูสถานการณ์เองโดยตรงจะดีกว่า หลังจากนั้นค่อยกลับมาคิดบัญชีกับนางทีเดียว"
ไท่ไท่สามหัวเราะพรืด "ไยท่านเป็คนเช่นนี้กันนะ?"
ซูซานหลางกลอกตา
ไท่ไท่สามดึงเขาไว้ "ท่านไปหยั่งเชิงหรือยัง?"
ซูซานหลางพยักหน้า "เท่าที่ข้าฟังความประสงค์ของพี่ใหญ่ เขาไม่เคยคิดจะให้ิเยว่แต่งงานกับอวี้อ๋อง ดูท่าิเยว่คงจะมีใจให้อวี้อ๋องเอง"
ไท่ไท่สามมุ่นคิ้ว "เช่นนี้ก็แย่แล้วสิ ถ้าหาก..." แต่ไม่กล้าที่จะกล่าวต่อไป
ทว่าซูซานหลางเข้าใจดี และด้วยเหตุนี้ เขาถึงเคร่งครัดกับเฉียวเยว่ เพราะกลัวว่านางจะช่วยส่งอะไรแทนิเยว่ หากเป็เช่นนั้นต้องแย่แน่นอน
แต่เมื่อตรองดูดีๆ กระต่ายน้อยซึ่งหัวไวยิ่งกว่าลิงของพวกเขาไม่น่าจะทำเื่เช่นนี้ เพราะความคิดจิตใจทั้งหมดของนางใช้ไปกับการวางแผนกับผู้อื่นหมดแล้ว
"พรุ่งนี้เ้าไม่จำเป็ต้องไปพร้อมกับข้า" เขาเอ่ยปาก
"อื้ม ดูแลบุตรให้ดีด้วยเล่า" ไท่ไท่สามยิ้ม
ตอนแรกนางยังเป็ห่วงที่พวกเขาจะไปด้วยกันเพียงสองคน แต่ดูจากตอนนี้ คงไม่มีสิ่งใดน่าเป็ห่วงแล้ว
"ข้าจะรอพวกท่านอยู่ที่บ้าน"
…
เดิมทีเฉียวเยว่มักอยากออกไปนอกจวน แต่ไม่มีโอกาส ตอนนี้ไม่อยากออกไปไหน แต่จู่ๆ โอกาสกลับมากขึ้น ยากจะอธิบายด้วยคำพูดประโยชน์เดียวจริงๆ
"ข้าอารมณ์ดียิ่ง" นางยกมือประคองดวงหน้าน้อยๆ อย่างลำพองใจและมีความสุข
"เ้าทำตัวมีมารยาทหน่อย" ซูซานหลางเอ่ย
เฉียวเยว่พยักหน้า "ท่านพ่อวางใจได้"
วางใจหรือไม่ ซูซานหลางไม่กล้าด่วนสรุปง่ายๆ เื่ที่บุตรสาวของเขาเชี่ยวชาญที่สุดก็คือการตบหน้าบิดาตนเอง จุดนี้เขาเคยชินเสียแล้ว ชินมากเสียด้วย
แม้ว่าซูซานหลางจะหดหู่ใจมาก แต่เฉียวเยว่กลับอารมณ์ดียิ่ง
นางฮัมเพลงเบาๆ ถูกซูซานหลางจูงมือ ก็เชื่อฟังโดยดี
จวนอวี้อ๋องกว้างใหญ่ เฉียวเยว่สองพ่อลูกเดินตามพ่อบ้านเข้าไป เสียงของนางพูดเจื้อยแจ้วไปตลอดทาง "ที่นี่ดียิ่ง ท่านพ่อดูสิ ท่านพ่อดูสิ การออกแบบตรงนั้นไม่เลวเลย ข้าคะเนว่าหากนั่งตรงนั้นยามวสันต์อบอุ่นบุปผาเบ่งบานจะต้องดีมากแน่ๆ"
คราก่อนยังไม่ได้เดินเล่นให้ทั่ว ดูท่าวันนี้ก็คงยังไม่มีโอกาส
"ท่านดูสิเ้าคะ ท่านพ่อ ท่านดูทางนี้..."
ช่างเป็นกกระจอกน้อยที่พูดมากจริงๆ
ซูซานหลางถลึงตาใส่นาง ส่งสัญญาณให้หยุดพูด เฉียวเยว่จึงรีบทำท่ารูดซิปปากให้สนิท
ระหว่างที่พูดคุยกัน ก็มาถึงห้องโถงรับแขก
วันนี้อากาศหนาวเหน็บ อวี้อ๋องหรงจ้านสวมอาภรณ์สีเทาบางๆ เขานั่งอยู่ในห้องโถง พอเห็นเฉียวเยว่เข้ามา ก็อมยิ้มกวักมือเรียก "เ้าแตงน้อยแสนหวาน มานี่"
เฉียวเยว่ใช้ภาษามือบอกใบ้ อวี้อ๋องเลิกคิ้ว
ซูซานหลางพยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่ บอกตนเองว่า เขาคือบิดาผู้แสนดี ดังนั้นเขาจะไม่โกรธบุตรสาวตัวน้อย
"เฉียวเยว่ไปเล่นเถอะ พ่อบอกเ้าแล้วใช่หรือไม่..."
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเฉียวเยว่พรูถอนหายใจ "ข้าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว"
หลังจากนั้นก็วิ่งไปข้างกายอวี้อ๋อง ขานเรียกเสียงเบา "ท่านพี่อวี้อ๋อง ท่านเป็อย่างไรบ้าง ยังเจ็บหรือไม่?"
อวี้อ๋องหัวเราะเบาๆ "เ้าเรียกข้าว่าพี่จ้านก็พอ"
เฉียวเยว่เรียกเสียงหวาน "ท่านพี่จ้าน"
เื่กอดต้นขาคืองานถนัดที่สุดของนาง
"ฟู่ ฟู่ ฟู่" นางเป่าให้เขาเป็วงกลม
อวี้อ๋องหิ้วคอเสื้อของนางขึ้นมาอย่างเบิกบาน แล้วย้ายไปวางไว้ด้านข้าง "ไม่เจ็บ"
เฉียวเยว่ดิ้นขลุกขลัก ก่อนจะยิ้มแป้น "ท่านไม่ต้องทำเป็เข้มแข็งหรอก มีข้าอยู่ ท่านวางใจได้"
พูดมาถึงตอนนี้ ก็ตบอกรับประกัน "ข้าทำได้ทุกอย่าง ถึงแม้มิได้มาเยี่ยมเยียน ข้าก็สวดมนต์ให้ท่านอยู่ที่บ้าน"
อวี้อ๋องยิ้มน้อยๆ "สวดมนต์? เ้าสวดมนต์จริงหรือ?" เขาเว้นจังหวะชั่วครู่ แล้วลูบศีรษะของเฉียวเยว่ "เ้าชอบข้าเพียงนั้นเชียว?"
คำกล่าวนี้ฟังดูไม่ค่อยถูกต้องนัก ซูซานหลางมุ่นคิ้วขมวด
"ท่านพี่อวี้อ๋องช่วยชีวิตข้า ข้าต้องชอบท่านอยู่แล้ว ท่านอ่านข้อความที่ข้าเขียนแล้วกระมัง ข้าเก่งมากใช่หรือไม่?"
เดิมทีนางอ่านแล้วรู้สึกว่าเรียบง่ายเกินไปหน่อย
แต่ยังดี ยังดี ตนเองเป็เพียงเด็กหญิงตัวน้อย สามารถทำเื่ไร้แก่นสารได้โดยไม่มีปัญหา อีกอย่างหากไม่ฉวยโอกาสกอดต้นขาคนผู้นี้ั้แ่ตอนนี้ ต่อไปก็คงยากแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นตนเองต้องแสดงความโง่งมให้เนียนสักหน่อย อวี้อ๋องถึงจะไม่ตำหนิโทษ และไม่จับผิดครอบครัวของนางด้วย
พูดตามตรง บัดนี้ซูซานหลางอดทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาตัดสินใจเอ่ยถาม "ขอบังอาจถามท่านอ๋อง ไม่ทราบว่า... ธิดาน้อยของกระหม่อมเขียนอันใดหรือ? นางยังเล็ก อาจไม่รู้ความทำเื่เหลวไหล ทำให้ท่านต้องขบขันแล้ว"
แม้ว่าจะพยายามสงบสติอารมณ์ แต่กลับยังมีความพะว้าพะวัง
อวี้อ๋องมองซูซานหลางด้วยความประหลาดใจ เขานึกว่าซูซานหลางจะต้องเห็นสารฉบับนี้แล้ว แต่เห็นเช่นนี้ดูท่าจะไม่ใช่ นี่ค่อนข้างอยู่เหนือความคาดหมายของตนเองอยู่บ้าง
แต่พอคิดว่าเป็เช่นนี้ รอยยิ้มก็ยิ่งกว้างขึ้น "จะว่าไป เ้าแตงน้อยก็มีความสามารถเชิงอักษรอยู่มากเหมือนกัน"
ซูซานหลางเม้มปาก
"ซื่อผิง เ้าไปห้องหนังสือนำสารในลิ้นชักออกมา ข้าคิดว่าคุณชายสามสกุลซูน่าจะสนใจ" อวี้อ๋องออกคำสั่ง
"ขอบพระทัยท่านอ๋อง" ซูซานหลางย่อมสนใจเป็พิเศษ
"ความสุขขึ้นอยู่กับเ้า เสียงหัวเราะขึ้นอยู่กับเ้า โทสะขึ้นอยู่กับเ้า ความอดสูขึ้นอยู่กับเ้า ความรู้สึกขึ้นอยู่กับเ้า ความเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นอยู่กับเ้า [1] ทั้งดวงใจ มีเพียงเ้า" อวี้อ๋องอารมณ์ดีมิใช่เล่น กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาเงยหน้าแฝงแววหยอกเย้า "หากแตงน้อยของพวกท่านเป็บุรุษ คงจะพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจสตรีได้มากโขเลยกระมัง?"
เฉียวเยว่เอานิ้วชนกัน "ไม่ดีหรือ? เขียนเช่นนี้มิใช่ว่าดีมากหรอกหรือ ข้าตั้งใจเขียนมากเลยนะ"
อวี้อ๋องพยักหน้า "ดี เขียนได้ดีมาก"
ก็ต้องดีอยู่แล้วสิ!
เขาหันไปยิ้มให้ซูซานหลาง แต่เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของคนผู้นี้สามารถเปิดโรงย้อมสีได้แล้ว
อารมณ์ของเขาดีมากจริงๆ ชีวิตที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย่นี้ถูกสองพ่อลูกกวาดไปเสียเรียบ ช่างสดชื่นดีแท้!
ซูซานหลางโกรธจนตัวสั่น เขาจิ้มหน้าผากของเฉียวเยว่ ไม่สนใจว่ายังอยู่จวนของผู้อื่นอีกต่อไป
"นี่เ้าเขียนเองรึ?"
เฉียวเยว่ตอบ "อื้ม" พร้อมกับเฝ้ารอรับคำชม
เวลาแบบนี้ยังอยากได้คำชมเชยอีกหรือ ซูซานหลางโกรธจนแทบกระอักโลหิต "ใครสอนให้เ้าเขียนสิ่งเหล่านี้ เ้าพูดมาให้ข้าฟัง"
เฉียวเยว่เอียงคอ "ข้าคิดเอง"
ถึงไม่ใช่ แต่ข้าบอกได้หรือว่าเพราะข้ามภพมา
เฉียวเยว่เกาเสื้อผ้ายุกยิก หลังจากนั้นก็หันไปมองอวี้อ๋อง "ท่านพี่จ้าน ข้าเขียนได้ดีหรือไม่?"
อวี้อ๋องอมยิ้มพยักหน้า "ดียิ่ง"
ซูซานหลางรู้สึกว่าในสมองของตนเองมีเส้นด้ายอยู่หนึ่งเส้น แต่เส้นด้ายเส้นนี้จู่ๆ ก็พลันขาดผึง
เขาคว้าตัวบุตรสาวขึ้นมาวางบนตักแล้วตีเพียะๆๆ
เฉียวเยว่ร้องลั่น "์ ฆ่าคนตายแล้ว"
อวี้อ๋องยกมือข้างที่ไม่าเ็ขึ้นเท้าคาง ถ้อยคำแฝงไปด้วยอารมณ์ขบขัน "อย่าตีเด็กเช่นนี้จะดีกว่ากระมัง?"
"ท่านพี่จ้านช่วยข้าด้วย ท่านพี่จ้านช่วยข้าด้วย บิดาข้ากลายร่างเป็จอมอสูรแล้ว"
อีกสิบกว่าปีให้หลัง ก็ไม่มีเด็กคนไหนในเมืองหลวงที่จะแสบสันเท่ากับเด็กน้อยคนนี้
เรียกได้ว่าแสบที่สุดในหมู่เด็กแสบ
"ข้าต้องสั่งสอนนางให้ได้ มิเช่นนั้นนางก็จะไม่รู้ถึงความร้ายแรง เพียะ!" เขาตีอีกที
แม้ว่าอาภรณ์ฤดูหนาวจะหนาทำให้ไม่ค่อยเจ็บเท่าไร แต่ช่วยไม่ได้ที่เฉียวเยว่คือเด็กเ้าเล่ห์ เด็กเ้าเล่ห์ที่ไหนจะไม่ร้องขอความช่วยเหลือ
จากประสบการณ์ของนาง หากไม่ร้องก็แสดงว่าไม่เจ็บ หรือไม่ก็ดื้อรั้นมาก อาจถูกตีจนน่าอนาถยิ่งกว่านี้
"ท่านพ่อตีเด็ก ท่านพี่จ้านช่วยข้าด้วย"
เฉียวเยว่รู้ว่าต้องหันไปอัญเชิญเทพเซียนมาช่วยเหลือ
หรงจ้านทนดูไม่ได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นไปดึงซูซานหลาง เฉียวเยว่สบโอกาสะโลงมาจากตักของบิดา แล้ววิ่งไปหลบด้านหลังของหรงจ้าน "ท่านพี่จ้าน บิดาข้าจะตีเด็ก"
"เด็กดี" หรงจ้านลูบศีรษะนาง "คุณชายซู ข้าคิดว่าใช้เหตุผลสั่งสอนน่าจะดีกว่ากระมัง การตีเช่นนี้จะเป็การสร้างเงามืดในหัวใจของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ท่านดูสิ แม่หนูน้อยร้องไห้จนน่าสงสารเพียงใด"
แต่พอหันไปมอง... เอ้อ ไม่มีน้ำตาสักหยด
ทว่าละครออกโรงแล้วต้องแสดงให้สุด เขาก้มลงไปตบๆ หลังของนาง "เด็กดี ไม่ร้อง ไม่ร้อง"
เฉียวเยว่สะอึกสะอื้น "ท่านพี่จ้าน ฮึกๆๆ ท่านพ่อตีข้า ท่านพ่อไม่้าข้าแล้ว ท่านเก็บข้าไว้ดีหรือไม่?"
ซูซานหลางม้วนแขนเสื้อ "ซูเฉียวเยว่ วันนี้ข้าต้องตีเ้าให้ตาย!"
...
[1] เป็วาทะของจักรพรรดิยงเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิง แต่แท้จริงแล้วคำพูดประโยคนี้ไม่ใช่คำพูดเชิงพลอดรักแต่เป็การประชดประชัน ประโยคสุดท้ายลงท้ายว่า แต่ไรมา เราหาใช่คนปากไม่ตรงกับใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้