เล่มที่ 2 บทที่ 31
มู่หรงฉิงจำได้ว่า ยามที่นางไปเรือนหยางเซิงใน่กลางวัน ผู้ชายที่ชื่อว่าชิงยวี่ยังเรียกจ้าวจื่อซินว่า ‘เ้านาย’ อยู่เลย ซึ่งเป็การพิสูจน์ว่าสถานะของจ้าวจื่อซินนั้นไม่ต่ำต้อย ประกอบกับกลุ่มคนชุดดำที่เห็นเ่าั้ มู่หรงฉิงพลอยนึกถึงกององครักษ์เสื้อแพรที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็อย่างดีในนิยาย
แต่กององครักษ์เสื้อแพรเป็องครักษ์ของราชสำนัก จ้าวจื่อซินเป็คนหยิ่งทะนงเช่นนั้น ถ้าเป็คนของราชสำนัก เขาคงไม่อาศัยอยู่ในจวนเฉินเป็แน่ หลังจากตัดข้อสงสัยข้อนี้ไป มีความเป็ไปได้เหลืออยู่หนึ่งประการ นั่นคือคนเ่าั้มาจากสำนักใดสำนักหนึ่ง
ในนิยายกล่าวกันว่า บางสำนักในยุทธภพนั้นทรงพลังมาก ซึ่งสามารถเทียบได้กับกององครักษ์เสื้อแพรของราชสำนักเสียด้วยซ้ำ
กรณีกลับกัน เมื่อสังเกตจากอากัปกิริยา ความทะนงตน ความเย่อหยิ่ง ความคิดว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น รวมถึงการกระทำอันไร้ขอบเขตของจ้าวจื่อซิน บวกกับการสังเกตจากพฤติกรรมต่างๆ ที่เขาปฏิบัติต่อนาง เขาไม่สนกฎระเบียบและขอบเขตเ่าั้แม้แต่น้อย ขณะเดียวกันเขาก็ไม่สนใจถึงหลักปฏิบัติ ‘หญิงชายไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน’ ถ้าเขาเต็มใจ ไม่ว่าจะเป็นางก็ตาม เขาก็ไม่ทอดทิ้ง และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น เขาไม่กลัวว่าผู้คนจะนินทาเขา
จากการเปรียบเทียบ มู่หรงฉิงสามารถสรุปได้ว่า จ้าวจื่อซินจะต้องเป็คนที่อยู่ในยุทธภพอย่างแน่นอน เขาเป็คนของยุทธภพและยังมีสำนักที่ดี มิหนำซ้ำทักษะการต่อสู้ของเขาก็อยู่ในอันดับต้นๆ ทว่าเหตุใดคนเช่นเขา ถึงได้ถูกเฉินเทียนหยูใช้งานล่ะ?
ชุ่ยเอ๋อร์เคยพูดไว้ว่า จ้าวจื่อซินจะอาศัยอยู่ในจวนเฉินเพียงไม่กี่ปี ส่วนจะอาศัยอยู่ในจวนเฉินเป็เวลากี่ปีนั้นนางไม่รู้ มู่หรงฉิงอดคิดไม่ได้ว่า คนในยุทธภพถูกคุมอยู่ในเรือนของบุตรชายของครอบครัวทำการค้าที่มีความมั่งคั่ง และ่เวลาที่เฉินเทียนหยูกลายเป็คนโง่งม ตามหลักของเหตุผลแล้ว จ้าวจื่อซินสามารถจากไปได้ โดยไม่ต้องสนใจไยดีสถานการณ์ของเฉินเทียนหยู ถึงกระนั้นจ้าวจื่อซินกลับไม่ได้จากไปแต่อย่างใด ทว่าเขายังคงอยู่ในจวนเฉินต่อไป สิ่งนี้ทำให้มู่หรงฉิงนึกถึงคำว่า ‘ความซื่อสัตย์มั่นคง’ ซึ่งมักจะพูดถึงกันในยุทธภพ
ผู้ที่มีความซื่อสัตย์มั่นคง ทั้งยังมีทักษะการต่อสู้อันเก่งกาจ ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่เลว แต่กลับยอมจำนนต่อบุตรชายจากครอบครัวผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง และบุตรชายจากครอบครัวผู้มั่งคั่งคนนี้ก็เคยเป็ผู้มีพร์โดดเด่นในหมู่ผู้คนมาก่อน อีกทั้งทักษะการต่อสู้ก็อยู่ในขั้นสูง...
ทักษะการต่อสู้ขั้นสูง... ทักษะการต่อสู้ขั้นสูง...
ทันใดนั้นก็มีประกายแสงปรากฏวาบในใจของนาง และมู่หรงฉิงก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวในใจ บางทีนางอาจจะรู้จุดประสงค์ของจ้าวจื่อซินในการอาศัยอยู่ในจวนเฉินแห่งนี้แล้ว
มู่หรงฉิงคาดเดาในใจอย่างกล้าหาญ ขณะที่จ้าวจื่อซินมองดูนางอย่างมั่นคง เขารู้สึกเพียงว่า นางที่กำลังคิดตรึกตรองถึงสิ่งต่างๆ อย่างเงียบๆ ช่างน่าสนใจมาก สีหน้าของนางมืดมนชั่วขณะ จากนั้นสับสนชั่วขณะหนึ่ง ถัดมาอีกครู่หนึ่ง ดวงตาทั้งสองข้างของนางก็วาววับเป็ประกายราวกับจะเข้าใจอะไรบางอย่างก็มิปาน
ท่าทางเช่นนั้นของนางกลับทำให้เขารู้สึกว่าดูดีเป็อย่างมาก เขารู้สึกว่านางน่าสนใจ
“จ้าวจื่อซิน พวกเรามาเล่นอะไรสนุกๆ กันเถอะ” นางได้ตัดสินใจแล้ว ใบหน้าของมู่หรงฉิงจึงไม่ปรากฏพิรุธใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงดวงตากระจ่างสดใสทั้งสองข้างซึ่งดูสวยงามมาก
จ้าวจื่อซินมองดวงตาทั้งสองข้างของนาง ก่อนเผลอพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “เล่นสนุกอะไรหรือ?”
“เ้าถาม ข้าตอบ ข้าถาม เ้าตอบ” หากสิ่งที่นางคาดเดาเป็ความจริง ถ้าเช่นนั้นนางก็ควรใช้จ้าวจื่อซินให้เป็ประโยชน์
เมื่อเห็นว่าจ้าวจื่อซินไม่สนใจ มู่หรงฉิงก็พูดอย่างแ่เบาว่า “เ้าทุ่มเทเพื่อเฉินเทียนหยูมามากเพียงพอแล้ว สันนิษฐานว่าเ้าคงไม่อยากเห็นเขาถูกคนควบคุมใน่เวลาที่เหลือใช่หรือไม่ การเล่นสนุกๆ ของพวกเราในคราวนี้ เ้าจะได้รับคำตอบที่้า และข้าก็จะได้คำตอบที่ข้า้าเช่นกัน” ครั้นพูดถึงตรงนี้ นางได้เห็นแสงริบหรี่ปรากฏในดวงตาของจ้าวจื่อซิน มู่หรงฉิงจึงกล่าวสำทับว่า “เื่ราวของจานไฉ่เยว่ ข้าคิดว่าเ้าคงรู้ มันไม่ใช่เื่ง่ายอย่างที่เห็นกันภายนอกผิวเผินเช่นนั้นใช่หรือไม่”
ปรากฏว่า ดวงตาของจ้าวจื่อซินหรี่เล็กลงอย่างรวดเร็วทันทีที่นางพูดประโยคนั้น เขาจ้องมองมู่หรงฉิงราวกับ้ารู้ว่านางกำลังจะทำอะไร
เด็กสาวเห็นว่ามีความเป็ไปได้ ทว่าใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง ก่อนเริ่มตั้งคำถามแรก “เ้ามีข้อตกลงกับเฉินเทียนหยูกี่ปีหรือ?”
นี่คือการตบตา! หากวิธีการของนางถูกต้องก็จะสามารถดำเนินการเล่นต่อไปได้
ดังนั้นแม้เอ่ยคำถามออกไปแล้วแต่มู่หรงฉิงกลับยังคงกังวลใจเล็กน้อย เนื่องจากกลัวว่าการคาดเดาของนางจะผิดไป
ดวงตาของจ้าวจื่อซินหรี่แคบลงกลายเป็ช่องว่างหนึ่งเส้นทันควันหลังได้ฟังคำถามของมู่หรงฉิง “ข้อตกลงอะไรหรือ?”
เหอะ! นางตบตา เขาก็ตบตาด้วยเช่นกัน มู่หรงฉิงพลอยรู้สึกขบขัน บนใบหน้าของนางประดับไปด้วยการเสียดสีเล็กน้อย “เมื่อสามปีที่แล้วเ้าประลองวรยุทธ์กับเฉินเทียนหยู แต่เ้าก็พ่ายแพ้ต่อเขา ทำไมหรือ? วรยุทธ์ไม่เท่าเขาแล้วกลัวว่าคนอื่นจะรู้กระนั้นหรือ?”
หลังจากมู่หรงฉิงกล่าวเช่นนั้น ดวงตาที่หรี่แคบลงของจ้าวจื่อซินก็ฉายความน่าสะพรึงกลัว เขามองนางโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใด
มู่หรงฉิงนั่งตัวตรงด้วยความมั่นคงดุจนาฬิกา นางพยายามบอกกับตัวเองเสมอว่าไม่ต้องกลัว ไม่ต้องวิตกกังวล ต้องไม่ปล่อยไก่ พร้อมกับหวนคิดถึงท่านแม่ที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต คิดถึงพี่ใหญ่ที่กำลังจะถูกคนทำร้าย ความคิดเ่าั้เป็สาเหตุให้ความตื่นตระหนกสงบลง แม้กระทั่งอัตราการเต้นของหัวใจก็กลายเป็ปกติ
ความตื่นตระหนกในหัวใจของนางหายไปแล้ว ดวงตาของมู่หรงฉิงจึงทักทายการจ้องมองซึ่งแผ่ซ่านไอแห่งการสังหารของจ้าวจื่อซินอย่างสงบ “ข้ามีคำถามสองข้อ และเ้าก็ควรถามคำถามสองข้อเช่นกัน แต่เ้าก็ยังไม่ได้ให้คำตอบที่เป็รูปธรรมแก่ข้าเลยนะ”
“จุดประสงค์ของการแต่งงานเข้ามาในจวนเฉินคืออะไรหรือ?” หลังจากผ่านไปนาน จ้าวจื่อซินก็เอ่ยคำถามสำคัญข้อแรกของเขา
มู่หรงฉิงส่ายศีรษะ สายตาสงบนิ่งประดุจสายน้ำขณะมองจ้าวจื่อซินอย่างใจเย็น “เ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าเลย”
หากตัดสินจากปฏิกิริยาของจ้าวจื่อซิน สิ่งที่นางคาดเดานั้นถูกต้องแล้ว ในตอนแรกจ้าวจื่อซินพ่ายแพ้เฉินเทียนหยูในการประลองวรยุทธ์ นั่นเป็สาเหตุให้เขาต้องอาศัยอยู่ในจวนเฉินเป็เวลาหลายปี!
ทุกคนล้วนมีเป้าหมายของตัวเอง เป้าหมายนั้นอาจจะเป็ชื่อเสียงหรือโชคลาภ และสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในยุทธภพก็มีเป้าหมายของตนเองเช่นกัน ชื่อเสียงการเป็นักดาบอันดับหนึ่ง การเป็จอมยุทธ์อันดับหนึ่งย่อมมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน้ามัน อย่างไรก็ดี คนเ่าั้ล้วนมีหนึ่งงานอดิเรก นั่นคือ พวกเขามักจะมองหาคู่ต่อสู้เพื่อประลองวรยุทธ์อยู่ตลอดเวลา หากชนะ แม้จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง ถึงกระนั้นมันจะเป็การก้าวะโครั้งใหญ่บนเส้นทางแห่งยุทธภพ แต่ถ้าพ่ายแพ้ พวกเขาก็จะต้องทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ก่อนทำการประลอง!
หลังจากเห็นปฏิกิริยาของคู่สนทนา อารมณ์ของมู่หรงฉิงก็ดีขึ้น จ้าวจื่อซินมีทักษะการต่อสู้ที่ดี และเขาก็มีสำนักที่ดีเช่นเดียวกัน ไม่เช่นนั้นในตอนกลางวัน จ้าวจื่อซินคงไม่ยอมตกลงที่จะหายาแก้พิษ ‘ทางเลือก’ ให้กับนาง
เนื่องจากจ้าวจื่อซินมีประโยชน์มากมายถึงเพียงนี้ ทำไมนางถึงไม่ใช้จ้าวจื่อซินในการส่งข่าวคราวให้พี่ชายของนางล่ะ? หรือพูดอีกนัยก็คือ ใช้พลังของจ้าวจื่อซินในการโจมตีอนุหนิง
“ห้าปี” ริมฝีปากบางเปิดและปิดลง พร้อมกับเปล่งออกมาสองคำโดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึก
โอ้! ไม่นะ ไม่ใช่ว่ามันปราศจากอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมด เพราะอย่างน้อยสองคำของเขาก็ทำให้อุณหภูมิในห้องเย็นขึ้นมาก
“ข้าแต่งงานเข้ามาในจวนเฉิน เพราะอนุหนิง้าใช้ประโยชน์ที่เหลืออยู่ของข้า” ห้าปีหรือ? นี่เวลาก็ผ่านมาสามปีแล้ว ดูเหมือนว่านางจะต้องคว้าโอกาสในการร่วมมือกับจ้าวจื่อซินให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็ว ถึงจะสามารถทำให้แผนของอนุหนิงไม่เป็ผล “ส่วนประโยชน์ที่เหลืออยู่ของข้าจะเป็อะไรนั้น ขอเ้าโปรดไปสืบให้ด้วย บางทีอาจจะเป็ประโยชน์สำหรับเ้าก็เป็ไปได้”
นางยอมรับว่านี่เป็ข้อมูลที่มีประโยชน์มากสำหรับจ้าวจื่อซิน และก็เป็ข้อตกลงที่มีประโยชน์มากสำหรับนางเช่นเดียวกัน นางอยากรู้จริงๆ ว่า อนุหนิง้าใช้นางเพื่อทำอะไร?
คำถามและคำตอบที่แท้จริงจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ มู่หรงฉิงพับผ้าห่มแล้วพิงกับผนังพร้อมปรับท่านั่งให้สบาย การเล่นตอบคำถามในคืนนี้คาดว่าจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง ที่สำคัญนางเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้แม้ต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะบรรลุผลสำเร็จก็ตาม “สำหรับความประสงค์ที่แม่รองเฉินและอนุหนิงสมคบคิดที่จะให้ข้าแต่งงานเข้ามาอยู่ในจวนเฉินเป็อะไร เ้าอาจจะเริ่มสืบจากตรงนี้ก็ได้”
นอกจากเป็การให้ข้อมูลที่ดียังเป็การให้ข้อมูลเพื่อที่นางจะได้รับคำตอบโดยเร็วที่สุด
หลังจากให้ข้อมูลแล้ว มู่หรงฉิงจึงเอ่ยคำถามสำคัญข้อที่สอง “ก่อนเฉินเทียนหยูประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เป็ไปได้หรือไม่ว่าเขามีเื่เกี่ยวพันกับราชสำนัก?”
นางจำได้ว่า ในคืนนั้นอนุหนิงบอกว่า นาง้าผลักดันมู่หรงยวี่ให้ดำรงตำแหน่งชายาขององค์ชายรัชทายาท แต่มู่หรงฉิงกลับไม่คิดว่าองค์ชายรัชทายาทคนปัจจุบันจะคู่ควรกับการลงมือลงแรงของอนุหนิง
องค์ชายรัชทายาทคนปัจจุบัน เดิมเป็องค์ชายที่มีชื่อเสียงที่ดีเป็อย่างมาก แต่เขาก็กลายเป็คนที่มีชื่อเสียงไม่ดี เท้าความย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน เขาเริ่มหมกมุ่นคลั่งไคล้อยู่กับนักแสดงชาย จนแม้กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ยังผิดหวังในตัวเขาเป็อย่างมาก!
ถ้าเปลี่ยนเป็คนอื่น เห็นแก่ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท เกรงว่าเขาจะต้องแสร้งทำทีว่าตนเป็คนรักงานในราชสำนักและทำให้ชื่อเสียงของตนเองบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่องค์ชายรัชทายาทกลับทำตรงกันข้าม ราวกับว่า เขาไม่สนใจตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทมากนัก ดังนั้นเขาจึงพานักแสดงชายคนนั้นเข้ามาอยู่ในตำหนักบูรพาโดยตรง และทำการละเล่นเริงระบำ ร้องเพลงเล่นดนตรีทุกคืน ฮ่องเต้้าปลดองค์ชายรัชทายาทออกจากตำแหน่งอยู่หลายหน แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ปลดองค์ชายรัชทายาทออกจากตำแหน่ง เนื่องด้วยสาเหตุใดนั้นก็มิอาจล่วงรู้ได้
ในสถานการณ์ที่องค์ชายรัชทายาทอาจจะถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อใดก็ได้ และถ้ามู่หรงยวี่กลายเป็ชายาองค์ชายรัชทายาทจริงๆ ถึงเวลานั้นเกรงว่านางจะต้องกลายเป็ชายาขององค์ชายรัชทายาทที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง มู่หรงฉิงไม่เชื่อว่าอนุหนิงจะอุตส่าห์คิดวางแผนอย่างรอบคอบเพียงเพื่อสิ่งนั้น
คิดได้ดังนั้น มู่หรงฉิงก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งในใจที่้าเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
สามปีก่อน...เวลาสามปีก่อนอีกหน ท่านแม่เสียชีวิตเมื่อสามปีก่อน และเฉินเทียนหยูก็ประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อสามปีก่อนเช่นกัน และแม้กระทั่งองค์ชายรัชทายาทก็ได้เปลี่ยนรสนิยมของตนเองเมื่อสามปีก่อนเช่นเดียวกัน
เดิมทีเหตุการณ์เ่าั้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน แต่มู่หรงฉิงกลับรู้สึกว่ามันเชื่อมโยงกันอย่างลึกลับ
คำถามของมู่หรงฉิงไม่ได้รับคำตอบในท้ายที่สุด และจ้าวจื่อซินก็แค่จ้องมองนางอย่างเ็า เขาลุกขึ้นและเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ก่อนที่อากาศภายในห้องจะกลายเป็น้ำแข็ง
มู่หรงฉิงอุตส่าห์เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้เป็เวลายาวนาน แต่ผลลัพธ์ก็คือเขาไม่คิดที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ในคราวนี้เสียด้วยซ้ำ มันช่างจนปัญญาและน่าหงุดหงิดจริงๆ!
เหนื่อย!
นางบ่นพึมพำในใจ ก่อนทอดมองดวงจันทร์ส่องแสงสว่าง และทิ้งตัวนอนลงบนเก้าอี้ยาวเพื่อจัดระเบียบความคิดของตนเอง
ในค่ำคืนแห่งการพลิกผัน ตอนแรกนางต้องประสบกับสถานการณ์อันน่าใอย่างท่วมท้น ต่อมาก็ถึงตาประลองปัญญาและความกล้า พอล้มตัวลงนอน นางพลอยรู้สึกว่าดวงตาเปื้อนไปด้วยแป้งหนึบจึงเป็เื่ยากจะลืมตาขึ้นมา
ฉะนั้นเมื่อลืมตาตื่นขึ้น พระอาทิตย์ก็ขึ้นสูงแล้ว หน้าต่างยังถูกปิดสนิททำให้แสงแดดอันร้อนจัดถูกปิดกั้นด้วยบานหน้าต่าง นางขยี้ตาและมองไปด้านข้างจึงได้เห็นเฉินเทียนหยูนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวมองมาที่นางพลางกะพริบปริบๆ และรอให้นางตื่นขึ้นมา
“น้องหญิง น้องหญิงตื่นแล้ว พวกเราไปดูจุ๊กกรู๊กันเถอะ” ทันทีที่เฉินเทียนหยูพูดจบ เขาก็ไม่ให้โอกาสมู่หรงฉิงได้พูดตอบ ชายหนุ่มยื่นมือทั้งสองข้างออกมาโอบนาง จากนั้นอุ้มนางไปที่เรือนหยางเซิงโดยไม่พูดไม่จา
“คุณชายรอง ฮูหยินน้อยยังไม่ได้ชำระล้างร่างกายเลย...”
“ออกไปให้พ้น!”
แม่นมฟางเห็นว่าเฉินเทียนหยูอุ้มมู่หรงฉิงออกไปโดยตรง ก็รีบเดินตามเฉินเทียนหยู นางยังไม่ทันได้พูดจบกลับถูกเอ็ดอย่างไม่พอใจ “ห้ามพูด ห้ามขวางทาง ไม่เช่นนั้นข้าจะต่อยเ้า”
ท่าทีของเฉินเทียนหยูจริงจังเป็อย่างมาก และทุกคนก็เชื่อว่าเขาสามารถทำตามคำพูดของตัวเองได้ ใน่เวลาแห่งความมึนงง เฉินเทียนหยูจึงอุ้มมู่หรงฉิงมุ่งหน้าสู่เรือนหยางเซิง
เมื่อออกจากเรือน มู่หรงฉิงดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก แต่จากหางตา นางเห็นความงุนงง ความไม่เข้าใจและความไม่พอใจของยวี้เอ๋อร์
เหอะ! ทำไม่สำเร็จ ดูเหมือนว่ายวี้เอ๋อร์จะรีบร้อนเป็อย่างมากเสียด้วย เป็ไปได้หรือไม่ว่าใน่เวลานี้อนุหนิงจะเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่? และการเคลื่อนไหวนี้ก็เกี่ยวข้องกับนางกระนั้นหรือ?
ดูเหมือนว่า คงจะต้องให้จ้าวจื่อซินให้ความสนใจยวี้เอ๋อร์เพิ่มมากขึ้น