“คารวะท่านเทพศาสตราวุธปู้เสวียนยิน!”
ลุงลู่และลุงหลงรีบโค้งคำนับซึ่งเป็มารยาทที่พันธมิตรนักปราชญ์ขาวมีต่อผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่า
ปู้เสวียนยินปัดไม้ปัดมือให้สองคนนั้นไม่ต้องมีพิธีรีตองก่อนจะนั่งลงข้างตัวของข้าแล้วมองไปยังซูซีเฉิงนานกว่าหนึ่งนาที
“ยังจะมองอีก รินชาสิท่านเชิญมาดื่มชาไม่ใช่หรือไง?” นางพูดขึ้น
ซูซีเฉิงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ก่อนจะพูดขึ้น “ได้ๆ รินชาก็รินชา”
แววตาของนางเหมือนมีบางอย่างไม่ชอบใจพลางมองข้ากับซูซีเฉิงสลับกัน “ท่านเสนาบดีนี่ท่านไม่ได้บีบบังคับอะไรน้องชายข้าใช่ไหม?”
“ไม่หรอกข้าจะทำแบบนั้นได้อย่างไร ปู้อี้เชวียนเป็เพื่อนของซูเหยียน แถมข้ายังต้อนรับอย่างดีด้วยซ้ำไป”
“อย่างนั้นเหรอ?”
พี่เสวียนยินนางดูเหมือนจะเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างแล้วพูดต่อ“ความจริงตามนิสัยของครอบครัวที่มีอำนาจอย่างพวกท่านคงจะเชื้อเชิญให้น้องชายของข้าเข้าร่วมกับพันธมิตรนักปราชญ์ขาวแล้วแต่ว่าโดนปฏิเสธเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
ซูซีเฉิงชะงักไปพักหนึ่งก่อนที่ใบหน้าจะมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “ความสามารถในการคาดเดาของเ้านี่นับวันก็ยิ่งแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ นะ...ปู้เสวียนยิน”
พี่เสวียนยินรับน้ำชามาและยกขึ้นจิบแล้ววางลงคิ้วสวยคู่นั้นขมวดเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ข้ารู้จักน้องชายตัวเองดีเสี่ยวเชวียนมีนิสัยทำตามใจตัวเองและไม่เคยก้มหัวให้ใครการที่ท่านบังคับให้เข้าร่วมกับพันธมิตรนักปราชญ์ขาวจึงทำให้เขาลำบากใจยิ่งกว่าการที่ท่านจะฆ่าเขาเสียอีกข้าว่าท่านละทิ้งความพยายามเสียเถอะปล่อยให้เขาไปเป็กำลังสำคัญอย่างหนึ่งให้แผ่นดินจะดีกว่าเพราะถ้าตัดสินใจจะฆ่าเขาแทนนอกจากจะไม่เหลืออะไรแล้วท่านยังมีศัตรูอย่างข้าเพิ่มขึ้นมาอีกคน...”
แบบนี้ถือเป็การตักเตือนหรือเปล่านะ...
ซูซีเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดย้ำ “ท่านวางใจเถอะเพราะเื่การได้เสียของผลประโยชน์จากเื่นี้ข้าเองก็รู้ดี”
ปู้เสวียนยินยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น “ท่านเองก็วางใจได้เพราะการที่เสี่ยวเชวียนปฏิเสธคำเชิญของพันธมิตรนักปราชญ์ขาวเขาก็จะปฏิเสธคำเชิญของทางดินแดนกาฬวาตเหมือนกันในเมื่อไม่ยอมก้มหัวให้ท่านจึงเป็เื่ธรรมดาที่จะไม่ยอมก้มหัวให้ใคร”
ถึงตอนนี้ซูซีเฉิงก็แสดงสีหน้าที่เหมือนยกูเาออกจากอก “ฮึๆ ถ้าอย่างนั้นก็ดี...ดีทีเดียว...”
ผ่านไปพักใหญ่ซูซีเฉิงจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านปู้เสวียนยินเมื่อวานข้าได้รับจดหมายการซื้ออาชาปีกักว่าหนึ่งพันตัวจากร้านหอเจ็ดเทพในเมืองหลินเสี่ยเฉิงไม่รู้ว่าท่านเป็คนตัดสินใจซื้อเองหรือเปล่า?”
พี่เสวียนยินรับคำก่อนจะนั่งยืดอกแล้วถามต่อด้วยน้ำเสียงที่เหมือนเรียกร้อง “ท่านเสนาบดีมีอะไรอยากจะถามอย่างนั้นเหรอคะ?”
ซูซีเฉิงส่ายหน้าก่อนจะว่าพลางยิ้ม “ก็เปล่า...เพียงแต่ว่าเงินตั้งแปดสิบล้านเหรียญหลงหลิงที่เสียไปมันเยอะและรวดเร็วจนเหมือนเป็การตัดแขนข้างหนึ่งของพันธมิตรนักปราชญ์ขาวของเรา”
ปู้เสวียนยินอดยิ้มไม่ได้ “เป็ถึงพันธมิตรนักปราชญ์ขาวเงินแค่แปดสิบล้านคงไม่ถึงกับขนหน้าแข็งร่วงหรอกใช่ไหม? อย่างมากก็แค่หล่นไปสองสามเส้นเท่านั้น”
“ดูเหมือนเ้าจะคิดว่าพันธมิตรนักปราชญ์ขาวอย่างพวกเรามีเงินและอำนาจไม่น้อยเลยสินะ...”
“ฮึตำหนักใหญ่ในเมืองเทียนยินเฉิงของท่านเดิมทีก็ร่ำรวยจนสามารถเป็ปรปักษ์กับแผ่นดินใหญ่ได้ง่ายๆไหนจะมีที่เมืองใหญ่ทั้งห้าอย่างชิงเหยียนเฉิง หลงซินเฉิง ไป๋สุ่ยเฉิงว่านกู่เฉิ่ง เพ่ยเฉิงอีกขนาดนี้แล้วใครจะไม่รู้ล่ะว่าพันธมิตรนักปราชญ์ขาวของท่านมีเงินทองมากมายเป็ที่หนึ่งในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้และอีกอย่างเ้าอาชาปีกัก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าซื้อมาเพื่อขี่เล่นเองแต่ใช้เพื่อเป็กำลังสำคัญในการปกป้องท่านและทรัพย์สมบัติทั้งสิ้น”
ซูซีเฉิงยิ้มเหมือนโดนรู้ทันและมีท่าทีที่ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ “ฮ่าๆๆ...ท่านปู้เสวียนยินท่านออกไปท่องยุทธภพตั้งครึ่งปี ข่าวคราวพวกนี้เชื่อได้อย่างนั้นเหรอ?”
“เชื่อได้อย่างแน่นอน...ที่สำคัญคือพวกมันกำลังเตรียมพร้อมที่จะลงมือแล้ว”
ซูซีเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นคล้ายกำลังกังวล “ผ่านมาหลายพันปีแล้ว...ผู้คนต่างหลงลืมกันไปแล้วว่ามีอะไรอยู่ด้านนอกกำแพงแห่งชีวิตนั่นแต่มาวันนี้พวกมันกลับกำลังเคลื่อนไหว และต้องนำพาภัยพิบัติมาให้อีกเป็แน่”
“ก็ใช่...ผ่านมาหลายพันปีแล้ว” พี่เสวียนยินมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่พักใหญ่ก่อนจะพูดต่อ “ในตอนนั้นเนื้อหมูยังแค่กิโลละสามสิบเหรียญห้องเช่าก็ยังตารางวาละห้าร้อยเหรียญ...”
ซูซีเฉิงที่ได้ยินถึงกับขมวดคิ้วแน่น “ช่วยพูดที่มันเป็การเป็งานหน่อยไม่ได้หรือไง?”
เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่งของการครุ่นคิดซูซีเฉิงจึงเริ่มพูดอีกครั้ง “พวกนั้น...จะเริ่มจู่โจมเมื่อไร?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ อาจจะสักสิบปีหรืออาจจะเร็วกว่านั้น...”
“...” ข้าที่เงียบไปทำให้ซูซีเฉิงมองมาและคงจะเข้าใจว่าข้าไม่รู้เื่ที่พวกเขากำลังคุยกัน
ข้ายกชาขึ้นจิบและพูดต่อหลังจากวางจอกชาลงไปแล้ว “พวกท่านกำลังพูดถึงชนเผ่าแห่งความมืดกันอยู่ใช่หรือเปล่า?”
ซูซีเฉิงแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจก่อนจะถามขึ้น “เ้า...ทำไมเ้าถึงรู้เื่นี้หรือว่าพี่สาวเ้าเป็คนบอก?”
ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “พี่เสวียนยินไม่เคยบอกความลับพวกนี้กับข้าเลยแม้แต่น้อยแต่เป็ข้าที่บังเอิญไปเจอกับพวกมันเอง”
“เป็ไปไม่ได้...การบำเพ็ญที่ยังไม่ถึงขั้นของเ้าตอนนี้หากเผชิญหน้ากันจริงคงไม่มีทางหนีรอดออกมาได้เด็ดขาด” เขาพูดขึ้นอย่างแน่วแน่
“อย่างนั้นเหรอ?”
ข้าถามขึ้นก่อนจะปรายตามองเขาแล้วพูดต่อ “บางทีเมื่อเทียบกับท่านเสนาบดีแล้วข้าอาจจะรู้เื่ของชนเผ่าแห่งความมืดมากกว่าท่านก็ได้นะ”
“เสี่ยวเชวียน หยุดพูดได้แล้ว”
พี่เสวียนยินพูดแทรกพลางหันมาบอกข้า “พลังของเ้าในตอนนี้ยังมีไม่มากพอที่จะต่อสู้กับความร้ายกาจของพวกมันเอาไว้ให้เ้าบำเพ็ญจนแข็งแกร่งกว่านี้เมื่อไรค่อยว่ากันอีกทีแต่ตอนนี้เื่ของกำแพงชีวิตนั่นพวกข้าจะจัดการกันเอง”
ซูซีเฉิงยิ้มแล้วพูดเสริม “ก็ใช่ ถ้าพวกมันจู่โจมจริงๆทางการทหารของสหพันธ์ก็จะต้องป้องกันไว้ก่อนอยู่แล้ว ส่วนพวกคนหนุ่มอย่างพวกเ้าควรบำเพ็ญฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง”
ข้าไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะรู้ว่าพี่เสวียนยินกำลังปกป้องข้าอยู่แต่ที่นางยังไม่รู้คือสิ่งที่นางกำลังห้ามไม่ให้ข้าไปเผชิญหน้ากับพวกชนเผ่าแห่งความมืดเพราะข้าเคยพบเจอมาก่อนหน้านี้แล้ว...
...
วันต่อมา มีเพียงหญิงงามทั้งสี่ไปกับข้าเท่านั้นแต่พี่เสวียนยินไม่ได้ไปด้วยแถมตอนนี้ซูซีเฉิงก็กลับไปทำงานที่พันธมิตรนักปราชญ์ขาวแล้วด้วย
ในตอนดึกพลังลมปราณในร่างกายแผ่ไอเย็นออกมาทำให้น้ำในบ่อจับตัวเป็น้ำแข็งอีกครั้งส่วนข้าก็ถูกแช่แข็งจนตัวสั่นก่อนจะหยิบโสมโลหิตส่วนสุดท้ายออกมากินจนหมดพริบตาเดียวกล้ามเนื้อก็มีไอความร้อนเหมือนไฟลุกโชนขึ้นทั่วร่างกาย
พลังพุ่งพรวดเพื่อทำลายขีดจำกัด!
กรร!
เมื่อใช้ตาทิพย์มองลงไปในร่างกาย ณทะเลแดนเหนืออันหนาวเหน็บ มีเสียงคำรามของสัตว์ซึ่งเป็ดั่งเทพเ้าดังขึ้นมาก่อนผิวน้ำจะเกิดระลอกคลื่นและฟองอากาศขนาดใหญ่ไม่นานเทพัที่มีเกล็ดสีทองก็พุ่งทะยานขึ้นมาแล้วพันตัวกลางอากาศก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปกัดเนื้อของปลาบินที่ชื่อว่าคุนเผิงัตัวนั้นสะบัดตัวไปมาอย่างดุเดือดท่ามกลางาระหว่างมันกับคุนเผิง
การต่อสู้ผ่านไปนานกว่าครึ่งชั่วโมงไม่นานรูปร่างของคุนเผิงก็เริ่มเล็กลงเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลมก่อนจะถูกเทพัตัวนั้นกลืนกินเข้าไปในที่สุดพริบตาเดียวท้องฟ้าก็กลับมามีแสงเรืองรองอร่ามซึ่งเป็เหตุมาจากเทพัที่แหวกว่ายอยู่กลางอากาศทั้งความน่าเกรงขามและการสะบัดหางที่สวยงามเหมือนกับพร้อมจะจุติลงมายังโลกเต็มที
พลังลมหายใจัระดับแก่นแท้ขั้นที่แปดเทพัจุติโลกา!
ข้านึกดีใจอย่างสุดขีดแต่ใบหน้ายังเรียบนิ่งเมื่อลืมตาดูก็พบว่าน้ำในบ่อแข็งตัวอีกครั้งทว่าครั้งนี้ข้าพยายามเดินไปข้างหน้าโดยไม่ต้องใช้พลังมากแต่อาศัยความร้อนในตัวจากพลังของเทพัจุติโลกที่มีอยู่และนึกไม่ถึงว่าเมื่อก้าวขาไปข้างหน้า กลุ่มก้อนน้ำแข็งจะสลายกลายเป็เกล็ดทันทีและไม่ได้ขัดขวางการเดินหน้าของข้าแต่อย่างใด
ขนาดที่ว่าฝึกฝนขั้นที่แปดแล้วทั้งร่างกายยังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เยือกเย็นและสุขุมนุ่มลึกเหมือนตกอยู่ในทะเล ณ แดนเหนืออันหนาวเหน็บ
ตั้นไถเหยาที่นอนเหยียดขาอยู่บนแปลไม่ไกลกันนักพูดขึ้น“เสี่ยวเหยียนข้ารู้สึกว่าพลังของอาจารย์ปู้จะเพิ่มขึ้นจนเท่ากับเ้าแล้วล่ะ หรือบางที...อาจจะมากกว่าเ้าด้วยซ้ำไป”
ซูเหยียนทำปากจู๋แล้วพูดขึ้น “มีพลังมากกว่าก็ช่างสิข้าไม่กลัวหรอก เพราะถึงยังไงก็เป็พวกเดียวกัน”
ถังเชวียหรานหัวเราะคิกคักก่อนจะพูดเสริม “ถูกต้อง!เขาเป็คนของพวกเรา และจะเป็แบบนี้ตลอดไปไม่มีใครมาแย่งไปได้!”
หลิวถงเอ๋อร์ยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดขึ้น “แล้วถ้าเกิดว่าเขามีคนรักขึ้นมาล่ะ...”
ถึงตรงนี้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกและเริ่มลังเล...
ข้าเดินไปถึงด้านหน้าของพวกนางและรับผ้าเช็ดตัวจากสาวรับใช้มาคลุมกันหนาวพร้อมกับพูดขึ้น “ไม่เป็ไรหรอกน่าเพราะข้าไม่มีทางมีคนรักอยู่แล้วคนมีความฝันอย่างข้าถ้าเกิดมีคนรักขึ้นมาไม่กลายเป็พวกไม่เอาไหนไปเลยหรือไง?”
“แล้วความฝันของเ้าคืออะไรล่ะ?” ถังเชวียหรานถาม
“บอกมาก่อนสิว่าความฝันของพวกเ้าคืออะไร?”
เพียงพักเดียวหญิงงามทั้งสี่ก็เดินเข้ามายืนล้อมวงแล้ววางมือทั้งสี่ไว้ด้วยกันก่อนจะยกมือขึ้นพลางพูดออกมาพร้อมกัน “พวกเราจะต้องเป็ผู้หญิงของเทพศาสตราวุธให้ได้!”
หลังจากนั้นซูเหยียนก็กะพริบตาถี่ๆก่อนจะถามกลับ “ตอนนี้เ้าบอกมาได้หรือยังว่าความฝันของเ้าคืออะไร?”
ข้ากระแอมออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะพูดอย่างช้าๆ “การได้เป็เทพศาสตราวุธ...”
บรรยากาศมันเงียบลงไปถนัดตาตั้นไถเหยาครุ่นคิดอยู่พักใหญ่จึงพูดขึ้นมาเหมือนกำลังสงสัย “รู้สึกว่าพวกเราจะถูกปู้อี้เชวียนเอาเปรียบอยู่แต่...กลับไม่รู้สึกโกรธ เป็เพราะอะไรกัน?”
“มีแค่เ้าหรือเปล่าที่ไม่ได้โกรธ?”
ถังเชวียหรานว่าแล้วเดินมาหาข้าก่อนจะพูดต่อ “ปู้อี้เชวียนข้าขอท้าประลองกับเ้าได้ไหม?”
“พวกเดียวกันทั้งนั้น อย่าประลองกันเลยนะ”
“ฮึ!เ้าทำแบบนี้เท่ากับว่าขี้ขลาดชัดๆ ” ตั้นไถเหยาพูดขึ้น
“เหอะ! ใครบอกว่าข้าขี้ขลาด มาเลยพวกเรามาสู้กันสามร้อยรอบเลยเป็ไง!”
ถังเชวียหรานได้ยินถึงกับพูดไม่ออก...
...
วันต่อมาพวกเราก็กลับมาถึงสำนักพร้อมกับเื่วุ่นวายจนถึงที่สุด...
ใน่บ่ายประตูทางเหนือของสำนักหมื่นิญญาเต็มไปด้วยเสียงกีบเท้าของม้าและทหารในชุดเครื่องแบบเต็มกำลังพร้อมอาวุธครบมือไม่ว่าจะเป็พลดาบและพลปืนต่างหลั่งไหลกันเข้ามาในสำนัก โดยทหารเ่าั้มีผู้นำขบวนเป็พลม้าที่ถือธงรูปธนูสีทองพื้นหลังสีแดงเข้ามา
“นี่มันทหารของชายแดนเป็ทหารชายแดนจริงๆ ด้วย!”
“ทหารชายแดนพวกนี้คอยรักษากำแพงแห่งชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมถึงมาที่สำนักหมื่นิญญาที่ห่างไกลแบบนี้ได้ล่ะ?”
“นั่นสิ!จะต้องเกิดเื่อะไรขึ้นแน่ๆ ”
เหล่าศิษย์แต่ละคนพากันส่งเสียงซุบซิบออกมา
พลม้าซึ่งอยู่ภายใต้การป้องกันของทหารระดับสูงหลายนายนำทางนายทหารเข้ามาภายในสำนักซึ่งคนที่อยู่หน้าสุดคือหญิงสาวในชุดทหารระดับสูงและใส่ผ้าคลุมของเทพศาสตราวุธหน้าอกติดดาวเล็กสามดวงของชุดพลเอกและนำขบวนเข้ามาในสำนักพร้อมกับใบหน้าที่คิ้วขมวดเป็ปม
ส่วนด้านข้างของนางคือคนที่ถูกซัดจนน่วมอย่างเฉิ่นลั้งและพ่อของเขาซึ่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์!
เฉิ่นลั้งทำหน้าประจบสอพลอก่อนจะพูดขึ้น “ท่านพลเอกซูซีอวี๋ ข้ารับประกันว่าเื่ครั้งก่อนที่ท่านปู้เสวียนยินปกป้องน้องชายตัวเองเป็เื่จริงทั้งหมดครั้งนี้ทหารชายแดนเดินทางมาจากแดนไกลท่านต้องช่วยเรียกร้องความเป็ธรรมให้แก่ข้า!”
ซูซีอวี๋ปรายตามองเขาแล้วพูดตอบ “ถ้าปู้เสวียนยินทำผิดกฎของสหพันธ์จริงข้าก็ต้องจัดการถึงขั้นสุดอยู่แล้วต่อให้ข้ากับนางต้องตัดความสัมพันธ์ฉันเพื่อนกับนางเพราะไม่มีทางเข้าข้างคนผิด!แต่ถ้าไม่ใช่อย่างที่พูด เ้าก็คงจะต้องระมัดระวังหัวบนบ่าหน่อยแล้วล่ะโทษฐานที่ใส่ร้ายเทพศาสตราวุธไม่ใช่โทษสถานเบา...”
“ข้าน้อยไม่ได้ใส่ร้ายอย่างแน่นอนในตอนนั้นมีสหายหลายคนที่สามารถเป็พยานได้ขอรับ!”
“ไม่ต้องพูดมากไปหาปู้อี้เชวียนก่อนค่อยว่ากัน!”
“ขอรับ!”
...
ณ สนามฝึกฝนที่ 7 ข้ากับซูเหยียนมองเห็นกลุ่มของทหารชายแดนที่เดินใกล้เข้ามานานแล้วส่วนซูเหยียนที่เห็นแบบนั้นจึงยิ้มขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาพร้อมกับกระบี่สำหรับฝึกฝนในมือ “ทำไมถึงมาที่นี่ได้ละคะท่านป้า?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้