วังหลวงอยู่ไม่ไกลจากสวนมวลบุปผาหอม เยี่ยนเจาเจาเคยมานับครั้งไม่ถ้วนย่อมรู้ดี แต่เยี่ยนฟางหวาไม่ทราบเื่นี้
พอเยี่ยนฟางหวาเพิ่งจะรู้สึกสบายตัวขึ้น เกี้ยวหลวงก็หยุดลงแล้ว
นางคิดมาตลอดทาง แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไมเจาเจาถึงยอมให้นางนั่งเกี้ยวของตนเอง
เยี่ยนเจาเจามองท่าทางทึ่มทื่อเช่นนั้นของนาง ใจอดยิ้มไม่ได้
เจาเจาพาเฝ่ยชุ่ยเข้าวังมาด้วย เพียงแต่เฝ่ยชุ่ยเห็นหนานิเหอไปช่วยพยุงคุณหนูของนางก่อนแล้ว จึงถอยหลังกลับเงียบๆ
หนานิเหอพยุงเจาเจาลงเกี้ยวด้วยตนเอง เยี่ยนเจาเจาสะดวกสบายอย่างยิ่ง
ส่วนเยี่ยนฟางหวา นางดูถูกหนานิเหอมาตลอด ถึงขั้นคิดว่าการร่วมเดินทางกับคนเช่นหนานิเหอในคราวนี้ถือเป็การเสื่อมเสียเกียรติของนาง ทว่านางก็รอให้หนานิเหอมาพยุง
ไฉนได้เขาไม่คิดจะช่วยนางแต่แรกอยู่แล้ว เยี่ยนฟางหวาโกรธแทบตาย จำต้องให้ชุนเถาที่เป็หญิงรับใช้ของนางเป็คนพาลงจากเกี้ยวแทน
เยี่ยนฟางหวามองตามหลังหนานิเหอกับเยี่ยนเจาเจาที่เดินนำไปก่อน เมื่อเห็นเขาจับมือเจาเจา ความสุขที่ซุกซ่อนไว้ในใจนางจึงลอยขึ้นมา
คนที่ไปมาหาสู่กับบุตรีฮูหยินเอกของท่านโหวอย่างนางล้วนเป็ซื่อจื่อ[1] ฐานันดรสูงส่งจากสกุลอื่น ส่วนเยี่ยนเจาเจา แม้จะได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮา แต่ยามนี้กลับมาเล่นกับคนใบ้กำพร้ามารดาเช่นนั้น
คิดแล้วเยี่ยนฟางหวาก็สบายใจกับการเปรียบเทียบคราวนี้อย่างยิ่ง นางเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตนเอง ก่อนจะวาดรอยยิ้มงดงามจับใจขึ้นมาใหม่อีกครา
สิ่งที่ท่านแม่กล่าวก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล บนโลกนี้ผู้คนมัก้าใครสักคนเพื่อขับความล้ำค่าของตนเองออกมา
ทว่าเยี่ยนเจาเจาไม่คาดคิดว่าท่านป้าจะยังไม่ให้นางเข้าพบ
ซวงฝูมีท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย แต่ก็กล่าวเพียงว่ามีคนนอกมา ให้เยี่ยนเจาเจาพาหนานิเหอกับเยี่ยนฟางหวาไปเดินเล่นที่สวนอวี้ฮวาหยวน[2] ก่อนสักพัก
สระมหานทีที่เยี่ยนเจาเจาเอ่ยก่อนหน้าก็อยู่ในสวนอวี้ฮวาหยวน
เยี่ยนฟางหวาไม่เคยมาที่วังหลวงมาก่อน นางคิดเพียงว่าภาพในสายตาตอนนี้ช่างเลอค่าล้ำเสิศไปเสียทุกหนทุกแห่งแบบที่จวนเยี่ยนเทียบไม่ติด
แต่เยี่ยนเจาเจากลับไม่คิดว่ากำแพงแดงกระเบื้องเขียวเหล่านี้จะน่ามองตรงไหน นางรู้ว่ามีหลายชีวิตถูกฝังภายใต้ทิวทัศน์งดงามแห่งนี้
หอคอยที่สร้างมาด้วยอำนาจบารมี ข้างใต้ต้องมีซากศพกองพะเนินอย่างแน่นอน
เยี่ยนเจาเจาพลันใคร่รู้ขึ้นมาว่าหลังจากที่ตนตายไปในชาติที่แล้ว เยี่ยนฟางหวากับเหลียงอินจะมีชีวิตเช่นไรต่อไปกันแน่?
ยามคนเราก้าวเดินไปถึงจุดสูงสุดแล้ว จะได้รับความสุขแตกต่างจากคนทั่วไปจริงหรือ?
ซวงฝูเรียกขันทีน้อยแถวหนึ่งมาปรนนิบัติเจาเจาและคนอื่นๆ เมื่อเยี่ยนเจาเจากล่าวว่า้าไปป้อนอาหารปลาที่สระมหานที หนานิเหอย่อมไม่คัดค้าน ส่วนความเห็นของเยี่ยนฟางหวาไม่อยู่ในขอบเขตการพิจารณาของซวงฝู
เยี่ยนเจาเจาพิงราวหินอ่อนสีขาวของสระมหานทีอย่างเกียจคร้าน พลางหยิบอาหารปลากำหนึ่งจากจานหยกในมือขันทีน้อยข้างๆ มาโปรยลงในน้ำ ก่อนจะเห็นปลาหลีฮื้อตัวอวบอ้วนส่ายตัวไปมาเพื่อแย่งอาหารกัน
สภาพปลาหลีฮื้อที่ทะเลาะกันเพื่อแย่งอาหารไม่ต่างอะไรกับเหลียงอินตอนต่อสู้แย่งชิงอำนาจในสมัยนั้น ที่เผยพฤติกรรมชั่วร้ายออกมาทั้งหมดจนน่าขยะแขยง ความคิดเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นนี้ทำเอาเยี่ยนเจาเจาหมดอารมณ์ให้อาหารปลาในพริบตา
ประจวบเหมาะกับเสียงครั่นครื้นดังลั่นมาจากปลายขอบฟ้า แล้วฝนก็เทลงมา
วัสสานฤดูในเมืองเซียงเฉิงก็เป็เช่นนี้ วันหนึ่งต้องมีฝนตกสักแปดชั่วยาม ขันทีน้อยกางร่มให้สามผู้สูงศักดิ์อายุน้อย ก่อนจะพาทั้งสามไปส่งยังศาลาภาพเขียนที่ใกล้ที่สุด
ในศาลามีน้ำชา ขนมอบ และข้าวของอื่นๆ เตรียมไว้พร้อมสรรพ เยี่ยนเจาเจาไม่มีกะใจจะเล่นงานเยี่ยนฟางหวา ส่วนหนานิเหอก็ดื่มน้ำชาอย่างเงียบๆ จึงไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงเสียงฝนซ่าๆ และเสียงใสของถ้วยเคลือบกับฝากระทบกันเบาๆ ดังมาเป็ระยะ
เยี่ยนเจาเจานึกถึงสีหน้าอึดอัดของซวงฝูเมื่อสักครู่ พลันตระหนักขึ้นมาได้ว่าท่านป้ากำลังพบใครอยู่
นางลืมเสียสิ้นว่าท่านป้าน่าจะกำลังพบเหลียงอิน
ฮองเฮาเหลียงฮุ่ยทรงเป็ฮองเฮาที่ทุ่มเทแรงใจสร้างแคว้นให้เจริญรุ่งเรือง แต่ในด้านความสัมพันธ์แล้ว พระองค์ไม่เหมือนมารดาของเจาเจาแม้สักครึ่ง แน่นอนว่าพระองค์คือฮองเฮา ตำแหน่งบารมีเช่นนี้ย่อมลิขิตไว้แล้วว่านางมิอาจเป็กษัตรีย์ผู้มั่นคงในรัก
ชีวิตนี้ท่านแม่รักท่านพ่อเพียงคนเดียว ทว่าฮองเฮากลับมีบุรุษรู้ใจหลายคน
มีคุณชายอายุน้อยบางคนอยู่ในวังหลัง และลือกันว่ายังมีบุรุษรูปงามชื่อเสียงเลื่องลืออยู่นอกวังด้วย
แต่ไม่ว่าฮองเฮาจะมีบุรุษรู้ใจกี่คน แน่นอนว่าโอรสทุกคนล้วนเป็บุตรของพระองค์เองเสมอ ดังนั้นพระองค์จึงปฏิบัติต่อบุตรชายของตนอย่างเท่าเทียม
ทว่ากลับยกเว้นอยู่คนหนึ่ง นั่นคือองค์ชายห้าเหลียงอิน
ไม่รู้เหตุใดองค์ชายคนเล็กสุดถึงไม่เป็ที่ชื่นชอบของฮองเฮานัก เขาเพิ่งประสูติได้ไม่นานก็ถูกพาไปอยู่ที่พระราชวังพักร้อนในเขตชานเมือง และนับแต่นั้นก็ไม่เคยกลับมาเมืองเซียงเฉิงเลย จนฮองเฮายังดูเหมือนจะลืมเลือนโอรสผู้นี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
จนกระทั่งวันนี้
เยี่ยนเจาเจาไม่รู้ว่านี่เป็แผนของเหลียงอินหรือไม่ ทว่าสุดท้ายเขาก็ได้กลับเมืองเซียงเฉิง และได้กลับวังหลวงสมดังปรารถนา
แม้ว่าสถานะของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่หากมิใช่เพราะเยี่ยนเจาเจาที่มาป้อนอาหารปลาตรงสระมหานทีเช่นวันนี้ ได้บังเอิญพบเหลียงอินที่ถูกตำหนิและโดนลงโทษคุกเข่า จนนางออกหน้าช่วยเหลือเขาอย่างโง่งมเข้า ก็เกรงว่าเหลียงอินอาจเป็เพียงคนไร้ตัวตนในวังหลวงไปทั้งชาติ
ทันใดนั้นเยี่ยนเจาเจาก็พลันนึกได้ เหลียงอินในชาติก่อนที่อายุยังไม่เต็มสิบเอ็ดปีคนนี้ เริ่มวางอุบายหลอกนางั้แ่เหตุการณ์นั้นแล้วใช่หรือไม่
เขาคงคำนวณไว้เรียบร้อยว่าตนจะเดินไปดูด้วยความสงสัย จึงพบเด็กหนุ่มน่าสงสารที่โดนทรมานจนหมดสภาพ พอทราบอดีตอันน่าเวทนาของเขาก็จะไปร้องขอความยุติธรรมจากท่านป้าด้วยความโมโห
นางย่อมขอความยุติธรรมมาให้เขาได้ และเหลียงอินก็ก้าวสู่ความสำเร็จขั้นแรก
เยี่ยนเจาเจาถือแก้วชาไว้ในมือ แต่ความรู้สึกนึกคิดเตลิดไปไกลโพ้น
เหลียงอินในยามนี้ยังเด็กมาก ชีวิตความเป็อยู่ในพระราชวังพักร้อนของเขาก็ไม่สู้ดีนัก เด็กหนุ่มอายุสิบเอ็ดปีจึงดูตัวเตี้ยกว่าเยี่ยนเจาเจาด้วยซ้ำ
เหลียงอินตอนเล็กหน้าตาเป็อย่างไรนะ...นางเพิ่งคิดเช่นนี้ก็ได้ยินเสียงตำหนิแ่เบาแว่วมา “องค์ชายห้า ทางนี้! อย่าได้ล่วงเกิน...”
ไม่ต่างจากชาติก่อนเลยจริงๆ
เพียงแต่ชาตินี้ข้างกายเยี่ยนเจาเจามีหนานิเหอและเยี่ยนฟางหวาเพิ่มขึ้นมา
ั์ตาแบ่งแยกดีชั่วชัดเจนของเยี่ยนเจาเจาพลันฉายแววบางอย่าง ในที่สุดคนที่นางเกลียดสุดหัวใจก็มาปรากฏตัวในชีวิตนางอีกครั้ง
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ นางจึงหันไปมองเยี่ยนฟางหวาที่แสดงออกชัดเจนว่าได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน อีกทั้งนางยังทันเห็นว่าเยี่ยนฟางหวาเพิ่งปกปิดใบหน้าที่ราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างลงไปด้วย รอยยิ้มในดวงตาของเยี่ยนเจาเจาจึงลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม
ชาติก่อนเหลียงอินไม่ได้พบกับเยี่ยนฟางหวาตอนนี้ แต่ชาตินี้พวกเขาพบกันเร็วขึ้นหลายปี ไม่รู้ว่าพวกเขาจะ “รักกันหนักแน่น” ดังที่คนภพก่อนสรรเสริญว่าเหมือน “ฉินเซ่อบรรเลงประสาน[3]” ได้หรือไม่?
หนานิเหอััอารมณ์ที่แปรปรวนชั่วขณะหนึ่งของเยี่ยนเจาเจาได้ สายตาเขาจึงเหลือบมองไปยังที่ที่เสียงลอยมาเมื่อครู่ ก่อนจะหลุบตาลง
ทว่าเยี่ยนเจาเจาไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของหนานิเหอ นางมองเพียงจานขนมอบใสแวววาวใบเล็กบนโต๊ะของตนเอง
นางรู้ว่ายามนี้ในใจเยี่ยนฟางหวามีแต่ “องค์ชายห้า” ที่เพิ่งได้ยิน ต้องรู้ก่อนว่าชาวเมืองเซียงเฉิงในปัจจุบันยังไม่ทราบถึงการมีตัวตนขององค์ชายห้าผู้นี้ เยี่ยนฟางหวาจึงกระตือรือร้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ซวงฝู นั่นใครหรือเ้าคะ?”
เยี่ยนเจาเจาแสร้งถามออกไป
ซวงฝูย่อมทราบ แต่หลังจากเขาทวนคำพูดรอบหนึ่งก็กลับเอ่ยเพียงว่า “อาจเป็นางกำนัลสักคนเดินผิดทางขอรับ”
คาดไม่ถึงว่าท่าทีเหมือนพยายามปกปิดของซวงฝูจะไปกระตุ้นความสนใจของเยี่ยนฟางหวาเข้า นางเหลือบมองเยี่ยนเจาเจาที่ทำทีไม่แยแส ขณะที่ในใจพลันปรากฏแผนการบางอย่างขึ้นมา
“น้องหญิง เ้าว่าดอกไม้ตรงนั้นงามหรือไม่?”
เชิงอรรถ
[1] ซื่อจื่อ หมายถึง บุตรชายผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์พระราชทานจากบิดา
[2] สวนอวี้ฮวาหยวน หมายถึง ชื่อสวนในพระราชวังต้องห้ามที่ฮ่องเต้และนางสนมใช้เป็สถานที่เที่ยวเล่นและพักผ่อนหย่อนใจ
[3] ฉินเซ่อบรรเลงประสาน หมายถึง การบรรเลงเพลงร่วมกันของพิณสองชนิด เปรียบเปรยถึงคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกัน