จนกระทั่งพวกเฟิ่งอวี่เดินไป ท่าทางของอวิ๋นซูทำให้เฟิ่งหลิงใจเต้น “คุณหนูหกคิดอะไรได้หรือ”
ไม่คิดว่าเขาจะช่างสังเกตเช่นนี้ ทั้งที่ตนเองก็ไม่ได้แสดงความแปลกประหลาดอะไรออกไปมาก “คุณชายสาม ข้าคิดว่าพี่รองไม่ได้ใช้เส้นทางที่ข้าไปเก็บสมุนไพรในยามปกติ”
เกิดความประหลาดใจในดวงตาของเฟิ่งหลิง เขารู้ว่าอวิ๋นซูย่อมไม่กล่าวแสดงความเห็นออกมามั่ว “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปหาที่ถนนอีกเส้นหนึ่ง”
ที่นี่มีเส้นทางที่สามารถเขาไปในป่าได้หลายเส้นทาง แต่อย่างไรก็ต้องหาคุณหนูเจ็ดกลับมาก่อนฟ้ามืดให้ได้
“คุณชายสาม ข้าไปกับท่านด้วย”
อวิ๋นซูเดินตรงไปข้างหน้า เฟิ่งหลิงรู้สึกราวกับว่านางมีวิธีการในใจอยู่แล้วจึงไม่ได้กล่าวถามอะไรให้มากความ เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านแทบจะเป็ทางตรง จำนวนทางแยกที่เดินผ่านนั้นถือว่าน้อย ตลอดทางจึงราบรื่นมาก
เดิมทีอวิ๋นซูคิดว่าบุรุษที่ตามมาข้างหลังจะเปิดปากถามอะไรบ้าง ไม่คิดว่าเขาจะไว้ใจนางเช่นนี้
“บนกายของคุณหนูเจ็ดทาเครื่องหอมไปมาก ทางที่เดินผ่านจะต้องมีกลิ่นทิ้งไว้แน่”
ดังนั้นนางจึงสูดดมอะไรมาตลอด ที่แท้ก็หาคนตามกลิ่นนี่เอง เพียงแต่ตนกลับไม่ได้กลิ่นอะไรเลยสักนิด
คุณหนูเฟิ่งหลิงในตอนนี้กำลังเกาะกิ่งไม้กิ่งหนึ่งแน่น ใต้ต้นไม้มีหมาในสามตัวเดินวนเวียนไปมาไม่ยอมจากไป ราวกับตัดสินใจแล้วว่านางเป็เหยื่อ
บนขาเล็กๆ มีเืไหล เจ็บจนน้ำตานองหน้า ท้องฟ้าค่อยมืดลงแล้ว เฟิ่งหลิงก็ยิ่งหวาดกลัว ไม่รู้ว่าหมาในนี่จะดึงดูดสัตว์ป่าตัวอื่นมาหรือไม่
“กรร...กรร...”
กลิ่นคาวเืยิ่งทำให้หมาในทั้งสามทวีความบ้าคลั่ง พวกมันพยายามตะกุยขึ้นไปบนต้นไม้ เฟิ่งหลิงหลับตาแน่นไม่กล้ามองอีก มือทั้งสองก็ชาไปหมดแล้ว ราวกับจะสูญเสียความรู้สึกไปได้ตลอดเวลา
สายลมราวกับมีเสียงของสัตว์ป่าดังแว่วอยู่ นางกลัวจนตัวสั่นระริก “พี่สาม...พี่ซู...พี่สี่...ฮือๆ ...”
“หลิงเอ๋อร์”
“คุณหนูเจ็ด”
เสียงเลือนรางดังแว่วมา เฟิ่งหลิงคิดว่าตนเองใกล้ตายจึงเกิดอาการหูแว่ว แขนทั้งสองของนางเริ่มหมดแรงแล้ว ร่างกายก็เริ่มลื่นลงไปด้านล่าง
ยามนี้ในสมองของนางปรากฏภาพตนเองกำลังออดอ้อนอยู่ข้างกายเหล่าพี่ชายพี่สาว เริ่มนึกเสียใจขึ้นมา ตนเองไม่ควรทำตามอำเภอใจเช่นนั้นเลย แต่ว่า นางคงไม่ได้เจอพวกเขาอีกแล้ว
จู่ๆ หมาในตัวหนึ่งก็ะโขึ้นกัดชายกระโปรงของเฟิ่งหลิง แรงปะทะเช่นนั้นราวกับเป็ฟางเส้นสุดท้าย ทำลายความยืนหยัดของเฟิ่งหลิงขาดสะบั้น
มือเล็กๆ ของนางคลายออก นางรู้สึกว่าตนเองปลิวไปทั้งร่าง แต่พริบตาถัดมา ร่างกายกลับตกเข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น
“ฮือๆๆ”
อวิ๋นซูหยิบก้อนหินขึ้นมาปาไปโดนหมาในตัวหนึ่งอย่างแม่นยำ เฟิ่งหลิงเตะอีกตัวหนึ่งจนพลิกคว่ำลงกับพื้น อีกตัวที่เหลือจึงหางตก วิ่งหนีไปอย่างไม่เต็มใจ
“หลิงเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์” เขาตบใบหน้าเล็กๆ ในอ้อมกอด เฟิ่งหลิงพบว่าิัของนางร้อนยิ่งนัก
“นางตัวร้อนแล้ว พวกเรารีบกลับไปเถิด แผลต้องรักษาเสียหน่อย” ถูกหมาในกัดจนเป็แผลจะติดเชื้อได้ง่าย อวิ๋นซูใช้ผงยาที่นำติดตัวมาเทลงไปเล็กน้อย เฟิ่งหลิงพยักหน้า กอดสตรีตัวน้อยในอ้อมอกที่ไม่รู้สึกตัวเลยโดยสิ้นเชิง
ในป่าอีกด้านหนึ่ง
“คุณหนูเจ็ด...”
“หลิงเอ๋อร์...”
เสียงของทุกคนดังก้องอยู่ในป่า แต่หาทุกที่แล้ว ไม่ว่าจะคนหรือหมาในก็ล้วนไม่พบ
“อวิ๋นฮว๋า คุณหนูเจ็ดเรียกให้ลูกพานางเข้าไปในป่าจริงหรือ”
เหลยซื่อสังเกตเห็นว่าคุณหนูเจ็ดดูเหมือนจะไม่พอใจบุตรีของตนยิ่งนัก เหตุใดจึงมาชวนด้วยตัวเองได้เล่า
ตอนนี้หลิ่วอวิ๋นฮว๋าบรรจงใช้ยาทาลงไปที่แผลบนฝ่ามือของตน “จริงแน่นอนเ้าค่ะ หรือคิดว่าลูกโกหก”
“ฮึ ชางติ้งโหวช่างตามใจบุตรีจนเสียคน ยังดีที่เ้าปลอดภัยกลับมา” ตอนนี้ภายในห้องมีเพียงสองแม่ลูก ดังนั้นเหลยซื่อจึงพูดจาไม่น่าฟังนัก
มุมปากของหลิ่วอวิ๋นฮว๋ายกโค้ง คราวนี้นางสบายใจจริงแล้ว แม้ว่าเดิมทีนางจะ้าให้เด็กคนนั้นตาย แต่ว่าหากมีกรณีเช่นนี้จริงๆ ก็เป็เพราะเด็กนั่นก็ดวงไม่ดีเอง
“ท่านแม่ ข้าต้องไปดูแลองค์รัชทายาทแล้วเ้าค่ะ”
นางลุกขึ้นยืน มุมปากแย้มยิ้มอย่างไม่ปกปิด เหลยซื่อมองเงาร่างที่เดินจากไป อารมณ์บนใบหน้าเยือกเย็นลง
นางจะไม่เข้าใจบุตรีของตนเชียวหรือ จะต้องมีอะไรปิดบังตนเองอยู่แน่นอน แต่ก็ช่างเถิด หากเป็เช่นนี้จริง เหลยซื้อกลับจะยินดี หากบุตรีนางเรียนรู้ที่จะโกหก แสดงว่านางเริ่มเติบโตเป็ผู้ใหญ่ขึ้นมาแล้ว คงไม่ต้องให้ตนเองเป็ห่วงอีก
ทว่าไม่นาน กลับมีเสียงกรีดร้องของหลิวอวิ๋นฮว๋าดังขึ้น “อา...ท่านแม่เ้าคะ ท่านแม่ ฝ่าาไม่อยู่แล้ว องค์รัชทายาทไม่อยู่แล้ว”
“อะไรนะ เ้าพูดอะไร”
สองแม่ลูกรีบไปที่ห้องของรัชทายาท พบว่าคนบนเตียงหายไปแล้ว “รัชทายาทจะไปที่ไหนได้ เหตุใด...” พวกเขาเดินออกไปครู่เดียว พระองค์ก็หายไปแล้ว
แท้จริงแล้วตงฟางซวี่เป็ห่วงเฟิงหลิง ไม่อยากอยู่ในห้องคนเดียวจึงออกไปตามหา
นานขนาดนี้พวกเขายังไม่กลับมา เห็นได้ชัดว่าหาคนไม่พบ ดังนั้นเขาจึงไปหาอีกทางหนึ่ง ไม่แน่ว่าคุณหนูเจ็ดอาจเข้าไปที่สนามล่าสัตว์ก็เป็ได้ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะพยายามสุดความสามารถ
ทว่าบริเวณปากทางเข้าสนามล่าสัตว์ บุรุษที่แขนได้รับาเ็กลับได้ยินเสียงฝีเท้าอันร้อนรนแว่วมา
“หลิงเอ๋อร์ ฟื้นสิ”
เสียงอันไม่คุ้นเคยนี้ทำให้เขายืนมองอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เห็นเงาร่างทั้งสองวิ่งออกมาจากหมู่ไม้ด้านข้าง แสงจันทร์สาดส่องมายังผืนป่า กระทบลงบนหน้าของบุรุษผู้นั้น ตงฟางซวี่ดวงตาสว่างวาบ ต่อให้เป็เขาก็ถูกใบหน้าอันงดงามนี้ทำให้ตกตะลึง
ใบหน้าอันขาวซีดมิอาจปิดบังดวงหน้างดงามของคนผู้นั้นไว้ได้ ทั้งยังให้ความรู้สึกงดงามอ่อนโยนขึ้นอีกหลายส่วน อีกฝ่ายเบนสายตาขึ้นมองตนพอดี ั์ตาพลันฉายแววประหลาดใจอยู่หลายส่วน
“รัชทายาท”
เสียงอ่อนโยนของอวิ๋นซูดึงความสนใจตงฟางซวี่ เขามองไปข้างกายบุรุษรูปงามผู้นั้นมีสตรีงามหยาดเยิ้มยืนอยู่ มองไปครู่หนึ่งราวกับเห็นภาพมายาที่ลมพัดพามา พริบตาต่อมาก็ถูกดวงตาลึกล้ำเยียบเย็นของนางดึงดูด
สตรีผู้นี้ควรจะพบเขาเป็ครั้งแรก เหตุใดนางจึงได้รู้จักตน
“ฝ่าา ที่นี่อยู่นานไม่ได้”
เฟิ่งหลิงไม่ได้พูดอย่างอื่นให้มากความ ตงฟางซวี่เห็นดรุณีน้อยในอ้อมอกของเขาก็พลันเข้าใจ
เมื่อเร่งกลับจนมาถึงเรือนที่อวิ๋นซูพักอยู่ตอนนี้ นางก็หยิบกรรไกรขึ้นมาอย่างชำนาญ ตอนที่กำลังจะตัดแขนเสื้อของเฟิ่งหลิงก็พลันรู้สึกตัวว่ายังมีบุรุษอยู่ จึงพูดกับตงฟางซวี่ข้างกาย “รัชทายาท คุณชายสาม หลบออกไปก่อนได้หรือไม่เ้าคะ”
ทั้งสองชะงักพร้อมกัน แม้คุณหนูเฟิ่งหลิงจะยังเยาว์ แต่ก็ยังเป็สตรี
บรุษทั้งสองรีบถอยออกไป ในที่สุดตงฟางซวี่ก็ทราบว่า บุรุษรูปงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ข้างกายตนนี้ก็คือน้องสามที่เฟิ่งอวี่พูดถึง วันนี้ได้มาเห็นก็พบว่าที่บรรยายมาไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย กลับกัน ไม่ว่าจะใช้คำไหนก็มิอาจบรรยายความโดดเด่นของเขาได้
“อาการาเ็ของฝ่าายังไม่ดี เหตุใดจึงออกมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งหลิงนั่งลง ต่อหน้าผู้อื่น เขายังต้องแสดงท่าทางอ่อนแอ
“อาการาเ็ของข้าไม่สาหัสแล้ว ร่างกายของคุณชายสามเองก็ไม่สู้ดี กลับไปพักที่ห้องเสียหน่อยเถิด”
มองไปยังใบหน้างามอันขาวซีดนั้น ตนเองก็อดไม่ได้ที่จะใส่ใจเขาขึ้นมา
อีกฝ่ายยิ้มบางหันไปทางหน้าต่าง มองไปยังสตรีด้านในที่กำลังจัดการาแให้เฟิ่งหลิงอยู่
ตงฟางซวี่สังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง ภาพที่เขามองไปในห้องนั้น ทำให้ความเป็ไปได้อย่างหนึ่งลอยมากระทบจิตใจ
“หรือแม่นางผู้นี้จะเป็หมอที่อาศัยอยู่ที่วัดเทียนฝู” แต่กลับเป็สตรีผู้หนึ่ง
“นางคือคุณหนูหกจวนชางหรงโหวพ่ะย่ะค่ะ”
คุณหนูหก เหตุใดอวิ๋นเฟิงไม่เคยพูดถึงมาก่อน ตงฟางซวี่ขมวดคิ้วมองไปยังเงาร่างอันเลือนราง “ไม่รู้ว่าอาการาเ็ของคุณหนูเจ็ดร้ายแรงหรือไม่”
“มีนางอยู่ ก็ไม่ร้ายแรงแล้ว” กระทั่งาแสาหัสของรัชทายาทก็ยังรักษาได้ เฟิ่งหลิงเชื่อมั่นในความสามารถของอวิ๋นซู
ตงฟางซวี่มองยังบุรุษข้างกายอย่างประหลาดใจอยู่บ้างที่เขามั่นใจเช่นนี้ สายตาของอีกฝ่ายเจือความอ่อนโยน ยามนี้กำลังจดจ่ออยู่กับสถานการณ์ในห้องอย่างตั้งใจ
“ฝ่าา เหตุใดพระองค์จึงออกมาเพคะ ข้างนอกลมแรง แผลของพระองค์ยังไม่หายดีเลยนะเพคะ”
ในที่สุดเหลยซื่อสองแม่ลูกก็พบตงฟางซวี่ที่ยืนอยู่นอกเรือนของอวิ๋นซู ทว่าหลิ่วอวิ๋นฮว๋ากลับสังเกตเห็นถึงเฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างกายรัชทายาท
เพียงพริบตาเดียว นางพลันรู้สึกว่าโลกหล้าแข่งกันไร้สีสัน กระทั่งทำให้นางลืมหายใจ
ไม่ทราบว่าเป็เทพเซียนจาก์ลงมาจุติหรืออย่างไร ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อยดูเปล่งประกายจางๆ ราวม่านหมอก ผมสีหมึกปลิวไสวตามแรงลม ฝุ่นที่ปรากฏชัดบนชุดขาว ยิ่งทำให้ผู้คนไม่กล้ามองนาน ด้วยเกรงว่าจะรบกวนภาพอันงดงาม
ชั่วขณะหนึ่ง หลิ่วอวิ๋นฮว๋ายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเหม่อลอย กระทั่งเหลยซื่อเรียกนางก็ไม่ได้ยิน
“หาคุณหนูเจ็ดเจอแล้ว”
อะไรนะ คำพูดของตงฟางซวี่เรียกสติของหลิ่วอวิ๋นฮว๋ากลับมา นางมองไปยังประตูที่ปิดแน่น มีเพียงแสงเทียนลอดผ่านช่องหน้าต่างออกมา ในใจพลันส่งเสียงตึกตัก รัชทายาทเจอกับหลิ่วอวิ๋นซูแล้ว
เหลยซื่อกัดฟัน นางรู้สึกยากจะอธิบายอารมณ์ของตน ณ ตอนนี้ เหตุใดทุกครั้งทุกครา ล้วนเป็นังเด็กนั่นที่ะโออกมาทำลายเื่ดีๆ ของพวกนาง
รัชทายาทสั่งให้พระในวัดไปตามพวกเฟิ่งอวี่กลับมาแล้ว ไม่ทันไร ในเรือนของอวิ๋นซูก็มีคนอยู่แน่นไปหมด
เสียงเปิดประตูดังขึ้น เมื่อสตรีงดงามสุกใสผู้นั้นเปิดทางให้ บุรุษหลายคนพลันหลั่งไหลกันเข้าไป
“หลิงเอ๋อร์”
“พี่ใหญ่...พี่สาม...พี่สี่...ฮือ...” เสียงร้องไห้ดังะเืฟ้าทำให้พวกเขาวางใจ ยังดี มีชีวิตชีวาเช่นนี้เชื่อว่าคงไม่เป็อะไรมาก
“เ้าเด็กคนนี้นี่ ยังกล้าไปหากระต่ายน้อยอะไรอีกไหม”
“มะ ไม่กล้าแล้ว”
บางทีอาจเป็เพราะความเ็ป เฟิ่งหลิงในยามนี้จึงมีเพียงความใหลังเจอเหตุการณ์ร้ายแรง กระทั่งไม่กล้านึกย้อนกลับไปว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำเพียงกอดเฟิ่งฉีแล้วร้องไห้ะเืฟ้าะเืดิน
“คุณหนูหก ขอบคุณมาก”
เฟิ่งอวี่หันมา คารวะอวิ๋นซูอย่างมากมารยาทคราหนึ่ง สตรีงดงามสุกใสผู้นั้นตกตะลึง รีบหยุดเขาเอาไว้ “คุณชายใหญ่อย่าได้มากพิธีไป คุณหนูเจ็ดเป็คนดี์คุ้มครอง อวิ๋นซูเป็เพียงคนกระทำเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แผลถลอกในครั้งนี้ไม่ง่ายดายเช่นนั้น ดังนั้น...” นางมองไปยังดรุณีน้อยบนเตียงด้วยรอยยิ้ม “แผลจะต้องเจ็บแน่ๆ”
“คิก...” เฟิ่งหลิงพลันหยุดร้องและหัวเราะออกมา พริบตาเดียวบรรยากาศในห้องก็อบอุ่นขึ้นไม่น้อย
“คุณหนูหกมีวิชาแพทย์เช่นนี้ ไม่ทราบว่าอาจารย์อยู่ที่ใด” ยามนี้ คำพูดของตงฟางซวี่ทำให้ทุกคนพลันตกลงสู่ความเงียบ
หลิ่วอวิ๋นเฟิงรู้สึกว่าเื่นี้มิอาจปิดบังต่อไปได้ จึงรีบคุกเข่าลง “ฝ่าา กระหม่อมมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ”