“แข็งแรงอยู่ดีทีเดียว ท่านแม่ น้องชายข้าส่งจดหมายกลับมาบ้าน”
จางกุ้ยฮัวคิดมาแล้วว่าจะบอกเื่นี้ก่อน แล้วตามด้วยเื่ย้ายบ้าน
ดวงตาของเฉินซื่อเปลี่ยนเป็แดงก่ำทันที น้ำตาไหลอาบแก้ม เอ่ยถามจางกุ้ยฮัวด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างระมัดระวัง “เ้าอย่าโกหกให้แม่ดีใจนะ”
เพราะนางเชื่อไปแล้วจริงๆ
หลิวเต้าเซียงไม่อยากเห็นยายผู้แสนดีโศกเศร้าร่ำไห้ จึงรีบเอ่ย “ท่านยาย ได้โปรดอย่าร้องเลย ท่านแม่พูดจริง คือว่า เฮ้อ ต่อไปท่านอาจจะต้องกังวลใจเสียแล้ว เพราะน้าข้ายังไม่มีสะใภ้ แล้วก็ยังไม่มีหลานให้ท่านได้อุ้ม”
เฉินซื่อทั้งหัวเราะและร้องไห้ นางเอื้อมมือไปกอดหลิวเต้าเซียงไว้แน่น “เด็กโง่ ยายกำลังดีใจต่างหาก”
จะไม่มีความสุขได้หรือ เมื่อได้ยินข่าวของคนที่รู้กันไปทั่วว่าได้เสียชีวิตแล้ว
นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ
แค่ยังมีชีวิตอยู่ก็ดีแล้ว ถึงไม่มีสะใภ้ ไม่มีหลาน แต่ต่อไปก็มีเอง
“อื้อ ท่านยายควรดีใจ” หลิวเต้าเซียงเห็นว่านางอารมณ์ดีขึ้นแล้ว จึงเอ่ยต่อ “แล้วก็ยังมีข่าวดีอีกหนึ่งเื่ที่จะบอกท่านยายด้วย”
เฉินซื่อประหลาดใจมากและเหลือบมองนาง “ยังมีข่าวดีอีกหรือ?”
วันนี้เป็วันฤกษ์มงคลหรือ?
จางกุ้ยฮัวสับผักไปแล้วเอ่ย “ท่านแม่ เป็ข่าวดี พวกเราย้ายบ้านแล้ว ย้ายมาอยู่ตรงข้ามแม่น้ำ บ้านหลังที่ปู่ย่าของหลิวซานกุ้ยเคยอาศัยอยู่”
เนื่องจากปีนี้ที่บ้านค่อนข้างยุ่ง นอกจากตรุษจีนที่ได้กลับมาเยี่ยมเฉินซื่อแล้ว จางกุ้ยฮัวก็ไม่มีเวลามาอีกเลย
“จริงหรือ? แม่สามีที่ชั่วร้ายของเ้ายอมด้วยหรือ?”
แม้ว่าเฉินซื่อจะไม่ได้ออกไปข้างนอก แต่หลายปีที่ผ่านมาบุตรสาวก็กลับมาเยี่ยมบ้านน้อยครั้งมากเพราะถูกหลิวฉีซื่อกดขี่อย่างร้ายกาจ จึงได้แต่ไหว้วานให้คนในหมู่บ้านสามสิบลี้ส่งข่าวคราวไปบอกเฉินซื่อว่าสบายดี นี่คือสิ่งที่นางทำได้
อย่างไรก็ตาม เฉินซื่อยังคงได้ยินเื่ที่หลิวฉีซื่อด่าว่าบุตรสาวของตน นางเป็แม่หม้ายที่ไร้ซึ่งกำลัง ทำได้เพียงมองดูบุตรสาวถูกรังแกทั้งอย่างนั้น
จางกุ้ยฮัวตอบอย่างสบายใจว่า “จะไม่ยอมได้อย่างไร ลูกชายข้างบนสองคนของนางเกิดอยากแยกครอบครัว คนหนึ่งอยู่ในจังหวัด ส่วนอีกคนก็เป็เหรัญญิกอยู่ในตำบล”
“พวกเ้าทำไร่ทำนาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เงินที่ได้มาก็เป็ของแม่ผู้ชั่วร้าย พี่ใหญ่กับพี่รองเ้าได้เงินมาแล้วได้ให้แม่สามีเ้าด้วยหรือไม่? หากว่าแยกบ้าน พวกเ้าก็ควรได้รับที่นาดีหลายไร่”
คําถามของเฉินซื่อตรงเข้าประเด็น
จางกุ้ยฮัวยิ้มอย่างขมขื่น “ใน่หลายปีที่ผ่านมา อย่าว่าแต่พวกเขาเอาเงินให้แม่สามีเลย ทุกครั้งที่กลับมาบ้าน่ปีใหม่ก็มักจะขนของกลับไปมากมายด้วยซ้ำ”
“ช่างเถิด แม่สามีของเ้าลำเอียงยิ่งนัก ตอนนี้พวกเ้าย้ายออกมาก็ใช้ชีวิตให้ดี แม่เลี้ยงไก่หลายปีนี้ก็แลกเงินได้ไม่น้อย ข้าจะเอาให้เ้าไปใช้ก่อน ถึงอย่างไรน้องชายเ้าก็ยังไม่ได้แต่งงาน แม่เองก็ไม่ได้ใช้อะไรมากนัก ในบ้านยังพอมีเสบียงอยู่บ้าง ปีหน้าจะเลี้ยงหมูสักสองตัวเพื่อแลกเงิน จะได้ให้น้องชายเ้าสู่ขอสะใภ้ดีๆ สักคน”
คําพูดของเฉินซื่อได้เตือนความจำจางกุ้ยฮัว
“ดูความจำข้าสิ พอพูดถึงเื่เหล่านี้ก็ลืมเื่สำคัญที่สุดเสียได้”
นางกำลังจะลุกขึ้น หลิวเต้าเซียงที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ไม่ต้องดูแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ท่านคุยกับท่านยาย ข้าก็ไปสำรวจรอบบ้านทั้งด้านหน้าด้านหลัง” นางเดินสำรวจเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมาแอบฟัง
จางกุ้ยฮัวเอื้อมมือออกไปจิ้มหน้าผากนาง แล้วตำหนิอย่างรักใคร่หวงแหน “เ้าหลักแหลมจริงๆ”
จากนั้นหันไปพูดกับเฉินซื่อเสียงเบา “ท่านแม่ น้องชายข้าแนบกระดาษเงินมาในจดหมายด้วย เขาให้ข้าหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อเป็สินเ้าสาว และเตรียมไว้ให้ท่านแม่อีกห้าสิบตำลึง”
“การเอาเงินให้เ้าเป็สินเ้าสาว เป็สิ่งที่เขาควรทำ หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะแม่เห็นแก่ตัว แล้วจะทำร้ายเ้าแบบนี้ได้อย่างไร...”
เมื่อเอ่ยถึงเื่นี้เฉินซื่อก็เสียใจมาก ทั้งสองคนต่างก็เป็เืเนื้อเชื้อไขทั้งคู่ แต่ท้ายที่สุดนางก็ลำเอียงเข้าข้างบุตรชายมากกว่า
ก่อนหน้านี้ที่จางกุ้ยฮัวไม่ได้กลับบ้านมารดา นางนึกว่าบุตรสาวคงเกลียดนางเสียแล้ว
“ท่านแม่ วางใจได้ เขาให้ข้า ข้าก็รับไว้ น้องชายกล่าวไว้ในจดหมายว่า ตอนนี้เขาได้ดีแล้วและทำกิจการอยู่ข้างนอก มีคนรับใช้ปรนนิบัติทุกเมื่อ เวลาออกจากบ้านก็มีเกวียนวัวให้นั่ง การกินแม้จะไม่ใช่อาหารชั้นเลิศ แต่ก็ไม่ได้แย่กว่าพวกคนรวยในตำบล แล้วก็ ท่านแม่ ห้าสิบตำลึงนี้ท่านต้องเก็บไว้ให้ดี”
เฉินซื่อโบกมือและพูดว่า “ข้าเป็เพียงแม่หม้ายจะเอาเงินเหล่านี้ไปทำอะไร? อีกอย่าง เสบียงปีนี้ก็คงไม่ได้ขาย เริ่มฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ไม่สิ ปีนี้ข้าจะไปถางที่ดินรกร้างแล้วปลูกมันเทศ ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้จะไปหาลูกหมูมาเลี้ยงสักสองตัวด้วย”
“ท่านแม่ ข้าจะรับเงินท่านไว้ได้อย่างไรกัน นี่คือเงินที่น้องชายให้ท่าน” จางกุ้ยฮัวไม่มีทางรับไว้
เฉินซื่อลูบหน้า ยิ้มแล้วเอ่ย “น้องเ้าได้ดีแล้ว เกรงว่าต่อไปคงไม่กลับมาที่หมู่บ้านห้าสิบลี้แล้ว”
“ท่านแม่ เหตุใดจึงเป็เช่นนั้น?” จางกุ้ยฮัวไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาจึงกล่าวแบบนี้
“หมู่บ้านห้าสิบลี้กันดารเกินไป ตอนนั้นท่านปู่เ้าหากไม่ใช่เพราะเงินที่มีอยู่ไม่พอใช้ แล้วจะมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านห้าสิบลี้ด้วยเหตุใด ข้าได้ยินพ่อของเ้าบอกอยู่บ่อยครั้งว่า เมื่อไรที่บ้านมีเงินก็จะย้ายไปอยู่สถานที่ที่ดีกว่านี้ให้ได้ สมัยอดีตกาลพ่อแม่ที่ดีย่อมหาสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อลูก เขาบอกว่าเพื่อพวกเ้าสองพี่น้อง ถึงอย่างไรก็ต้องหาเงินให้มาก แต่เสียดายนั่นกลับทำให้ร่างกายของเขาตรากตรำ จึงทิ้งพวกเราสามแม่ลูกไว้”
หลิวเต้าเซียงเคยได้ยินแม่ของนางเล่าให้ฟังว่าบรรพบุรุษของตระกูลจางนั้นเคยมีขุนนางบัณฑิต วิสัยทัศน์จึงแตกต่างจากคนทั่วไป
เพียงแต่ ช่างน่าเสียดาย ...
หากตาของนางไม่จากไปเร็ว บิดามารดาของนางคงมีชีวิตอีกแบบหนึ่ง
“ความหมายของท่านแม่คือ?” จางกุ้ยฮัวไม่ค่อยแน่ใจ
เฉินซื่อรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องปิดบัง จึงบอกกับนางอย่างตรงไปตรงมา “น้องชายเ้าต่อไปไม่มีทางกลับมาที่หมู่บ้านห้าสิบลี้แล้ว เ้าเองก็แต่งไปยังหมู่บ้านสามสิบลี้ ข้าอยู่ที่นี่เพียงลำพัง พวกเ้าสองคนยังต้องคอยเป็ห่วง สู้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก หรือไม่ก็ในตำบล หรือไม่ก็ตั้งรกรากที่หมู่บ้านสามสิบลี้ดีกว่า”
“ท่านแม่ หนี้ที่ท่านพ่อติดค้างไว้ก่อนเสียชีวิต...” จางกุ้ยฮัวในวัยเยาว์นั้นเคยมีชีวิตที่ดีมาก
พ่อของนางเปิดโรงเรียนเล็กๆ ในหมู่บ้าน รับสอนเด็กๆ ในละแวกนี้ ซึ่งมักจะได้รับข้าวสารและข้าวของจากบ้านเ้านายตอบแทน อย่างเช่นไก่หรือไข่ ตอนนั้นบ้านของนางยังมีที่นาดีหลายไร่ ในบ้านจึงมีเงินเก็บอยู่ตลอด แม้เป็เช่นนี้ บิดาของจางกุ้ยฮัวก็ยังเช่าที่นาอีกสิบไร่ ขณะที่รับสอนหนังสือเด็กก็ทำงานหนักไปด้วย
“หนี้ที่ค้างชําระในตอนนั้นได้ชําระคืนไปครึ่งหนึ่งหลังจากขายที่นาของครอบครัวเรา และข้าจ่ายส่วนที่เหลือเมื่อสามปีก่อน”
หลิวเต้าเซียงเพิ่งรู้ว่า เหตุใดเฉินซื่อดูแล้วแก่ชรากว่าหญิงหม้ายทั่วไปราวสิบปี เป็เพราะนางแบกรับภาระไว้บนบ่าไม่น้อย ลูกๆ ในบ้านก็ไม่อาจส่งเสริมได้
“ท่านแม่ เป็ความผิดของข้าเอง หากตอนนั้นข้าไม่ได้แต่งเข้าบ้านตระกูลหลิว คงกลับมาช่วยท่านแม่ได้บ้าง” จางกุ้ยฮัวนึกเสียใจริงๆ
เฉินซื่อปลอบโยนนาง “แม่รู้ว่าตระกูลหลิวไม่ใช่ที่ที่ดีนัก แต่ว่าแม่ก็มีหัวจิตหัวใจ แล้วจะไม่เอ็นดูสงสารเืเนื้อที่มาจากตนเองได้อย่างไร ตอนนั้นด้วยสภาพแวดล้อมของบ้านเรา นอกจากตระกูลหลิวแล้วก็ไม่มีใครกล้าสู่ขอเ้า แม่คิดว่า แม้ว่านางหญิงเฒ่าของตระกูลหลิวจะไม่ได้นิสัยดีนัก แต่ลูกข้ายังเด็ก ถึงอย่างไรก็คงอดทนกับแม่สามีคนนั้นได้ และคิดว่าในบ้านยากจนอย่างสุดแสน เ้าไปอยู่บ้านนั้นแม้จะลำบาก แต่ก็ได้กินอิ่ม อย่างไรก็ดีกว่าอดอยากไปพร้อมกับแม่”
เฉินซื่อสงสารลูกๆ จับจิต นางจึงตัดสินใจเลือกตระกูลหลิวทั้งที่รู้ว่าหลิวฉีซื่อคือคนร้ายกาจ เพียงเพื่อให้บุตรสาวตนเองได้มีชีวิตที่อยู่ดี นางจึงยอมกัดฟันตอบตกลงการหมั้นหมายครั้งนี้
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้โกรธแค้นท่าน เพียงแต่แม่สามีจับตาดูเข้มงวดเหลือเกิน และไม่อนุญาตให้ข้ากลับมา” จางกุ้ยฮัวคือคนหัวโบราณ ไม่กล้าขัดคำพูดของแม่สามี
เฉินซื่อยิ้ม “ตอนนี้ก็อดทนจนได้ดีแล้วไม่ใช่หรือ เ้ามีชีวิตอยู่ดีแม่ก็วางใจ เลิกพูดเื่นี้เถิด เ้าช่วยข้าคิดหน่อยว่า หากข้าไม่อยู่ที่หมู่บ้านห้าสิบลี้อีกต่อไปแล้วควรย้ายไปอยู่ที่ไหนดี มีเงินห้าสิบตำลึง ข้าคงสามารถซื้อที่นาและปล่อยเช่าออกไปบางส่วน แล้วก็เพาะปลูกบางส่วน ชีวิตก็คงพออยู่ไปได้”
“ท่านแม่ เงินที่ท่านเก็บสะสมมา ข้าไม่้าจากท่าน น้องชายให้ข้ามาหนึ่งร้อยตำลึง เพียงพอสำหรับข้าแล้ว”
จางกุ้ยฮัวบอกกล่าวแผนการของตนเอง แต่ไม่ได้บอกว่านี่เป็ความคิดของหลิวเต้าเซียง นางไม่้าให้คนรู้ว่าบุตรสาวตนเองนั้นหลักแหลม และรู้สึกว่าบุตรสาวยังเล็กนัก นางอยากเลี้ยงดูพวกนางทั้งสองไปอีกหลายปี ไม่้าให้คนที่มีใจรู้เข้า และมาพูดคุยสู่ขอแต่เนิ่น
มีใจก็เท่ากับไร้ใจ จางกุ้ยฮัวไม่คิดว่าตนเองเป็คนที่หูตาไวมากพอ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจปกปิดเื่นี้ไว้ หากไม่มีคนเอ่ยถึง แม้ว่าต่อไปครอบครัวจะมั่งมี แต่คนภายนอกก็จะคิดว่าการที่ครอบครัวหลิวซานกุ้ยนั้นได้ดีเพราะสินเ้าสาวของนาง ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็มีตัวอย่างให้เห็น
“พอใช้จริงหรือ?” เฉินซื่อกังวลว่าจางกุ้ยฮัวจะไม่บอกความจริง
หลิวเต้าเซียงออดอ้อนอยู่ด้านข้าง “ท่านยาย ท่านแม่พูดความจริงนะ ปีที่แล้ว มีคุณชายท่านหนึ่งาเ็และพักรักษาตัวที่บ้าน บอกว่าข้าทำอาหารอร่อยถูกปาก จึงให้ข้ารับหน้าที่ทำอาหารให้เขา คุณชายสูงศักดิ์ตระกูลใหญ่ เขาไม่ลืมบุญคุณด้วย ทุกเทศกาลจึงส่งคนมามอบของขวัญ แม้ว่าจะเป็เศษเสี้ยวที่เล็ดลอดจากง่ามนิ้วของเขา ก็คงเพียงพอให้ครอบครัวเรากินได้ครึ่งปีแล้ว”
“ใช่ ท่านแม่ ผ้าที่ได้รับมาครั้งก่อน ก็ได้มาจากของขวัญที่คุณชายมอบให้ ในสายตาของเรานั่นคือผ้าชั้นดีเชียว แต่ในสายตาพวกเขาอาจจะไม่ถือว่ามีมูลค่าอะไร”
จางกุ้ยฮัวรู้สึกขอบคุณซูจื่อเยี่ยในใจ หากไม่ใช่เพราะอาการาเ็ของเขาและตกลงไปในบ้านเดิมของตระกูลหลิว ชีวิตครอบครัวของนางคงจะไม่ดีนัก
“พอจริงหรือ?!”
“มันเพียงพอจริงๆ ท่านแม่้าย้ายบ้านไม่ใช่หรือ? หรือไม่ ท่านแม่ก็ไปซื้อที่นาดีรอบตำบล ไม่ต้องทำอะไร ปล่อยเช่าให้ผู้อื่นก็พอ”
เหตุผลที่จางกุ้ยฮัวพูดแบบนี้ก็เพราะบุตรสาวคนรองมีบ้านในชื่อของตัวเอง ตอนนี้ก็ปล่อยเช่า หนึ่งปีได้เงินสิบห้าตำลึง หากเปรียบกับชาวบ้านทั่วไป นี่เพียงพอที่จะกินใช้ได้หลายปีทีเดียว
เฉินซื่อหวั่นไหวเล็กน้อย เพียงแต่หากซื้อที่ดินทั้งหมด แล้วนางจะไปอาศัยอยู่ที่ใด?
ปีที่แล้ว จางกุ้ยฮัวมักจะฟังบุตรสาวคนรองคำนวณบัญชี พอฟังมากเข้า เวลาทำอะไรก็เริ่มคำนวณบ้างแล้ว “ท่านแม่ ถึงอย่างไรต่อไปก็คงไม่กลับมาพักแล้ว สู้ขายบ้านพร้อมที่ดินที่นี่ไปเถิด ขายได้กี่ตำลึงก็ตามนั้น”
เฉินซื่อรู้สึกว่านางอาศัยอยู่ตามลําพังอยู่แล้ว จะพักที่ไหนก็เหมือนกัน แม้ว่าไปอาศัยที่ตำบล ต่อไปหากคิดถึงตาเฒ่าก็แค่กลับมาเยี่ยมและเผากระดาษกงเต๊กให้เขา
“หรือไม่ข้าก็ฟังเ้าดีกว่า หากขายที่นี่ไป เงินที่ข้าขายไก่ขายหมูที่เลี้ยงได้มาก็ยังไม่ได้ใช้อะไร เ้าเองก็รู้ว่า ข้าคนเดียวไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมากนัก เพียงแค่ซื้อเครื่องปรุงกับน้ำมันเล็กน้อย หลายปีมานี้ข้าจะเก็บได้สิบกว่าตำลึง บวกกับที่พวกเ้ากับหลานสาวตอบแทนให้ข้าตอนปีใหม่ ก็มีสิบสองตำลึงกว่า ไม่รู้ว่าในตำบลที่นาราคาเป็เช่นไรบ้าง”
-----
