เมื่อสลัดจางอี้เหวินให้พ้นไปได้ ฉินอวี่ก็หยิบชุดคลุมสีดำออกมาคลุมร่างกายไว้
แผนที่ของแดนขัดเกลาก็ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ ฉินอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากเดาไม่ผิดละก็ สถานที่ซึ่งพวกฉู่เยว่ฉานไปนั้น จะต้องเป็เขตต้องห้ามทางตอนเหนือของแดนขัดเกลา บนแผนที่ไม่ได้บ่งบอกชื่อเรียกของเขตต้องห้าม มีเพียงการเขียนตัวอักษรต้องห้ามเอาไว้เพียงคำเดียว
“โฮก โฮก!”
เสียงคำรามของอสูรร้ายดังขึ้นกึกก้อง คลื่นเสียงอันทรงพลังแยกเมฆดำบนท้องฟ้าออกไปทันที จนต้นไม้ที่อยู่โดยรอบต่างสั่นไหวอย่างรุนแรง
หลังจากออกมาจากม่านแสงพลังเวทขนาดใหญ่ ฉินอวี่ก็ััได้ถึงพลังปราณอันแข็งแกร่งที่อยู่โดยรอบ แต่หากมองจากพลังปราณนี้ น่าจะเป็อสูรร้ายในระดับสามขึ้นไป
ฉินอวี่ปิดกลั้นพลังปราณของตนเองไว้ และรีบมุ่งหน้าไปยังเขตต้องห้ามทางตอนเหนือ หากดูจากความเร็วของพวกฉู่เยว่ฉานแล้ว คาดว่าอีกไม่นานนักเขาน่าจะตามไปทันอย่างแน่นอน
ขณะที่ฉินอวี่กำลังมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็วนั้น มโนจิตของเขาก็ค่อยๆ ทำงาน หลังจากได้เลื่อนเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ย ฉินอวี่ก็มีมโนจิตติดตัวแล้ว และสามารถใช้งานได้ครอบคลุมรัศมีสิบลี้
“ศิษย์พี่คนไหนก็ได้ ช่วยข้าด้วย!”
ขณะที่ฉินอวี่กำลังรีบเร่งอย่างรวดเร็วอยู่นั้น เสียงขอความช่วยเหลือเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา ห่างออกไปด้านหน้าหนึ่งลี้ มีศิษย์หนุ่มคนหนึ่งกำลังเหยียบกระบี่บิน บินวนเวียนไปโดยรอบ โดยมีอสูรร้ายสองตัวกำลังไล่ตามอยู่ข้างหลังอย่างคลุ้มคลั่ง
“โง่สิ้นดี!” ฉินอวี่ก่นด่า ไม่รู้ว่ามีอสูรร้ายเช่นนี้อยู่มากเท่าไรในแดนขัดเกลา แต่ยังกล้าที่จะเดินทางเข้ามาด้วยกระบี่ หรือบางทีอาจจะกลัวว่าอสูรร้ายอื่นๆ จะไม่สังเกตเห็นเ้าหรือ?
ฉินอวี่ก็ไม่คิดมากเช่นกัน เมื่อเข้ามาในแดนขัดเกลาย่อมมีโอกาสที่จะพบอสูรร้ายระดับสี่ได้ทุกเมื่อ เขาจึงไม่มีจิตใจที่จะไปสนใจความปลอดภัย ทันใดนั้น ฉินอวี่ก็มุ่งหน้าไปยังตอนเหนืออย่างรวดเร็วด้วยกำลังทั้งหมดของเขา
สามวันต่อมา
มโนจิตของฉินอวี่ััถึงเบาะแสของพวกฉู่เยว่ฉานทั้งเก้าคนได้แล้ว พวกเขากำลังถูกอสูรร้ายล้อมเอาไว้อยู่ในขณะนี้ ฉินอวี่ยังคงตรงไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าสู่เขตต้องห้าม ด้วยพละกำลังของพวกฉู่เยว่ฉาน สัตว์เหล่านี้ทำได้มากที่สุดก็แค่ถ่วงเวลาพวกเขาเท่านั้น ซึ่งหากติดตามหลังพวกเขาไป ก็เกรงว่าอาจเกิดความเข้าใจผิดได้
ก่อนหน้านี้เป็เพราะตามหลังพวกฉู่เยว่ฉานอยู่ ฉินอวี่จึงไม่ได้พบกับอสูรร้ายใดๆ เลย และเมื่อขึ้นนำพวกเขาขึ้นมาได้ ข้ามผ่านป่าไม้ จนกระทั่งเข้ามาถึงพื้นที่ที่ไหม้เกรียมดำสนิท ฉินอวี่ก็ััได้ถึงอสูรร้ายตัวหนึ่งที่อยู่ในระดับสูง นั่นคือสัตว์ิญญาชั้นสูงสุดของระดับสาม พยัคฆ์อัคคี
พยัคฆ์อัคคีมีความสูงราวหนึ่งจ้าง ทั่วทั้งตัวถูกปกคลุมด้วยขนสีแดงเพลิง สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจคือ ท่ามกลางขนสีแดงเพลิงนี้มีลวดลายสีดำที่มองดูเหมือนรอยแตกระแหงปะปนอยู่เล็กน้อย และพลังความร้อนที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งตัวของพยัคฆ์อัคคี ทำให้ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยไอน้ำ
“เป็พลังปราณที่แข็งแกร่งยิ่งนัก” ฉินอวี่แอบนึกอยู่ในใจ พลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งๆ ของตนเอง แม้พยัคฆ์อัคคีตัวนี้ยังไม่ใช้ความสามารถการคุมเพลิงของมัน แต่พลังปราณที่มีอยู่ทั่วร่างกลับเข้มข้นจนทำให้พื้นที่บริเวณนี้เกิดเป็ไอน้ำได้ นี่เป็สิ่งแสดงให้เห็นชัดว่ามันมีพลังปราณที่เข้มข้นเพียงใด
“หากข้าได้กลืนกินเืของพยัคฆ์อัคคี บางทีอาจช่วยปรับปรุงพลังปราณของข้าได้ไม่น้อย พยัคฆ์อัคคีตัวนี้มีพลังของอัคคี แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยให้เพลิงแอ่งธรณีมีความเข้มข้นมากขึ้นได้หรือไม่” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง ขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่สอง เืลมในร่างจะถูกหลอม จนเืลมทั่วทั้งร่างกลายเป็หยดเืหยดหนึ่ง ซึ่งหยดเืนี้จะกลายเป็ต้นแบบของโอสถโลหิต และในอนาคตโอสถนี้จะแตกไปเป็กุมารที่รวมตัวขึ้นมาเป็กุมารทิพย์
“โฮก!” ขณะที่ฉินอวี่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น พยัคฆ์อัคคีตัวนี้ก็ส่งเสียงคำรามดัง และเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงเพลิงที่ดูเหมือนจะลังเลคู่นั้นจ้องตรงมาทางฉินอวี่
เมื่อเข้าสู่ระดับสาม พยัคฆ์อัคคีตัวนี้ย่อมมีสติปัญญาแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้มันสงสัยก็คือ ชายชุดคลุมสีดำตรงหน้าของมันทำให้มันรู้สึกได้ถึงวิกฤติอันตรายที่อธิบายไม่ได้
ขณะที่พยัคฆ์อัคคีกำลังลังเลด้วยความสงสัย ฉินอวี่ก็เริ่มขยับ
หอกศึกถูกเรียกออกมา และถ่ายทอดอสุนีลึกลับและพลังปราณเข้าไปทันที หอกศึกเปล่งแสงสว่างไสว กลายเป็สายฟ้าสายหนึ่ง จากนั้นฉินอวี่จึงขว้างออกไปอย่างสุดกำลัง
ทันทีที่หอกศึกถูกขว้างออกไป ฉินอวี่ก็กระโจนเข้าใส่พยัคฆ์อัคคีราวกับเป็พยัคฆ์อัคคีอีกตัวหนึ่ง พร้อมเริ่มการโจมตี
“ครืน!” เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งฟ้า ดวงตาของพยัคฆ์อัคคีเต็มไปด้วยความหวาดกลัว โดยสัญชาตญาณไม่ว่าจะเป็สัตว์ิญญาหรืออสูรร้าย ล้วนมีความหวาดกลัวต่อเสียงฟ้าร้อง ความกลัวนี้ถ่ายทอดกันมาผ่านสายเื และหยั่งรากลึกอย่างมั่นคง
“โฮก!” พยัคฆ์อัคคีส่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง พร้อมพ่นเปลวไฟออกมา พยายามต้านทานสายฟ้าที่แปลงมาจากหอกศึก แต่สายฟ้ากับแทงทะลุเปลวเพลิงราวกับไม้ไผ่ที่ถูกผ่าเป็ซีก ตรงเข้าไปยังระหว่างคิ้วของพยัคฆ์อัคคี
“โฮก...” พยัคฆ์อัคคีส่งเสียงร้องคำรามดังกึกก้อง จากนั้นก็หันหลังวิ่งหนีไป โดยไม่สนใจรอยแผลขนาดใหญ่ที่กลางหน้าผาก ตอนนี้มันรู้แล้วว่าเหตุใดจึงรู้สึกได้ถึงความอันตรายจากบุคคลที่อยู่ตรงหน้ามัน และนี่เป็ครั้งแรกที่ได้พบกับบุคคลที่ควบคุมสายฟ้าได้เช่นนี้ นับั้แ่มันอยู่ในแดนขัดเกลามานานหลายปี ดังนั้นมันจึงเลือกที่จะถอยหนี
แต่ทันทีที่มันหันกลับไป ฉินอวี่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้ามันอีกครั้ง แก่นปราณพลุ่งพล่านออกมารอบด้าน เขาปล่อยหมัดขวาทะลวงขึ้นไปในอากาศ กระแทกเข้าใส่ด้ามจับของหอกศึกที่ปักอยู่กลางหน้าผากของอสูรร้าย
หมัดะเิฟ้า!
ฉินอวี่ชกออกไปห้าหมัดอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้พลังหมัดข้างขวาสูงกว่าข้างซ้ายถึงห้าเท่า และพลังหมัดข้างขวาของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกตนขั้นเทียนชุ่ยในชั้นสูงสุด
หอกศึกจมลงไปตรงกลางระหว่างคิ้วของพยัคฆ์อัคคี จนส่งเสียงกรีดร้องครั้งแล้วครั้งเล่า เปลวไฟในปากของมันพ่นตรงมาทางฉินอวี่ กรงเล็บขนาดใหญ่มีพลังที่พร้อมฉีกผืนฟ้าออกเป็เสี่ยง ตบเปลวไฟตรงเข้ามาทางศีรษะของฉินอวี่
ฉินอวี่ก้าวถอยหลังไปอย่างกะทันหัน ในขณะที่เขากำลังหลบการจู่โจมอันน่ากลัวของพยัคฆ์อัคคี ฉินอวี่ก็ะโขึ้นคว้าหอกศึก และพยายามบิดหอกศึกด้วยมือทั้งสอง บิดตัวออกแรงอย่างสุดกำลัง พยายามดึงหอกศึกออกจากหน้าผากของพยัคฆ์อัคคี
เืพุ่งกระฉูดออกมา พยัคฆ์อัคคีพ่นเปลวเพลิงออกมาทันที และไม่พยายามตอบโต้กลับ วิ่งกลับไปอย่างไม่คิดชีวิต เพียงแต่พยัคฆ์อัคคีได้สิ้นแรงลง หอกศึกที่ปักอยู่ก่อนหน้าได้แทงทะลุเข้าสู่จุดตันเถียนของมัน
“เป็การป้องกันที่แข็งแกร่งมาก!” ฉินอวี่มองไปยังหอกศึกเปื้อนเืด้วยความประหลาดใจ หากว่ากันตามหลักแล้ว การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็น่าจะสามารถสังหารพยัคฆ์อัคคีได้ แต่ดูเหมือนมันจะได้รับาเ็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงแสดงให้เห็นว่าพลังการป้องกันของพยัคฆ์อัคคีนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
เมื่อมองไปทางพยัคฆ์อัคคีที่อยู่ห่างออกไปร้อยจ้าง อสุนีลึกลับสายหนึ่งก็พุ่งเข้าไปยังหอกศึกอีกครั้ง เกิดเสียงฟ้าร้องฟ้าดังสนั่น หอกศึกสั่นสะท้าน นำร่างของพยัคฆ์อัคคีพุ่งขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง ก่อนจะตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง แต่แล้วพยัคฆ์อัคคีกลับยังไม่ยอมพ่ายแพ้ พยายามปีนลุกขึ้นและวิ่งไปทันที
ฉินอวี่ถ่ายเทแก่นพลังปราณเข้าไปยังขาทั้งสองข้าง ะโขึ้นไปในอากาศพุ่งตรงไปทางพยัคฆ์อัคคี เมื่อเขาขึ้นไปอยู่บนอากาศเหนือพยัคฆ์อัคคี ทั่วทั้งร่างของฉินอวี่ก็เต็มไปด้วยเปลวไฟอันมืดมัว พลังปราณทั่วทั้งร่างพลุ่งพล่าน และถูกรวมเข้าสู่เข่าข้างขวาของเขา ก่อนจะคุกเข่ากลางอากาศ แล้วกดลงมาจากอากาศพร้อมเปลวเพลิงอันมืดมัว
จี้เปลวอัคคี!
ฉินอวี่เคลื่อนตัวลงมาจากอากาศ ใช้หัวเข่ากระแทกเข้าใส่กะโหลกศีรษะของพยัคฆ์อัคคี ฉินอวี่แทบจะไม่ได้ยินเสียงกระดูกหักของพยัคฆ์อัคคีเลย ศีรษะและร่างอันใหญ่โตของพยัคฆ์อัคคีขาดออกจากกันทันที กระดูกร้าวจนแตกหัก เหลือเพียงหนังบางส่วนที่ยังคงเชื่อมต่อระหว่างศีรษะกับลำตัว
“เป็พลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!” ฉินอวี่ตกตะลึง นี่เป็ครั้งแรกที่เขาใช้จี้เปลวอัคคีในการป้องกันศัตรู เขาจึงนึกไม่ถึงเลยว่าจี้เปลวอัคคีจะมีพลังที่รุนแรงเพียงนี้
“แม้จะไม่เรียกใช้วิชาปีศาจคลั่งก็สามารถซ้อนทับพลังได้เช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว พลังของจี้เปลวอัคคีก็อาจจะแข็งแกร่งมากขึ้น!” ฉินอวี่พูดกับตนเอง ก่อนจะะโลงจากหัวของพยัคฆ์ร้ายตัวนั้น และใช้มือข้างขวาล้วงเข้าไปยังจุดระหว่างคิ้วของมัน เพื่อนำเม็ดยาอสูรออกมา จากนั้นจึงหยิบมีดสั้นและน้ำเต้าหยกออกมา และกรีดลงไปที่คอของพยัคฆ์อัคคี
ทันใดนั้น เืก็พุ่งออกมาทันที ฉินอวี่รีบนำน้ำเต้าไปอุดแผลเอาไว้ ปล่อยให้เืไหลลงสู่น้ำเต้าหยก
น้ำเต้าหยกชิ้นนี้ฉินอวี่เคยขอมาจากจื่อซวินเอ๋อ ภายในมีจักรวาลอันกว้างใหญ่ไม่ต่างจากวงแหวนมิติ แต่จะบรรจุได้เฉพาะของเหลว พื้นที่มีขนาดเท่าห้องทั่วไปห้องหนึ่ง แต่ก็เพียงพอสำหรับเืทั่วทั้งร่างของพยัคฆ์อัคคี
หลังจากเก็บเืเรียบร้อยแล้ว ฉินอวี่ก็รีบถลกแผ่นหนังทั่วทั้งตัวของพยัคฆ์อัคคีออกมา แม้ว่าจะเป็อสูริญญาระดับสาม แต่หนังเสือผืนนี้กลับแข็งแกร่ง จนสามารถใช้ทำเกราะอ่อนได้
หลังจากลอกหนังและเอ็นของพยัคฆ์อัคคีแล้ว ฉินอวี่ก็ยกน้ำเต้าหยกขึ้นมา และกลืนกินเืของพยัคฆ์ร้ายทันที
เมื่อเืเข้าไปในช่องท้อง ก็เปลี่ยนเป็เปลวไฟที่กำลังโหมกระหน่ำ พลังของเปลวไฟคุกรุ่นขึ้นทั่วร่างของฉินอวี่ แต่ขณะที่ฉินอวี่กำลังจะดูดซับพลังของอัคคีนั้น เพลิงแอ่งธรณีในจุดตัวเถียนก็ลอยออกมาทันทีอย่างไม่ตั้งใจ เคลื่อนปราณไปตามเส้นลมปราณในร่างกาย
“เป็เพลิงแอ่งธรณีที่ประหลาดจริงๆ” ฉินอวี่ประหลาดใจอย่างมาก เพลิงแอ่งธรณีนี้ดูเหมือนจะแห้งแล้งมานาน จึงเผาผลาญพลังอัคคีของพยัคฆ์อัคคีอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อเพลิงแอ่งธรณีกลืนกินพลังอัคคีของเืพยัคฆ์ร้ายจนหมด มันก็หยุดนิ่งอยู่ที่ช่องท้องของฉินอวี่ ราวกับกำลังรอคอยให้เขาเติมพลังอัคคี
“เพลิงแอ่งธรณีนี้มีจิติญญาด้วยหรือ?” ดวงตาทั้งสองของฉินอวี่เบิกกว้าง แม้ว่าเขาจะดื่มเืสัตว์อสูร และดูดซับพลังอัคคีเพื่อรวมเข้ากับเพลิงแอ่งธรณี แต่ในขณะที่เขายังไม่ทันเรียกเพลิงแอ่งธรณีออกจากจุดตันเถียน เพลิงแอ่งธรณีก็พุ่งออกมาด้วยตนเอง และเริ่มดูดซับพลังอัคคี สิ่งนี้ยิ่งทำให้ฉินอวี่เหลือเชื่อ จากประสบการณ์ของเขา มีเพียงเพลิง์และเพลิงที่ถือกำเนิดจากจิติญญาเท่านั้น จึงจะสามารถดูดซับพลังได้
เป็ไปได้หรือไม่ว่า... เพลิงแอ่งธรณีนี้จะมีจิติญญา? หรือมันอาจจะไม่ใช่เพลิงแอ่งธรณีั้แ่ต้น? แต่เป็เพลิง์?
เมื่อคิดทบทวนอย่างละเอียด ตอนนั้นผู้าุโเลี่ยเอ๋าก็เคยบอกกับเขา ว่าเพลิงแอ่งธรณีนี้มีความแปลกประหลาด ฉินอวี่พยายามครุ่นคิดอยู่นาน จึงคาดว่าเพลิงแอ่งธรณีที่ตนเองมีนั้นไม่น่าจะใช่เพลิง์ แต่คงถือกำเนิดขึ้นมาจากจิติญญา
“หวังผิงให้โชคก้อนใหญ่กับข้าแล้วจริงๆ” ฉินอวี่พึมพำกับตนเองด้วยความยินดี โดยทั่วไปแล้ว เพลิงของฟ้าดินจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และต้องใช้เวลานานกว่าจะมีจิติญญา แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีสิ่งวิเศษอยู่ในเพลิงแอ่งธรณีระดับต่ำเช่นนี้
“ในเมื่อเ้า้าพลังอัคคี เช่นนั้น ข้าก็จะคอยดูว่าเ้าจะดูดซับไปได้สักเท่าไร” ฉินอวี่พูดจบ เขาก็ดื่มเืที่ได้มาต่อไป
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องตกตะลึงอีกครั้งคือ เมื่อเขาดื่มเือสูรจนหมดแล้ว เพลิงแอ่งธรณีก็ยังคงอยู่ในช่องท้องของเขา เช่นเดียวกับทารกน้อยที่กำลังรอคอยอาหาร
“ได้ ข้าก็อยากจะรู้ว่าเ้าจะดูดซับพลังไปได้นานสักเท่าไร” ฉินอวี่กัดฟันแน่น เก็บน้ำเต้าหยกไว้ในวงแหวนมิติ ใช้มโนจิตส่องไปทั้งบริเวณ เพื่อเริ่มมองหาอสูริญญาที่เกี่ยวข้องกับอัคคี
ด้วยเหตุนี้ ตลอดเส้นทางที่ฉินอวี่มุ่งหน้าไปยังเขตต้องห้ามทางตอนเหนือ เขาจึงคอยตามหาอสูริญญาในที่เกี่ยวข้องกับอัคคี เพื่อรวบรวมเืไว้สำหรับการดูดซับของเพลิงแอ่งธรณี
