“โถ...รีบนั่งลงเถิด รีบนั่งลง” หยางเหล่าไท่ไท่กวักมือมาทางหลี่ลั่ว “ลั่วเกอเอ๋อร์มานี่มา ให้ท่านยายดูหน่อย ไม่ได้พบหน้ากันเพียงสามเดือน สูงขึ้นอีกแล้ว”
“ทุกวันกินจนอิ่มแปล้เลย ย่อมต้องสูงขึ้นสิขอรับ” หลี่ลั่วกล่าวยิ้มๆ แล้วหยิบของขวัญออกมา “ขอให้ท่านยายมีโชคมีลาภดังทะเลตงไห่[1]นะขอรับ”
“นี่ลั่วเกอเอ๋อร์ยังมีของขวัญให้ยายแก่อย่างข้าหรือนี่” หยางเหล่าไท่ไท่หัวเราะหึๆ รับของขวัญไป จากนั้นจึงเปิดออกดู “นี่...ของขวัญนี้มัน...”
สิ่งนั้นคือกำไลข้อมือซึ่งเป็สิ่งของพระราชทานจากจ้าวหนิงฮ่องเต้ แม้หยางเหล่าไท่ไท่จะมีสิ่งของล้ำค่าไม่มาก แต่กำไลข้อมือวงนี้แค่มองดูก็รู้แล้วว่าเป็ของดี
“นี่เป็สิ่งของที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่ลั่วเกอเอ๋อร์ ลั่วเกอเอ๋อร์เก็บซ่อนเอาไว้ตลอดมา บอกว่าจะมอบให้กับท่านยายเ้าค่ะ” หลี่หยางซื่อกล่าวยิ้มๆ “ท่านอย่าได้ปฏิเสธความกตัญญูของลั่วเกอเอ๋อร์เลยนะเ้าคะ”
“ไอโยว ลั่วเกอเอ๋อร์ของพวกเราช่างกตัญญูเสียจริง ยายขอบใจเ้าแล้ว” หยางเหล่าไท่ไท่สวมกำไลข้อมือ
“ท่านแม่สวมกำไลข้อมือวงนี้แล้วดูสูงส่งยิ่งเ้าค่ะ เป็กำไลข้อมือที่งดงามมาก” หยางฮูหยินพูด
“ใช่แล้ว กำไลข้อมือนี้เหมาะกับท่านย่ามากเ้าค่ะ” สะใภ้หยางกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค
คนในเรือนต่างพูดจาถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน คึกคักยิ่งนัก เวลานี้เองที่มีหญิงสาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากประตู หญิงสาวผู้นี้หน้าตางดงาม รูปร่างผอมบาง บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่สุภาพอ่อนโยน
เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา บรรยากาศคึกคักในห้องโถงใหญ่พลันเงียบสงบลงในทันใด
“เยียนเจี่ยเอ๋อร์มาแล้ว” สะใภ้หยางก้าวเข้าไป “มิใช่ว่าเ้าไม่สบายหรอกหรือไร? นี่ดีขึ้นแล้วหรือ?”
หยางเยียนเดินผ่านหน้าสะใภ้หยางมาถึงเบื้องหน้าหลี่หลิน “พี่หลินเ้าคะ ไปนั่งที่เรือนของข้ากันดีหรือไม่? พวกเราต่างเป็คนหัวอกเดียวกัน ย่อมมีคำพูดมากมายที่เราจะสนทนากันได้”
หลี่หลินลุกขึ้น “อืม ได้สิ” จากนั้นนางจึงหันไปค้อมกายคำนับหยางเหล่าไท่ไท่ “ท่านยาย เช่นนั้นข้าไปทางนั้นก่อนนะเ้าคะ”
หยางเหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้วครู่หนึ่ง “อืม ไปเถิด”
หลี่ลั่วเลิกคิ้ว รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ท่าทีที่หยางเหล่าไท่ไท่ขมวดคิ้วนั้นออกจะมีความแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย หลี่หลินไปนั่งที่เรือนของหยางเยียน เหตุไฉนนางจึงมีท่าทีเช่นนี้เล่า?
หลี่หลินและหยางเยียนออกจากเรือนของหยางเหล่าไท่ไท่ ทั้งสองคนต่างกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้ หลี่หลินไม่มีเพื่อนผู้หญิงที่สนิทชิดเชื้อ เพื่อนผู้หญิงที่สนิทด้วยในยามนี้มีเพียงหลี่จือกับิเจี๋ยเอ๋อร์ ส่วนหยางเยียนนั้นด้วยมีความผูกพันทางสายเื รู้จักกันั้แ่ยังเล็ก ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์อันดีด้วยมาโดยตลอด
ต่อมาหยางเยียนถูกราชบุตรเขยเฉินข่มเหง หลี่หลินเกิดเื่เพราะหยวนข่าย ทั้งสองคนต่างเป็ผู้รับเคราะห์เสียหาย ไม่ว่าใครพบใครย่อมทำให้นึกถึงเื่น่าเศร้าที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่ได้พบหน้ากันตลอดจนกระทั่งวันนี้
เมื่อไปถึงเรือนของหยางเยียน หยางเยียนก็ให้สาวใช้ถอยออกไปแล้วรับรองหลี่หลินด้วยตนเอง “ชีวิตของพี่หลินช่างดีเหลือเกิน”
หลี่หลินเพิ่งจะหยิบของว่างขึ้นมาแต่ยังไม่ทันได้กิน ได้ฟังคำพูดหยางเยียนประโยคนี้ ไม่รู้ด้วยเหตุใด นางกลับรู้สึกว่านางไม่รู้จักหญิงสาวผู้นี้เสียแล้ว “น้องเยียนพูดเช่นนี้ ไฉนข้าจึงฟังไม่เข้าใจเล่า?”
หยางเยียนเพียงแค่ยิ้ม “ท่านพี่มีฐานะเป็ถึงบุตรีในสมรสของจวนโหว ฐานะสูงส่ง แม้ว่าท่านอาเขยจะไม่อยู่แล้ว แต่ก็มีน้องชายคอยปกป้องดูแล ดังนั้นชีวิตจึงดียิ่ง”
หลี่หลินฟังแล้วก็อดห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมาไม่ได้ “ลั่วเกอเอ๋อร์เป็น้องชายที่ดี ก่อนหน้าที่เขาจะมาข้ายังรู้สึกหนักใจอยู่ ไม่รู้ว่าลั่วเกอเอ๋อร์จะมีนิสัยเช่นใด คาดไม่ถึงว่าเขาจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังกล้าหาญ”
“ใช่สิ...” แล้วเหตุไฉนหลังจากที่นางเกิดเื่ขึ้นกลับไม่มีผู้ใดมาช่วยนางเล่า? ไฉนความบริสุทธิ์ของนางจึงต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของคนเช่นนั้นด้วย พิธีปักปิ่นที่นางวาดหวังเอาไว้ไม่มีอีกแล้ว ความรักลึกซึ้งระหว่างสามีภรรยาที่นางปรารถนาไม่มีแล้ว ตลอดมานางไม่เคยทำความผิดอันใด นางไม่ละโมบต่อยศถาบรรดาศักดิ์ ขอเพียงหลังพิธีปักปิ่นได้แต่งงานออกเรือนไปกับชายคนรัก มีความรักที่ดีต่อกันสองคนไปตลอดชีวิต
แต่ในเวลานี้เล่า?
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมา
“น้องเยียนเ้าเป็อันใดไป? เ้าอย่าได้ร้องไห้ไปเลย” หลี่หลินรู้สึกทำตัวไม่ถูก
“พี่หลิน ท่านดู ท่านดูข้าสิ...” หยางเยียนเลิกแขนเสื้อของตนขึ้น “ข้าอาบน้ำอย่างเป็บ้าเป็หลังทุกวัน คิดว่าหากข้าอาบน้ำหลายๆ ครั้ง ร่างกายของข้าจะสะอาดขึ้น แต่ไม่มีเลย” แขนของนางทั้งแขนมีแต่รอยเขียวดำคล้ำเป็จ้ำๆ เป็รอยที่เกิดจากการอาบน้ำของนางจนเป็เช่นนี้ “พี่หลิน ท่านบอกข้าเถิด หากครั้งนั้นเป็ท่านที่ถูกพรากความบริสุทธิ์ไป ท่านจะทำเช่นไร?”
“ข้า...ข้าไม่รู้” หลี่หลินสับสบวุ่นวายใจยิ่ง
“ใช่สิ ท่านไม่รู้ เหตุไฉนชีวิตของท่านจึงดีเช่นนี้เล่า? ไฉนท่านจึงไม่ได้ถูกพรากความบริสุทธิ์ไป ไฉนจึงต้องเป็ข้า?” หยางเยียนลุกพรวดขึ้นมา ถลึงตาถามหลี่หลิน
“น้องเยียน เ้าเคร่งเครียดเกินไปแล้ว พักผ่อนสักครู่เถิด เ้าอย่าได้คิดมากจนเกินไป” หลี่หลินรีบปลอบประโลม
หยางเยียนหลับตาลง “ขอโทษพี่หลินด้วย ข้าเพียงแต่...ข้าเพียงแต่ในใจเป็ทุกข์ยิ่งนัก”
“ไม่เป็ไรนะ...ไม่เป็ไร”
“พี่หลิน ข้าขอโทษ ข้าเป็ทุกข์ยิ่ง แต่ไม่มีใครเข้าใจข้า มีเพียงท่าน มีเพียงท่านที่เข้าใจข้า ต่อ...ต่อไปท่านจะมาเยี่ยมข้าบ่อยๆ ได้หรือไม่เ้าคะ?”หยางเยียน
“ได้แน่นอน พวกเราเป็พี่น้องกัน เ้า้าให้ข้าทำอะไร ข้าจะช่วยเ้า”
หลี่หยางซื่อและพวกเขากินอาหารเที่ยงที่นั่นแล้วพากันกลับไป แต่ระหว่างทางกลับนั้นหลี่หลินกลับมีท่าทีหดหู่ใจยิ่งนัก หลี่หยางซื่อเห็นท่าทางใจลอยของบุตรสาวแล้วจึงถามขึ้นด้วยความกังวลว่า “เกิดอันใดขึ้น? ั้แ่เ้าออกมาจากเรือนของเยียนเจี่ยเอ๋อร์ ก็ได้แต่ทำหน้าเศร้าอยู่เช่นนี้”
“ไม่มี...ไม่มีอะไรเ้าค่ะ” หลี่หลินส่ายหน้า
“เกิดเื่อันใดขึ้นที่เรือนเยียนเจี่ยเอ๋อร์ใช่หรือไม่?” หลี่หยางซื่อไม่มีทางเชื่อหลี่หลิน
หลี่หลินครุ่นคิด “เยียนเจี่ยเอ๋อร์สภาพจิตใจไม่ค่อยดีนัก ข้าจึงปลอบใจนาง นางบอกว่าต่อไปอยากให้ข้ามาเยี่ยมนางบ่อยๆ เ้าค่ะ ข้า...ข้าเพียงแต่เป็ทุกข์แทนนาง”
หลี่หยางซื่อตบไหล่ของหลี่หลิน สาเหตุที่หยางเยียนอยากให้หลี่หลินไปเยี่ยมนางนั้นหลี่หยางซื่อก็พอจะคิดออก ในเมื่อหลี่หลินก็เกือบจะเกิดเื่เช่นนั้นเหมือนกัน “เช่นนั้นต่อไปเ้าก็ไปเยี่ยมนางมากหน่อย นางก็น่าสงสารเช่นกัน”
“เ้าค่ะ”
คืนวันไหว้พระจันทร์ของรัชสมัยนี้คึกคักเป็อย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ในเมืองหลวงเท่านั้น ทั่วทั้งแคว้นต่างมีธรรมเนียมประเพณีงานเลี้ยงชมดวงจันทร์และเทศกาลโคมไฟ ดังนั้นเมื่อถึงเวลากลางคืนหลี่หงจึงพาหลี่หลินและหลี่ลั่วออกไปดูเทศกาลโคมไฟ แต่หลี่ฉือกับหลี่หม่านจากเรือนที่สอง รวมไปถึงหลี่โจว หลี่อวิ๋น หลี่เฉา หลี่รุ่น และหลี่โหยว จากเรือนที่สามต่างก็อยากจะไปด้วย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย คนทั้งสามเรือนจึงไปด้วยกัน
บรรยากาศเทศกาลโคมไฟในวันไหว้พระจันทร์คึกคักมาก ด้วยในยามปกตินั้นในสมัยโบราณมีธรรมเนียมชายหญิงแตกต่าง ทว่าในวันไหว้พระจันทร์ทุกคนต่างออกมาเดินเที่ยวในเทศกาลโคมไฟกันได้ จึงนับว่าเป็เวลาที่ดีในการนัดพบส่วนตัวของหนุ่มสาว
“งานเทศกาลโคมไฟในทุกปีล้วนมีแต่กิจกรรมเช่นนี้ แต่ข้าก็ยังอยากมาเดินทุกปี” หลี่หม่านพูด าแบนใบหน้าของนางหายแล้ว แต่หลังจากที่เกิดเื่เสียโฉมขึ้นในครั้งนั้น นางก็ไม่เคยพูดกับหลี่อวิ๋นอีกเลย
หลี่หม่านในสายตาของหลี่อวิ๋นนั้นยากจนนัก นางไม่เห็นหลี่หม่านอยู่ในสายตา
“พี่ชาย พวกเราไปทายปริศนาโคมไฟกันเถิด” หลี่หลินกล่าว “พี่ชายความรู้ปราดเปรื่อง วันนี้ต้องทายปริศนาเอาโคมไฟกลับไปหลายๆ อันนะเ้าคะ”
“ได้เลย ลั่วเกอเอ๋อร์ ไปดูซิว่าเ้าชอบโคมไฟอันไหน พี่ชายจะทายปริศนาให้เ้า” หลี่หงมีท่าทีสู้สุดใจ
“เช่นนั้นต้องขอบคุณพี่ใหญ่แล้วขอรับ” หลี่ลั่วเรียกขานหลี่หงว่าต้าเกอ (พี่ใหญ่) มาโดยตลอด
หลี่หม่านได้ยินแล้วไม่ยินดี “พี่ชาย ท่านก็ความรู้ดีเช่นกัน ท่านไปทายปริศนาเอาโคมไฟมาให้ข้าหลายๆ อันให้หน่อยสิเ้าคะ”
“เื่เล็กน่า” หลี่ฉือมั่นใจในตัวเอง
“เชอะ ทายปริศนาโคมไฟ...มิสู้ใช้เงินซื้อไปเลยเล่า” หลี่อวิ๋นไม่คิดเช่นนั้น
“นั่นเป็เพราะว่าพวกเ้าทายไม่ออกมากกว่ากระมัง” หลี่หม่านท้าทาย “มีความสามารถนักก็ไปทายปริศนาสิ”
“เ้า...” หลี่อวิ๋นถลึงตาให้หลี่โจว ต้องโทษที่หลี่โจวใช้ไม่ได้
หลี่โจวตบไหล่หลี่อวิ๋น “น้องสาวอย่าโมโห สถานที่ทายปริศนาโคมไฟมีบัณฑิตยากจนอยู่มาก พวกเราจ่ายเงินว่าจ้างพวกเขาทายก็ได้แล้ว”
หลี่อวิ๋นดวงตาเป็ประกาย “ใช่สิ ทุกปีก็เป็เช่นนี้ ปีนี้ก็เหมือนเดิม”
มีบัณฑิตยากจนจำนวนไม่น้อยที่หาเงินได้มากมายในงานเทศกาลโคมไฟวันไหว้พระจันทร์
ต่อมาคนทั้งหมดก็หาสถานที่ทายปริศนาโคมไฟได้แล้ว หลี่ลั่วนั้นตัวเตี้ย หลี่หงจึงอุ้มเขาขึ้นมา “ดูซิว่าเ้าชอบโคมไฟอันไหน?”
“พี่ชาย ข้าชอบโคมไฟหงส์อันนั้น งดงามยิ่ง” หงส์นั้นสูงส่ง แม่นางน้อยต่างก็ชมชอบ หลี่หม่านชี้ไปที่โคมไฟหงส์อันนั้น
ไม่เพียงแต่หลี่หม่านที่ชมชอบ หญิงสาวที่อยู่ในที่นี้ถึงเก้าจากสิบส่วนต่างก็ชอบ แต่ปริศนาคำทายของโคมไฟหงส์ซับซ้อนเหลือเกิน ดังนั้นหญิงสาวทั้งหลายจึงได้แต่มองดู
“หลีกไปๆ” หลี่อวิ๋นผลักผู้คนที่ขวางทางออกไป “ข้าก็ชมชอบโคมไฟอันนี้เช่นกัน เ้ามาทายซิ” นางได้ว่าจ้างชายหนุ่มผู้หนึ่งมาด้วย ชายหนุ่มผู้นั้นแต่งกายธรรมดา ทว่าสะอาดสะอ้านมาก หน้าตาสุภาพน่านับถือเป็อย่างยิ่ง
เถ้าแก่แนะนำยิ้มๆ ว่า “โคมไฟหงส์อันนี้ของข้า ั้แ่ยกออกมาจนถึงบัดนี้ ถูกแม่นางน้อยทั้งหลายชมชอบ แต่ไม่มีผู้ใดสามารถทายปริศนาออกมาได้ หากพวกท่านสนใจคงต้องรีบลงมือแล้ว ไม่เช่นนั้นหากถูกผู้อื่นทายไปก็ไม่มีอีกแล้ว”
‘นกที่ดีไร้ใจรักป่าผืนเดิม กินแมลงแล้วขับขานตามสายลม ระยะทางแปดพันลี้เพียงเอ่ยปากก็ไปถึง นกกระทาเ้าเอยบินไปศาลาสิบลี้ อักษรสี่ตัว’
หลี่ฉือนั้นมีความรู้นิดหน่อย แต่...ก็เป็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาส่ายหน้า ทายไม่ออก
หลี่หงขมวดคิ้ว “นกที่ดีไร้ใจรักป่าผืนเดิม... กินแมลงแล้วขับขานตามสายลม...”
หลี่ลั่วมองหลี่หลิน “พี่หญิงใหญ่ชมชอบหรือขอรับ?”
หลี่หลินพยักหน้า “อืม งดงามเหลือเกิน”
“ข้านึกออกแล้ว” ชายหนุ่มที่หลี่อวิ๋นว่าจ้างมาเอ่ยขึ้น
“ข้าก็นึกออกแล้ว” หลี่ลั่วเอ่ยขึ้น
หลี่อวิ๋นหัวเราะออกมาพรืดหนึ่ง “น้องหก เ้ายังเป็เพียงแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่ต้องร่วมสนุกก็ได้”
“ใช่แล้ว น้องหกชมชอบสิ่งใด ประเดี๋ยวพี่ชายจะซื้อให้เ้า โคมไฟอันนี้อย่าไปแย่งกับพี่สามของเ้าเลย” หลี่โจวพูดเสริมขึ้นอีก
หลี่หม่านไม่ยินดี “น้องหกย่อมมีสิทธิ์ที่จะทายปริศนาเช่นกัน น้องหกฉลาดเฉลียวเช่นนี้ อาจจะทายออกมาก็ได้”
“ทุกคนไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” เถ้าแก่เอ่ยขึ้น “หากว่าทั้งสองคนต่างทายถูก เช่นนั้นเราจะมีการแข่งขันรอบที่สองจนกว่าจะมีผู้แพ้จึงเป็อันยุติ พวกท่านเห็นเป็เช่นใด?”
ที่จริงแล้วในสายตาของเถ้าแก่และผู้คนทั้งหมด หลี่ลั่วซึ่งเป็เด็กน้อยคงไม่มีความสามารถอันใด
“ได้” หลี่ลั่วพยักหน้า
ชายหนุ่มแข่งกับเด็กน้อย มันก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไร ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า “พวกเรามาทายกันคนละประโยคเป็เช่นใด? เ้าทายก่อน?”
หลี่ลั่วยิ้มบางๆ ให้เขา “เช่นนั้นไม่เกรงใจแล้ว “นกที่ดีไร้ใจรักป่าผืนเดิม ตัวอักษร รัก (恋) ที่ไร้ใจ (心) ก็คือตัวอักษร อี้ (亦) ดังนั้นนก (鸟) ที่ไร้ใจในประโยคนี้ก็คือ หลวน (鸾)”
“เป็หลวนจริงๆ ด้วย” เมื่อได้ฟังคำอธิบายของหลี่ลั่วทุกคนต่างเข้าใจทันที
ชายหนุ่มประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยคนนี้จะเข้าใจจริงๆ “กินแมลงแล้วขับขานตามสายลม ตัวอักษรขับขาน (鸣) เมื่อตัดปาก (口) ออก ก็จะเหลือเพียงนก (鸟) สายลมคือ เฟิง (风) ดังนั้นนกที่กินแมลงแล้วบินไปตามสายลม จึงกลายเป็ตัวอักษร เฟิ่ง (凤) (อักษรตัว 凤 ตัวเต็มข้างในจะเป็อักษร 鸟 ซึ่งก็คือ 鳯)
“พี่ชายท่านนี้ปราดเปรื่องยิ่งนัก” หลี่ลั่วยกนิ้วโป้งของตนตั้งขึ้นให้เขา “ระยะทางแปดพันลี้แค่เอ่ยปากก็ไปถึง คือตัวอักษร เหอ (和)”
ชายหนุ่มสายหน้า “ยังสู้ความรู้อันปราดเปรื่องของน้องชายมิได้ น้องชายอายุแค่นี้ เป็ข้าที่เอาเปรียบเสียแล้ว นกกระทาเ้าเอยบินไปศาลาสิบลี้ ตัวอักษร กู (鸪) ของนกกระทาตัวหลังเมื่อตัดตัว สือ (十) ออกไป จะกลายเป็ตัวอักษร ิ (鸣)”
ดังนั้นคำตอบก็คือ หลวนเฟิ่งเหอิ (鸾凤和鸣) “หงส์คู่กู่รัก”
แปะๆๆ....เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากคนตัวใหญ่และคนตัวเล็ก ทุกคนต่างก็ปรบมือ ช่างอธิบายได้อย่างได้มีอรรถรสยิ่งนัก
“ต่อมาเป็การแข่งขันในรอบที่สอง” ดูไปแล้วเถ้าแก่เป็ผู้มากประสบการณ์อย่างชัดเจน พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มามากมายหลายครั้ง จึงได้มีการเตรียมการมาแต่เนิ่นๆ แล้ว “ข้าจะออกโคลงคำคู่ประโยคแรก พวกท่านออกประโยคหลัง”
“ทำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมกับน้องหกของข้า เขาเพิ่งจะห้าขวบเอง” หลี่หม่านไม่เห็นด้วย
“ข้าได้เปรียบเื่อายุ โคมไฟอันนี้สมควรยกให้น้องชายท่านนี้” ชายหนุ่มยอมถอยให้ จากนั้นจึงหันไปเอ่ยขึ้นกับหลี่อวิ๋นว่า “ฟังจากที่แม่นางคุยกันแล้วดูเหมือนจะล้วนเป็คนรู้จักกันทั้งสิ้น ไม่สู้ยกโคมไฟอันนี้ให้น้องชายท่านนี้ดีหรือไม่?”
หลี่อวิ๋นย่อมไม่ยินยอมเป็แน่ แต่หลี่ลั่วอายุยังน้อย หากนางไม่รับปากจะทำให้นางดูเป็คนใจแคบอย่างชัดเจน
หลี่ลั่วเองไม่อยากให้อีกฝ่ายลำบากใจ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าสามขวบปูพื้นฐาน ห้าขวบท่องบทกวีโคลงกลอน พี่ชายไม่ต้องถอยให้ข้าหรอกขอรับ”
สามขวบปูพื้นฐาน ห้าขวบท่องบทกวี? ดวงตาชายหนุ่มพลันเบิกกว้าง “เช่นนั้นน้องชายคือจงหย่งโหวใช่หรือไม่?”
อะไรนะ? หลี่ลั่วกะพริบตาอย่างประหลาดใจ หรือว่าตนเองมีชื่อเสียงโด่งดังเช่นนี้เลย?
“ข้าโชคดีเคยได้ยินผู้คนพูดถึงเื่ของจวนโหว ได้ยินว่าสามขวบปูพื้นฐาน ห้าขวบท่องบทกวี” ชายหนุ่มอธิบาย
“น่าละอายใจยิ่งนัก” หลี่ลั่วหน้าแดงเคอะเขินขึ้นมาบ้างแล้ว ต้องเป็เื่ที่เขาพูดที่จวนแน่นอน
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างผ่อนคลาย
บทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนรอบข้าง คำว่าจงหย่งโหวอะไรนั่นล้วนได้ยินไปถึงหูของพวกเขา ในเทศกาลโคมไฟคืนไหว้พระจันทร์ย่อมมีคนธรรมดาทั่วไปมากมาย ทว่าเมื่อได้ยินว่าเด็กน้อยผู้นี้คือโหวเหฺย ทุกๆ คนต่างก็รู้สึกคาดไม่ถึงไปตามๆ กัน หันมามองด้วยความประหลาดใจ อยากจะรอดูว่าเสี่ยวโหวเหฺยท่านนี้ไฉนห้าขวบก็แต่งบทกวีได้แล้ว
ชายหนุ่มนั้นเดิมทีไม่ได้มีเจตนาจะเปรียบเทียบ เขาเป็ชายหนุ่มที่ผ่านพิธีสวมกวานแล้ว จะไปแข่งกับเด็กน้อยเพื่อการอันใด แต่เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ลั่ว จึงเกิดความรู้สึกน่าสนใจขึ้นมา
“การแข่งขันคำโคลงคู่[2]เริ่มได้” ความหมายของเถ้าแก่คือให้ทุกคนเงียบ “ประโยคแรก บนกับล่าง เล็กกับใหญ่”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “หน้ากับหลัง ซ้ายกับขวา” จากนั้นมองไปที่หลี่ลั่ว
หลี่ลั่วขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง จากนั้นส่ายหน้า “ยากเกินไป ข้าทำได้เพียงแต่งกลอน”
พรืด...ผู้คนรอบข้างหัวเราะเสียงดังออกมา ที่แท้ก็เป็การคุยโวโอ้อวด สามขวบปูพื้นฐานอันใดเล่า ห้าขวบแต่งบทวี หลอกลวงทั้งเพ
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ โคมไฟหงส์อันนี้คงต้องยกให้ลูกค้าท่านนี้แล้ว” เถ้าแก่ส่งโคมไฟหงส์ให้แก่หลี่อวิ๋น
“ไม่สนุกเอาเสียเลย ด้านโน้นมีแจวเรือด้วย พวกเราไปดูการแจวเรือกันดีกว่า” หลี่หม่านพูด
“ข้ามีโคมไฟหงส์แล้ว ตามพวกเ้าไปดูแจวเรือก็แล้วกัน” หลี่อวิ๋นพูดอย่างหยิ่งผยอง
จากนั้นคนทั้งกลุ่มจึงเดินไปดูการแจวเรือ ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงทายปริศนาของเถ้าแก่อีกข้อหนึ่ง แล้วถือโคมไฟรูปนางเงือกเดินตามมา แต่ว่า...
“น้องหก เ้าคิดคำโคลงคู่นั้นไม่ออกจริงหรือ?” หลี่หลินถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“พี่ใหญ่เสียดายที่ไม่ได้โคมไฟหงส์หรือไม่ขอรับ?” หลี่ลั่วถามกลับ
หลี่หลินส่ายหน้า “แม้โคมไฟจะสวยงาม แต่ก็เพื่อเป็การเล่นสนุกๆ เพียงเท่านั้น น้องชายทำอันใดย่อมมีเหตุผลเสมอ”
หลี่ลั่วหัวเราะออกมา “บัณฑิตผู้นั้นแต่งกายเรียบง่าย แม้จะสุภาพอ่อนโยนแต่กลับมาทายคำปริศนาเพื่อหาเงิน ฐานะของครอบครัวย่อมยากจน ข้าทำใจไม่ได้ที่จะทำลายโอกาสของผู้อื่น พวกเราจะทำลายโอกาสหาเงินของผู้อื่นเพียงเพื่อความสนุกสนานของตนเองได้อย่างไรกันเล่าขอรับ?”
ชายหนุ่มเดินตามมาถึงข้างหลังพวกเขาจนได้ยินคำพูดของหลี่ลั่ว ในใจของเขาพลันเข้าใจถึงเจตนาที่แท้จริงขึ้นมาทันที ที่แท้เสี่ยวโหวเหฺยท่านนี้ก็มิได้ต่อคำโคลงคู่ไม่ได้ แต่เป็เขาเจตนาที่จะสละโอกาสนี้เอง
ชายหนุ่มไม่ได้เดินตามพวกเขาต่ออีก เขาเพียงแค่จับโคมไฟในมือแน่นขึ้นมาเล็กน้อย บนโลกใบนี้มีคนอยู่มากมายที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์และการกระทำของตนเองได้ แต่ทว่าก็ยังมีคนอีกมากมายที่ใจกว้างตนยอมถอยให้ก้าวหนึ่งเพื่อเปิดทางสู่ฟ้ากว้างมหาสมุทรใหญ่เช่นกัน เสี่ยวโหวเหฺยในยามนี้เพิ่งจะมีอายุเพียงแค่ห้าขวบ หากกลับมีมุมมองกว้างไกลและมีอุปนิสัยใจคอเช่นนี้ ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้รู้สึกนับถือยิ่งนัก
ตนเองในวันนี้เป็บัณฑิตยากจน วันหน้าหากตนเองมีชื่อเสียงและร่ำรวยแล้ว จะต้องไปคารวะเพื่อขอบคุณที่จวนโหวแน่นอน
การแข่งขันแจวเรือนั้นสามารถเล่นพนันเงินได้ หลี่โจวเรียกหลี่ฉือและหลี่หง “พี่รอง พี่สาม พวกเราไปลงพนันกันเถิด ดูว่าฝ่ายไหนจะชนะ ผู้ชนะต้องนำเงินนั้นมาเลี้ยงพวกเรากินมื้อดึก เป็เช่นใด?”
หลี่ฉือและหลี่หงไม่มีความเห็นใดๆ “ได้” หลี่หงหันไปพูดกับหลี่ลั่วว่า “รอพี่ชายชนะแล้วจะซื้อของกินให้เ้า”
หลี่ลั่วอับจนด้วยคำพูด หรือว่าหากหลี่หงไม่ชนะ เขาก็จะซื้อของกินไม่ได้แล้วใช่หรือไม่?
“ได้ มื้อดึกของคืนนี้ต้องฝากความหวังไว้ที่พี่ชายทั้งสามแล้วขอรับ” หลี่ลั่วกล่าว
ทั้งสามไปซื้อพนันกัน หลี่ลั่วรอให้คนไปหาที่ว่างสำหรับนั่งคอยพวกเขา แต่วันนี้จะหาที่ว่างได้เช่นนั้นหรือ? ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็ล้วนแต่มีผู้คนมากมาย หลี่หลินจับมือของหลี่ลั่วเอาไว้เพราะว่าหลี่ลั่วตัวเล็กเกินไป แต่ในระหว่างที่ถูกเบียดโดยฝูงชน ไม่รู้ว่ามีผู้ใดแทรกกลางระหว่างพวกเขาแล้วเบียดตัวแทรกผ่านออกไป จากนั้นจึงทำให้มือของทั้งสองคนแยกออกจากกัน
ทันใดนั้น หลี่ลั่วที่ยังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคงก็ชนเข้ากับร่างของคนผู้หนึ่ง ต่อจากนั้นก็มีคนอีกผู้หนึ่งยื่นมือมาปิดปากและจมูกของเขาเอาไว้จากด้านหลัง ในเวลาต่อมาหลี่ลั่วก็สิ้นสติสลบไป
ความจริงแล้วหลี่หลินรู้สึกตัวได้ค่อนข้างเร็ว เมื่อยามที่ถูกเบียดจนแยกกันนางก็รีบหันไปหาหลี่ลั่วทันที แต่ทว่านางกลับมองไม่เห็นแม้แต่เงาของหลี่ลั่วเสียแล้ว “น้องหก...น้องหก...” นางะโเรียกเสียงดัง
“เกิดอันใดขึ้น” หลี่หม่านได้ยินเสียง จึงเดินเข้ามาถาม
“น้องหกหายไป ข้ากับน้องหกถูกคนเบียดจนแยกกัน” หลี่หลินบอก
“ข้าจะไปเรียกพี่ชาย” หลี่หม่านในยามปกตินั้นไม่มีสมอง แต่ค่ำคืนนี้ผู้คนมากมาย นางรู้ว่าเื่ของหลี่ลั่วนั้นร้ายแรงแล้ว
“อื้ม”
หลี่อวิ๋นและบุตรีอนุจากเรือนที่สามอีกสองคนก็ไม่เห็นแม้แต่เงา แต่หลี่หลินไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนใจผู้อื่น “น้องหก น้องหก เ้าอยู่ที่ไหน?” นางหาหลี่ลั่วไปทั่วบริเวณ
“แม่นาง” มีคนแตะแผ่นหลังของนาง หลี่หลินหันกลับไป เป็ชายหนุ่มที่แข่งคำโคลงคู่ก่อนหน้านี้ “แม่นาง ท่านเป็อันใดไป?” เขาเห็นหลี่หลินเดินชนฝูงคนสะเปะสะปะอยู่เพียงคนเดียว จึงเดินเข้ามาหาด้วยไม่วางใจเท่าใดนัก
“น้องหกของข้าหายตัวไป เมื่อสักครู่พวกเราถูกคนเบียดจนแยกกัน” หลี่หลินพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ
“อย่าได้เป็กังวลไปเลย ข้าจะช่วยท่านหาด้วย” ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดออกมา
หลี่หงและคนอื่นๆ กลับมาอย่างรวดเร็ว “เป็อย่างไรบ้าง? พบตัวน้องหกหรือไม่?” หลี่หงถาม
หลี่หลินร้องไห้แล้ว “เป็ข้าที่ไม่ดี เป็ข้าที่ไม่ได้ดูแลน้องหกให้ดี เป็ข้าที่ไม่ดีเอง”
“อย่าเพิ่งกังวลไป ไม่เกิดเื่อันใดกับน้องหกหรอก” หลี่หงปลอบโยนหลี่หลินและเอ่ยกับหลี่โจวว่า “เ้าพาเฉาเกอเอ๋อร์และผู้หญิงอีกหลายคนกลับจวนไปก่อนเถิด”
หลี่โจวคิดแล้วก็เห็นว่าถูกต้องสมควร ดังนั้นจึงพยักหน้าตอบรับ
หลี่หงหันไปเอ่ยกับหลี่ฉืออีกว่า “ข้าจะออกตามหาอยู่ที่นี่ เ้าไปแจ้งที่จวนว่าการ”
“ได้” หลี่ฉือวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“สหายท่านนี้...” หลี่หงยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อเสียงเรียงนามอันใด
“ข้าจะช่วยตามหากับพวกท่านด้วย” ชายหนุ่มกล่าว
“จวนจงหย่งโหวขอขอบคุณท่านเป็อย่างยิ่ง”
ณ จวนฉีอ๋อง
“ท่านอ๋องเล่า?” หลังจากที่หลี่ลั่วหายตัวไป องครักษ์เงาที่แอบติดตามหลี่ลั่วจึงรีบมารายงานที่จวนอ๋อง แต่เมื่อมาถึงจวนอ๋องกลับไม่พบกู้จวิ้นเฉิน
“ท่านอ๋องได้รับเชิญจากท่านหญิงหลิงโหมว ไปร่วมล่องเรือเทศกาลโคมไฟวันไหว้พระจันทร์ขอรับ” พ่อบ้านรายงาน
“อะไรนะ?”
องครักษ์เงารีบจากไปทันที
การตามหาเรือของท่านหญิงหลิงโหมวท่ามกลางเรือมากมายหลายลำที่ล่องแม่น้ำอยู่ไม่ใช่เื่ยากอันใด เนื่องด้วยเรือของท่านหญิงนั้นแตกต่างจากเรือทั่วไป เรือได้ลอยออกจากฝั่งไปแล้ว องครักษ์เงา้าพบกู้จวิ้นเฉิน จึงต้องปรากฏกายในที่แจ้ง เขารีบว่าจ้างเรือลำเล็กหนึ่งลำเพื่อออกไล่ตามเรือของท่านหญิงหลิงโหมวไป
เรือของจวนองค์หญิงได้รับการออกแบบโครงสร้างตัวเรือไว้อย่างสุขสบายและหรูหรายิ่งนัก บนเรือมีเสียงพิณบรรเลงเป็เพลงในจังหวะแช่มช้า กู้จวิ้นเฉินนอนเอนกายพิงพนักครึ่งตัวรับฟังเสียงพิณที่บรรเลงเพลงพิณอย่างนุ่มนวลอยู่เบื้องหน้า
“เสด็จน้า อาจารย์บรรเลงพิณเหล่านี้ท่านแม่ฝึกออกมาโดยเฉพาะเพคะ ตระเตรียมไว้เพื่องานฉลองวันพระราชสมภพของฝ่าา วันนี้ให้เสด็จน้าลองฟังดูก่อน ท่านคิดว่าเป็เช่นใดบ้างเพคะ?” หลิงโหมวเอ่ยถามอย่างซุกซน “ยังมีจุดไหนยังต้องปรับแก้ไขอีกหรือไม่เพคะ?”
กู้จวิ้นเฉินพูดเรียบๆ “รูปโฉมงดงามเกินไป”
“หา?” หลิงโหมวไม่เข้าใจ “หากว่ารูปโฉมของอาจารย์บรรเลงพิณไม่งดงาม การแสดงยังจะสามารถดึงดูดผู้คนได้หรือเพคะ?”
กู้จวิ้นเฉินมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ทว่ากลับไม่เอ่ยอันใดออกมา
ท่านหญิงหลิงโหมวตวัดสายตามองเขาคราหนึ่ง “ท่านจะเข้าใจอะไรกันเล่า?”
“ฝ่าา มีเรือลำเล็กลำหนึ่งพายเข้ามาใกล้พวกเราพ่ะย่ะค่ะ” มีคนมารายงานจากกราบเรือด้านนอก
“ผู้ใดช่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้?” หลิงโหมวลุกขึ้น หันหน้ามองออกไปด้านนอก “อารักขาเรือ” เพิ่งจะสิ้นเสียง คนจากเรือลำเล็กก็เหินขึ้นมาบนเรือขององค์หญิงเสียแล้ว
เขาคุกเข่าลงเพียงข้างเดียว “ขอเรียนพบท่านอ๋องฉีพ่ะย่ะค่ะ”
“มาหาเสด็จน้าหรอกหรือ?” หลิงโหมวหันกายกลับไป เห็นกู้จวิ้นเฉินเดินออกมาจากด้านใน
เนื่องด้วยความเคลื่อนไหวขององครักษ์ผู้นี้ จึงทำให้เรือขององค์หญิงกลายเป็จุดสนใจของเรือลำอื่น ผู้คนมากมายบนเรือลำอื่นๆ ต่างก็มองมาที่เรือขององค์หญิงอย่างอยากรู้อยากเห็น
“น้องรอง ไม่มีเื่อันใดใช่หรือไม่?” หลี่จือที่อยู่บนเรือของท่านหญิงฉุนเหอะโมาทางหลี่ต้าน
ช่วยใช้น้ำเสียงให้อ่อนโยนนุ่มนวลสมกับเป็สุภาพสตรีสักหน่อยจะได้หรือไม่? หลี่ต้านคิดอย่างจนใจ
“เกิดเื่กับเขาแล้วรึ?” เมื่อเห็นองครักษ์เงาปรากฏกายอยู่ที่นี่ นี่จึงเป็เพียงความคิดเดียวที่กู้จวิ้นเฉินนึกออก สีหน้าที่เรียบเฉยของเขามีปฏิกิริยาขึ้นมา คิ้วขมวดแน่น ในเวลานี้จิตใจของเขาสับสนวุ่นวายนัก
“บ่าวดูแลจัดการได้ไม่ดีพอ ฝูงคนมากมาย พวกเขาถูกชนจนแยกจากกัน ทว่าเพียงพริบตาเดียวเขากลับหายตัวไปแล้ว แต่อั้นมู่ได้ติดตามไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อั้นจินรายงาน
กู้จวิ้นเฉินมีองครักษ์เงาทั้งหมดห้าคน ตั้งชื่อตามธาตุทั้งห้า คือ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ในองครักษ์เงาทั้งห้านั้นอั้นจินและอั้นมู่ถูกเขาส่งไปสะกดรอยตามหลี่ลั่ว จะกล่าวว่าจับตามองก็ดี หรือจะมองเป็อื่นก็ช่าง
“หลิงโหมว กลับเข้าฝั่ง”
“...ได้ ได้เพคะ” นี่เป็ครั้งแรกที่ท่านหญิงหลิงโหมวได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเข้มงวดของกู้จวิ้นเฉิน เล่นเอานางตะลึงไปเลยทีเดียว ครั้นแล้วจึงรีบสั่งการให้เรือเร่งกลับเข้าฝั่งทันที
เมื่อรอจนกระทั่งเรือขององค์หญิงกลับเข้าฝั่งแล้ว ใต้เท้าจวนว่าการก็ได้มาถึง และรีบสั่งการให้องครักษ์ออกตามหาทันที แต่ทว่าผู้คนที่ออกมาดูเทศกาลโคมไฟนั้นมีมากมายเหลือเกิน อย่าว่าแต่หาเงาหลี่ลั่วซึ่งเป็เด็กน้อยอายุห้าขวบที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนไม่เจอเลย ต่อให้เป็ชายหนุ่มวัยกลางคนก็แทบจะถูกกลืนหายไปในกลุ่มฝูงชน และถ้าหากทำการจัดระเบียบสถานที่ขึ้นมาย่อมกลายเป็จุดสนใจสายตาผู้อื่นเป็แน่
จะทำเช่นใดดี? ใต้เท้าจวนว่าการกังวลใจจนเหงื่อเย็นผุดออกมา
กู้จวิ้นเฉินลงจากเรือ บนฝั่งได้ตระเตรียมรถม้าเอาไว้แล้ว “เชิญท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
กู้จวิ้นเฉินมองรถม้าแวบหนึ่ง “เตรียมม้า รถม้าช้าเกินไป”
พ่อบ้านอึ้ง “พ่ะย่ะค่ะ”
[1] มีลาภดังทะเลตงไห่ (福如东海) คือคำอวยพร ประโยคเต็มๆ คือ 寿比南山福如东海 หมายถึงอายุยืนดุจูเาทางใต้ มีโชคมีลาภดังทะเลตงไห่
[2] ตุ้ยจื่อ (对子) หรือ ตุ้ยเหลียน (对联) หมายถึงป้ายมงคลคำกลอนคู่ มีรูปแบบเป็คำกลอนคู่ซ้าย-ขวา ที่มีความคล้องจองและมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน วัสดุที่ใช้มีหลากหลาย มักจะเป็การแกะสลักลงบนไม้หรือไม้ไผ่ หรือแม้แต่แกะลงในหิน (และนำไปใช้ในงานอวมงคลด้วย)