ตัดฉากมาที่เรือนของหนีเจียเอ๋อร์...
ยามนี้ หนีเจียเอ๋อร์กำลังลิ้มรสรังนกไหมสีทองอย่างดื่มด่ำ
ทันใดนั้น จู่ๆ หลิวอวี้ สาวใช้ของหนีจวิ้นหว่าน ก็ก้าวเข้ามาพร้อมกล่องไม้กล่องหนึ่ง
พอเปิดออก พบว่าด้านในคือที่ติดผมสองชิ้น เมื่อสอบถามก็ได้ความว่า ผู้เป็พี่สาวซื้อมาจากร้านเื่ประดับเพื่อมอบให้นาง
หนีเจียเอ๋อร์หยิบที่ติดผมขึ้นมา ก่อนจะนึกถึงย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้...
เ้าของชายเสื้อผู้นั้น เป็พี่หญิงจริงๆ ด้วย แสดงว่าอีกฝ่ายคงจะได้ยินบทสนทนาระหว่างตนกับสวีเพ่ยพรานแล้ว เมื่อทราบว่าชายหนุ่มเป็ห่วงเป็ใยตัวเอง หนีจวิ้นหว่านจึงรู้สึกยินดียิ่งนัก และอยากจะขอบคุณนาง แต่หากอยู่ฟังจนจบละก็ ป่านนี้คงจะกระทืบเท้าด้วยความโกรธเคืองเป็แน่
หญิงสาวเก็บเครื่องประดับลงกล่อง ก่อนหันไปถามหลิวอวี้ “ท่านพี่ รับข้าวเช้าแล้วหรือยัง?”
“คุณหนูรับประทานเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะออกไปข้างนอกเ้าค่ะ”
หนีเจียเอ๋อร์พยักหน้า ก่อนโบกมือเป็สัญญาณให้หลิวอวี้ออกไป พอแผ่นหลังของสาวใช้ผู้นั้นลับตา เสี่ยวเสวียนก็รายงานว่า คุณหนูใหญ่กำลังจะเดินทางไปยังจวนสกุลสวี
...
ด้วยสวีอี๋เหนียง ท่านแม่ของสวีเพ่ยหราน ล้มป่วยกะทันหันเพราะความเครียด ที่บุตรชายโดนปฏิเสธการสู่ขอ ดังนั้นหนีจวิ้นหว่านย่อมไม่พลาดโอกาสเช่นนี้
นางจึงมุ่งหน้าไปยังจวนราชครู เข้าพบท่านลุงและป้าสะใภ้ แล้วจึงไปที่เรือนของสวีอี๋เหนียง
หนีจวิ้นหว่านตรงเข้าไปยังห้องด้านใน ก่อนคารวะด้วยท่าทีนอบน้อม
สวีอี๋เหนียงเอนกายพิงหมอนอยู่ที่หัวเตียง พลางดื่มยาน้ำสีเข้มอย่างจำใจ “หว่านเอ๋อร์ เ้ามาแล้วหรือ?”
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าหนีจวิ้นหว่านคิดอย่างไรกันแน่ สวีอี๋เหนียงเป็เพียงอนุภรรยาของนายท่านสวี แต่นางกลับมาเอาใจอีกฝ่าย โดยไม่ใส่ใจความรู้สึกของป้าสะใภ้ ผู้เป็ภรรยาเอกเลย
ลึกๆ แล้ว สวีอี๋เหนียงพึงพอใจในตัวหนีจวิ้นหว่านอยู่ไม่น้อย เพราะสตรีผู้นี้ถือได้ว่าเป็หญิงสาวที่เพียบพร้อม เหมาะสมกับบุตรชายตนมากทีเดียว แม้เขาจะเกิดจากอนุภรรยา แต่ก็ถือเป็ทายาทเพียงคนเดียวของสกุลสวี ย่อมก้าวเป็ใหญ่ในอนาคต ดังนั้นในสายตาของนาง เด็กทั้งสองจึงเหมาะสมกันมาก
อีกทั้งก็มีแต่หญิงสาวผู้นี้ ที่ดูแลเอาใจใส่ตน ต่างจากหนีเจียเอ๋อร์ คนรักของบุตรชาย ซึ่งไม่แม้แต่จะมาเยี่ยมเยือน ส่วนหนีจวิ้นหว่านนั้น กลับให้ความเคารพนางเสมอ
“ข้าได้ยินว่าอี๋เหนียงไม่สบาย จึงมาเยี่ยม ่นี้ฝนตกบ่อย ท่านต้องดูแลตัวเองให้ดีนะเ้าคะ” หนีจวิ้นหว่านเดินไปนั่งข้างเตียง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พอเริ่มอายุมาก ย่อมเจ็บป่วยง่ายเป็ธรรมดา ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าก็หาย” สวีอี๋เหนียงพูด พลางส่ายหน้า ก่อนเปลี่ยนเื่ “ต่างจากโรคทางใจ ที่แม้แต่ยาก็รักษามิได้”
“อี๋เหนียง มีสิ่งใดรบกวนใจหรือเ้าคะ?” หนีจวิ้นหว่านถามด้วยความเป็ห่วง
แม้จะถามเช่นนั้น แต่นางก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าย่อมเป็เื่ที่สวีเพ่ยหรานถูกปฏิเสธการแต่งงาน
“ข้าก็ไม่อยากจะปิดบัง เด็กคนนั้น... น้องสาวเ้า ได้ปฏิเสธการสู่ขอจนข่าวแพร่สะพัดไปทั้งเมือง เดิมทีข้าก็ไม่คิดจะใส่ใจ แต่หรานเอ๋อร์เป็คนจริงใจ ข้าเกรงว่าจะมีใครกลั่นแกล้งเขา” สวีอี๋เหนียงถอนหายใจ
หนีจวิ้นหว่านรีบปลอบโยนทันที “ท่านพี่เป็คนใจกว้าง จะมีใครกล้าทำอะไรเ้าคะ? อี๋เหนียงไม่ต้องวิตก รักษาตัวให้หายในเร็ววันเถอะเ้าค่ะ รู้หรือไม่ ว่าท่านพี่เป็ห่วงท่านมากเพียงใด”
สวีอี๋เหนียงผงกศีรษะ แล้วจึงเอ่ย “กระนั้นข้าก็อดห่วงมิได้ เขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำ ว่าน้องสาวเ้ารู้สึกอย่างไร แต่ก็ยังกล้าไปสู่ขอ จนโดนปฏิเสธกลับมา เฮ้อ! ข้าละไม่สบายใจเลยจริงๆ”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็พูดขึ้นอีกครั้ง “เมื่อสิบวันก่อน เขาวุ่นวายกับการสั่งทำปิ่น บอกว่าจะมอบให้น้องสาวเ้า ดูสิ! ถึงขนาดมอบของแทนใจแล้ว กลับกลายเป็ว่าหรานเอ๋อร์คิดไปเองเสียได้”
พอนึกถึงปิ่นเล่มนั้น หนีจวิ้นหว่านก็รู้สึกสับสน ปิ่นปักผมถือเป็สัญลักษณ์แห่งความรักระหว่างชายหญิง หากทั้งสองมีความรู้สึกตรงกัน ก็จะมอบปิ่นเป็ของแทนใจ
หนีเจียเอ๋อร์จงใจกลั่นแกล้งท่านพี่หราน อย่างนั้นหรือ?
หากไม่มีใจ ก็ควรบอกให้เร็วกว่านี้ อย่างน้อย ก็เพื่อมิให้อีกฝ่ายต้องเสียหน้า
เมื่อคิดเช่นนั้น โทสะก็เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
พอสวีอี๋เหนียงเห็นท่าทีของหญิงสาว ก็เสริมว่า “ตอนนี้ หรานเอ๋อร์กินดื่มน้อยลงทุกวัน จนร่างกายซูบผอมลงทุกที ข้าจึงเริ่มเป็ห่วง อยากให้เ้าลองไปคุยกับเขาสักหน่อย บางทีอาจจะพอเกลี้ยกล่อมได้บ้าง”
ได้ยินเช่นนั้น หนีจวิ้นหว่านก็ตกปากรับคำทันที
สวีอี๋เหนียงทอดถอนใจ “นึกไปถึงวันแรกที่เ้าเกิด หรานเอ่อร์มีความสุขมาก ปรบมือชอบใจยกใหญ่ บอกว่าดีใจที่มีน้องสาว เอาแต่พูดว่าเ้าคือของขวัญล้ำค่า ทั้งยังคะยั้นคะยอให้ข้าพาไปเยี่ยมบ่อยๆ พยายามหาของขวัญไปให้ทุกครั้งที่พบหน้า เขาเป็คนจริงใจและทำดีเช่นนี้กับทุกคน
ตอนที่น้องสาวเ้าเกิด เขาก็ยินดีไม่น้อย พวกเ้าทั้งสามล้วน สนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่สถานการณ์ในยามนี้ กลับเปลี่ยนไปเสียแล้ว”
ได้ยินสวีอี๋เหนียงพูดถึงเื่ราวในอดีต หนีจวิ้นหว่านก็อดหวนนึกถึงมิได้ เมื่อครั้งยังเด็ก ท่านพี่หรานมักจะตามใจและดูแลนางเป็อย่างดี จนกระทั่งหนีเจียเอ๋อร์เกิด ตอนนั้น พวกเขาสามคนรักใคร่กันมาก แม้ว่าท่านแม่ของนาง จะห้ามมิให้พูดคุยกับเจียเอ๋อร์ก็ตาม
ข้าเคยห่วงใยเ้าถึงเพียงนี้ แต่เ้ากลับทำลายความเป็พี่น้องของเรา ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าชอบท่านพี่หราน ก็ยัง้าจะยืนเคียงข้างเขา!
“อี๋เหนียงวิตกเกินไปแล้ว ตระกูลของเราเป็มิตรกันมาเนิ่นนาน จะมาเหินห่างเพราะเื่เช่นนี้ได้หรือ อีกอย่าง นี่ก็เป็สกุลหนีของเรา ที่เสียมารยาทต่อสกุลสวี ดังนั้น อี๋เหนียงอย่าถือโทษโกรธเคืองพวกเราเลยนะเ้าคะ” หนีจวิ้นหว่านเอ่ย
“ไม่หรอก ข้าแค่หวังว่าเ้าจะสามารถปลอบประโลมเขาได้ หรานเอ๋อร์จะได้ไม่ต้องจมอยู่กับความทุกข์เช่นนี้” สวีอี๋เหนียงกล่าว พลางสั่นศีรษะ “ตอนนี้หรานเอ๋อร์อยู่ที่จวน ข้ารู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย คงคุยกับเ้าไม่ไหวแล้ว ต้องขอโทษด้วย”
หญิงสาวพยักหน้า ก่อนเดินออกจากเรือนไป พลางกวาดสายตามองหาสวีเพ่ยหราน
บัดนี้ ชายหนุ่มกำลังยืนอ่านหนังสืออยู่ริมทะเลสาบ
นางจึงได้แต่ลอบมอง ไม่กล้าเข้าไปรบกวน ดวงตาอันงดงาม สำรวจร่างชายหนุ่มอย่างถี่ถ้วน... ซูบผอมลงมากทีเดียว
แค่เห็น นางก็รู้สึกเ็ปยิ่งนัก ประหนึ่งหัวใจถูกบีบคั้น
เหตุใด ท่านพี่หรานถึงต้องทรมานตัวเองขนาดนี้?
อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มก็รับรู้ได้ว่า มีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมายังตน จึงละสายตาจากหนังสือในมือ ก่อนเงยหน้าขึ้น
พอพบว่าหนีจวิ้นหว่านกำลังมองมาด้วยสายตาเป็ห่วง ก็อดหัวเราะมิได้ “ข้าละสงสัยนัก ว่าเ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
“ไม่... ไม่มีอะไร!” หนีจวิ้นหว่านปฏิเสธกลับไป
สวีเพ่ยหรานหันมามอง พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งไม่ว่ากี่ครั้ง ก็มีผลต่อหัวใจนางเสมอ ทำเอาหญิงสาวถึงกับก้มหน้างุดด้วยความขัดเขิน
เมื่อเห็นท่าทีของคนตรงหน้า ชายหนุ่มก็ยกหนังสือมาวางทาบบนหน้าผากตัวเอง ก่อนสั่นศีรษะ พลางเย้า “ไม่มีอะไร แค่ใจลอยข้ามฟ้าไปแล้ว!”
กลิ่นหอมโชยพัดมาตามสายลม หนีจวิ้นหว่านได้แต่นึกสงสัย ว่ากลิ่นนี้มาจากที่ใด
“ไม่ได้เจอกันแค่สองสามวัน ไม่คิดเลย ว่าท่านพี่หรานจะซูบลงขนาดนี้” นางกล่าวด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“เ้าคิดมากไปแล้ว ่นี้ข้ากำลังลดน้ำหนัก ทั้งนี่ก็จะเข้าหน้าร้อนแล้ว เสื้อผ้าจึงบางลงเท่านั้น” สวีเพ่ยหรานอ้าง
ั้แ่โดนปฏิเสธ เขาก็เฝ้าแต่ใคร่ครวญ ว่าเป็เพราะเหตุใด ตนทำผิดตรงไหน หนีเจียเอ๋อร์จึงหมดเยื่อใยเช่นนี้ และเพื่อมิให้เื่ราวแย่ลง จึงคิดหาหนทางที่จะแก้ไขโดยเร็วที่สุด
“หากท่านพี่กล่าวเช่นนั้น ข้าก็จะเชื่อ” หนีจวิ้นหว่านทำหน้ามุ่ย “่นี้อากาศไม่ค่อยดี ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ท่านพี่หรานต้องดูแลตัวเองด้วยนะเ้าคะ”
หลังเงียบไปพักหนึ่ง นางก็กระซิบบอก “ไม่มีอุปสรรคใด ที่ข้ามผ่านมิได้ ผู้ที่เอาชนะไม่ได้ คือคนที่ไม่ยอมลุกขึ้นสู้ ท่านพี่หราน อย่าทำให้ข้าผิดหวังนะเ้าคะ”
สวีเพ่ยหรานเลิกคิ้ว ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด “นี่เ้าไม่เชื่อที่พี่พูดหรือ?”
“มิใช่ว่าไม่เชื่อ แต่ข้าแค่เป็ห่วง...” หนีจวิ้นหว่านเอ่ยต่อ “ท่านพี่หราน เช่นนั้นก็มาระบายความรู้สึกให้ข้าฟัง ดีหรือไม่? จากนั้น ท่านต้องฟังคำขอของข้าอย่างหนึ่ง”
“คำขอใดกัน?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“ข้ายังมิได้คิด ว่าแต่ ท่านจะตกลงหรือไม่?”
“ไม่ต้องหรอก” สวีเพ่ยหรานสั่นศีรษะ มีหรือที่จะไม่รู้ ว่าอีกฝ่ายพยายามจะทำให้ตนรู้สึกดีขึ้น
ชายหนุ่มมองหนีจวิ้นหว่าน ก่อนเอ่ยเสียงหนักแน่น “หว่านเอ๋อร์ ไม่ต้องเป็ห่วง!”
ประโยคสั้นๆ นั้น กลับทำให้นางวางใจได้ หญิงสาวจึงยกยิ้มบางๆ แล้วตอบกลับไปว่า “หว่านเอ๋อร์เชื่อในตัวท่านพี่เสมอ”
(จบฉาก)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้