หลังจากส่งติงเสี่ยนไปทำภารกิจที่มอบหมายแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินมุ่งหน้ากลับไปยังเรือนมวลบุปผา
หลังจากถูกซูปี้ชิงมาเล่นงานถึงเรือนมวลบุปผา มู่อวิ๋นจิ่นไม่มีกระจิตกระใจคิดเื่ของตนอีก ตอนนี้นางตัดสินใจเลือกที่จะเดินไปเอนตัวลงบนเตียงหลังที่คุ้นเคย
หลังจากกลับมาที่เรือนมวลบุปผาแล้ว ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นผลักประตู จื่อเซียงก็รีบมุ่งตรงมาหาคุณหนูของนางด้วยใบหน้าที่ดูซูบซีดและผมที่ดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย “คุณหนู บ่าวรอคุณหนูมาทั้งวัน ในที่สุดคุณหนูก็กลับมาจนได้"
เมื่อเห็นจื่อเซียง มู่อวิ๋นจิ่นก็ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเด็กสาวผู้นี้ที่มักจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ในขณะนี้กลับอยู่ในอาการตื่นตระหนก เหตุเพราะนางเกือบถูกชายในชุดดำฆ่าเมื่อคืนนี้
หลังจากคิดเื่นี้อยู่สักพัก มู่อวิ๋นจิ่นก็ถอนหายใจเล็กน้อย “จื่อเซียง เ้าสบายดีหรือไม่”
“บ่าวสบายดีเ้าค่ะ แต่บ่าวได้ยินมาว่าวันนี้ผู้ตรวจการของศาลต้าหลี่มาที่จวนเพื่อสอบสวนคดีนี้ บ่าวเกรงว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับคุณหนู ตลอดวันบ่าวจึงเฝ้ารอคอยคุณหนูอย่างใจจดใจจ่อ… ”
“ข้าสบายดี เื่ทุกอย่างเกือบเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะไม่โทษใคร” มู่อวิ๋นจิ่นระบายยิ้มบนใบหน้า
จื่อเซียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และเมื่อนึกถึงชายชุดดำเมื่อคืนนี้ หัวใจของนางก็สั่นเครืออีกครั้ง “คุณหนู ชายชุดดำคนนั้นมีที่มาอย่างไรเ้าคะ?”
หลังจากนิ่งไปชั่วครู่ จื่อเซียงก็เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ อย่าบอกนะเ้าคะ ว่าชายชุดดำจะเป็คนของท่านหมอกับคุณหนูสี่? ใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“มิใช่อย่างนั้นแน่นอน เ้าวางใจเถอะ เมื่อคืนคงตื่นตระหนกน่าดู เ้ารีบยกของบำรุงร่างกายดื่มเข้าไปเสียก่อน” มู่อวิ๋นจิ่นมองจื่อเซียงด้วยรอยยิ้มบางๆ เ้าบ่าวใช้คนนี้ทั้งไร้เดียงสาและใจเสาะนัก เอาเป็ว่าอย่าได้ลากนางเข้ามาผสมโรงในเื่นี้คงจะดีกว่า
จื่อเซียงพยักหน้าและไม่ถามอะไรต่อ
หลังจากที่มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปที่ห้องด้านหลัง จื่อเซียงก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอันแ่เบาว่า “อย่างไรก็ตาม คุณหนู… ท่านแอบไปฝึกฝนวิทยายุทธ์กังฟูั้แ่เมื่อไรหรือเ้าคะ?"
“ หือ?” มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำถามนี้
“ชายในชุดดำสามารถแอบเข้ามาในห้องนี้ได้ ทักษะของเขาก็ไม่เลว แต่คุณหนูกลับสามารถจัดการชายผู้นั้นได้อย่างง่ายได้ด้วยมีดเล่มเดียว...” จื่อเซียงพูดก็มองคุณหนูของตนด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความเคารพชื่นชม
.
มู่อวิ๋นจิ่นมองตอบจื่อเซียง แล้วยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เป็เ้าที่คิดมากไปเอง ในสถานการณ์ที่คับขันและมืดมิดเช่นนั้น ชายในชุดดำคงไม่ได้สังเกต ข้าเลยได้เปรียบมากกว่า”
“เ้าอยู่เคียงข้างข้า คอยรับใช้ข้ามาตลอด เ้าเห็นข้าเอาเวลาไหนไปฝึกฝนวิทยายุทธ์กัน?””
“แม้จะเป็เช่นนั้น อย่างไรเสียคุณหนูก็แข็งแกร่งมาก ถ้าไม่ใช่เพราะท่านละก็ บ่าวคงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้หรอกเ้าค่ะ” ในขณะที่พูดจื่อเซียงพูดอย่างมีความสุขในแววตาของนางก็เต็มไปด้วยความชื่นชมต่อมู่อวิ๋นจิ่นอย่างไม่อาจปิดบัง
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มปากและยิ้ม สายตาก็กวาดมองไปรอบ ๆ “เอาล่ะ หยุดล้อเล่นกับข้าได้แล้ว เ้าเองคงจะใมาก วันนี้เ้าควรพักผ่อนให้เพียงพอ”
“บ่าวอุ่นอาหารเตรียมไว้เป็ที่เรียบร้อยแล้ว เวลานี้ยังไม่ได้ยกออกมาจากครัวเ้าค่ะ” จื่อเซียงกล่าว
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้าตอบรับ
...
ในตอนกลางคืน ก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือนที่เรือนมวลบุปผา
เป็ซูปี้ชิงถือตะเกียงขนาดเล็ก ปกปิดร่างกายภายใต้เสื้อคลุม ยืนอยู่คนเดียวในลานของเรือนมวลบุปผา
เมื่อเห็นว่าเป็ซูปี้ชิงที่มา มู่อวิ๋นจิ่นจึงให้จื่อเซียงออกไปต้อนรับ ผ่านไปสักครู่นางก็ออกมานั่งกับซูปี้ชิงบนโต๊ะหินในลานเรือน สายลมยามค่ำคืนพัดโชยมาให้ความรู้สึกเย็นสบาย
“ใกล้ยามไห่[1]แล้ว ท่านแม่มาทำอะไรที่ เหตุใดจึงยังไม่นอนอีก?” มู่อวิ๋นจิ่นยกกาน้ำชาขึ้นจิบ
ซูปี้ชิงมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ เ้าอยู่ในจวนอัครเสนาบดีมู่ เสแสร้งก้มหน้ายอมรับชื่อเสียมากมายมานานหลายปีจนถึงตอนนี้ เ้านี่ช่างลำบากตัวเองเสียจริง”
“ท่าน้าจะพูดอะไรกันแน่” มู่อวิ๋นจิ่นวางถ้วยชาลง ในสายตาที่ผ่อนคลายซึ่งจับจ้องไปที่ซูปีชิงนั้นเจือไปด้วยคำถาม
ซูปี้ชิงยิ้มจาง ๆ และพูดอย่างใจเย็นว่า “พิษนั่นเป็ของข้า และชายในชุดดำที่หวังจะสังหารเ้าก็เป็คนของข้าด้วยเช่นกัน”
“อย่างนั้นหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วขึ้น ทว่าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าซูปี้ชิง้าอะไร
“ตอนนี้เ้าดูมีอำนาจ และมีองค์ชายหกคอยหนุนหลัง ต้องมีหนทางที่จะทำให้เฉินพู่เลิกติดตามสืบสวนเื่นี้และยอมปล่อยข้าไป ใช่หรือไม่” ซูปี้ชิงพูด ั์ตาของนางแฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง...
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ยินคำพูดของซูปี้ชิงดังนั้น ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีพลันผุดขึ้นในใจ ทว่ายังคงทำหน้าเรียบเฉยเสมือนไม่มีผลกระทบใดๆ สายตาก็ยังคงจับจ้องไปที่อีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ
“ท่านแม่เอ่ยเช่นนี้ ย่อมต้องให้เหตุผลข้ามาสักข้อหนึ่งด้วยสิ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูปี้ชิงก็หยิบผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมออกมาจากแขนเสื้อ วางไว้บนโต๊ะหิน จากนั้นคลี่มันออกก่อนจะพบว่าข้างในผ้าผืนนั้นมีปิ่นไม้เก่าๆ อันหนึ่ง
“วันนั้นป้าจางมาที่จวนเพื่อมาเยี่ยมเ้า หลังจากที่ป้าจางจากไป นางเคยส่งข่าวมาให้เ้าหรือไม่ ว่านางสุขสบายดีหรือเปล่า”
คำพูดของซูปี้ชิงทำให้มู่อวิ๋นจิ่นตกตะลึงไปชั่วขณะ คิ้วของนางกระตุกเล็กน้อย ดวงตาคู่งามสบเข้ากับปิ่นไม้บนโต๊ะหิน ก่อนจะมุ่นคิ้วเรียวอย่างใช้ความคิด
“ท่านทำอะไรกับป้าจาง”
ซูปี้ชิงเห็นว่าในที่สุดมู่อวิ๋นจิ่นก็เริ่มหวั่นไหวขึ้นมาบ้าง พลันใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ “ดูเหมือนว่าเ้ายังมีความรักต่อนางสินะ ป้าจางผู้ที่เลี้ยงดูเ้า”
“ข้ามาถูกทางแล้ว”
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ซูปี้ชิงก็พูดเข้าประเด็นทันที “หากเ้าหยุดเฉินพู่ไม่ให้สอบสวนเื่นี้ต่อ ข้าจะปล่อยป้าจางไป”
" มิอย่างนั้นต่อให้ข้าต้องตายไปจริงๆ ย่อมต้องลากพวกเ้าตายไปพร้อมกับข้า! มู่อวิ๋นจิ่น… ข้าไม่มีทางปล่อยเ้าไปแน่!"
มู่อวิ๋นจิ่นไม่คาดคิดว่าซูปี้ชิงจะนึกทำร้ายป้าจางนางจึงโทษตัวเองที่ไม่รอบคอบ แม้ว่านางจะไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อป้าจาง แต่ก็ยากที่จะหาคนที่ปฏิบัติต่อเ้าของร่างนี้อย่างจริงใจ และนางเองก็ไม่อาจทนเห็นผู้อื่นได้รับาเ็เพราะนางได้เช่นกัน
“ตกลง ข้าให้สัญญา” หลังจากนั้นไม่นาน มู่อวิ๋นจิ่นก็ยอมรับข้อเสนอของซูปี้ชิง
เมื่อเห็นว่ามู่อวิ๋นจิ่นตอบรับอย่างง่ายดาย ซูปี้ชิงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางมองเข้าไปในดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความอิ่มเอมใจ “เอาล่ะ หลังจากเ้าจัดการเื่นี้จนแล้วเสร็จ ในวันพรุ่งนี้ข้าจะสั่งให้คุณลงไป และคนของข้าให้ปล่อยป้าจางไป”
“ซูปี้ชิง ท่านต้องปล่อยป้าจาง ตามที่ท่านออกปาก หากท่านไม่รักษาคำพูด ก็อย่าโทษข้าที่พรากลูกสาวสุดที่รักของท่านเชียว!”
“ข้าเองก็จะทำตามที่พูด แต่หากท่านมีเล่ห์กลอุบายอันใด ข้าจะทำให้ชีวิตของมู่หลิงจู เลวร้ายยิ่งกว่าความตายอย่างแน่นอน!”
ดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่นหรี่ลงเล็กน้อย น้ำเสียงของนางเจือไปด้วยความเยือกเย็น ในดวงตาสะท้อนเจตนาฆ่าอันเข้มข้น นี่ทำให้ซูปี้ชิงซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามถึงกับสั่นสะท้านและหวั่นเกรงต่ออีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
“ตกลง” ซูปี้ชิงสูดลมหายใจและลุกขึ้นนั่ง ก่อนมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นแล้วเดินออกจากเรือนมวลบุปผาไป
หลังจากที่ซูปี้ชิงจากไป ความเ็าในดวงตาของมู่อวิ๋นจิ่นก็ยิ่งทวีความรุนแรง ริมฝีปากของนางค่อย ๆ แสยะยิ้มขึ้นมา ดูเหมือนว่านางจะเป็ผู้แพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้
...
วันต่อมา มู่อวิ๋นจิ่นกังวลเกี่ยวกับเื่ของป้าจาง นางจึงตื่นแต่เช้าและออกจากจวนมาเพียงลำพัง
หลังจากออกจากประตูจวนเสนาบดี มู่อวิ๋นจิ่นครุ่นคิดอยู่สักพัก ลำพังด้วยกำลังของนางเอง ก็ย่อมอาจไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเฉินพู่ได้ นี่มีแต่จะทำให้เฉินพู่ยิ่งเกิดความสงสัย
ดูเหมือนว่าข้ายังต้องขอความช่วยเหลือจากองค์ชายหก
ทว่าตอนนี้ฉู่ลี่อยู่ในวังหลวงและไม่ใช่เื่ง่ายที่จะพบเขา หลังจากขบคิดเกี่ยวกับเื่นี้ มู่อวิ๋นจิ่นก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นยังคงตัดสินใจที่จะเสี่ยงโชค และมุ่งหน้าไปยังวังหลวง
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็มาถึงประตูพระราชวังซึ่งมีการป้องกันอย่างแ่า พอเห็นมู่อวิ๋นจิ่นเข้ามา ทหารที่ยืนอยู่ก็เข้ามาขวางทางเอาไว้
“เขตต้องห้ามของประตูวัง อย่าเข้าใกล้!”
“ข้าคือมู่อวิ๋นจิ่น บุตรีของอัครเสนาบดีมู่ ข้า้าพบองค์ชายหก โปรดแจ้งให้พระองค์ทรงทราบด้วย” มู่อวิ๋นจิ่นพูดเรียบ ๆ
ทหารนายหนึ่งรู้สึกผงะเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้นเมื่อได้ยิน ก่อนจะมองประเมินมู่อวิ๋นจิ่นที่ยืนแน่นิ่งไม่ลนลานั้แ่หัวจรดเท้าอยู่สักพัก “ท่านมีสิ่งใดมายืนยันในสิ่งที่พูดมาหรือไม่??”
“จงไปหาองครักษ์ติงที่อยู่เคียงข้างองค์ชายหก เป็เขาที่จำข้าได้ และให้คนผู้นั้นพาข้าไปในวัง” มู่อวิ๋นจิ่นพูดอย่างฉะฉาน
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเช่นนั้นของมู่อวิ๋นจิ่น ผู้คุมก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง และโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาส่งสายตาให้ทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นทหารยามก็วิ่งไปที่ประตูวังหลวงทันที
หลังจากยืนรออยู่ไม่นาน ผู้คุมก็เดินออกมาจากประตูตามมาด้วยติงเสี่ยน
เมื่อติงเสี่ยนเห็นมู่อวิ๋นจิ่น ก็อุทานขึ้นขณะที่ก้าวเร็วๆ เข้ามาหานาง “คุณหนูสาม เป็ท่านจริงๆ!”
“ข้ามีเื่ด่วนจะเข้าพบองค์ชายหก รีบพาข้าเข้าไปเถอะ” มู่อวิ๋นจิ่นรีบไปที่ประตูวังทันทีที่เห็นติงเสี่ยน
โดยไม่รอให้ติงเสี่ยนนำทาง มู่อวิ๋นจิ่นดูเหมือนจะคุ้นเคยกับเส้นทางไปยังตำหนักลี่เฉวี่ยน และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินเสียด้วย
ด้านหลังของหญิงสาว ติงเสี่ยนเหลือบมองไปที่แผ่นป้าย จากนั้นก็สลับไปมองมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนจะพูดเสียงค่อยว่า “คุณหนูสาม เคยมาที่นี่หรือไม่?”
มู่อวิ๋นจิ่นผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็จำได้ว่านางลอบเข้ามาที่นี่อย่างลับ ๆ ในกลางดึก และทันใดนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโชคดีว่าเป็ติงเสี่ยนที่อยู่ข้างนางในตอนนี้ ไม่ใช่ฉู่ลี่… หากเป็เช่นนั้นนางต้องถูกฉู่ลี่สงสัยเป็แน่
“องค์ชายหกอยู่ในนั้นหรือไม่” มู่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ที่ประตูตำหนักลี่เฉวียน และไม่ได้เข้าไปข้างในโดยตรง
ติงเสี่ยนพยักหน้าตอบรับ “องค์ชายหกรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารในขณะนี้ ข้าจะพาคุณหนูสามไปที่นั่นขอรับ”
หลังจากติงเสี่ยนพูดจบก็พามู่อวิ๋นจิ่นไปที่ตำหนักลี่เฉวียน และเดินไปยังห้องอาหาร
ครั้งสุดท้ายที่มู่อวิ๋นจิ่นมาที่ตำหนักลี่เฉวียน เพราะเป็เวลากลางดึก นางถึงไม่เห็นโครงสร้างภายในวัง ทว่าตอนนี้ที่นางเดินตามติงเสี่ยนเข้าไปทีละขั้น ก็ถึงกับต้องประหลาดใจกับความหรูหราของที่นี่
กระเบื้องปูพื้นใต้ฝ่าเท้าเกือบทั้งหมดปูด้วยหินหยก ซึ่งเปล่งประกายและทำให้สถานที่นี้ยิ่งงดงาม
“ฝ่าา คุณหนูสามมาแล้ว” ติงเสี่ยนกล่าวขึ้นขณะพามู่อวิ๋นจิ่นเข้าไปในห้องอาหาร
ทันทีที่มู่อวิ๋นจิ่นก้าวเข้าไปในห้องอาหาร ก็เห็นฉู่ลี่นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยพร้อมกับอาหารหลายอย่าง อีกทั้งยังมีนางกำนัลและขันทีอีกสี่ห้าคนที่ยืนรอรับใช้
เมื่อมองไปรอบ ๆ ห้องรับประทานอาหารอีกครั้ง ในที่สุดมู่อวิ๋นจินก็เข้าใจว่าทำไมในวันนั้นฉู่ลี่ถึงบอกว่า เรือนมวลบุปผาของนางทั้งเล็กและแคบเหมือนกับบ้านสุนัขเช่นนั้น
เพราะขนาดที่กินข้าวยังใหญ่กว่าห้องนอนนางตั้งหลายเท่า
ฉู่ลี่กำลังรับประทานอาหารเช้าอย่างสบาย ๆ เมื่อได้ยินเสียงของติงเสี่ยน ก็เงยหน้าขึ้นอย่างเฉื่อยชาและมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ เ้าไปสร้างเื่อะไรอีกแล้ว?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ๋นก็เม้มริมฝีปากพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “"ข้าไม่ได้สร้างปัญหาอะไร ข้าแค่้าความช่วยเหลือจากเ้า และมันก็เป็เื่สำคัญ”
“มีเื่อันใดหรือ?” ฉู่ลี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่นโดยไม่รู้ตัว
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปาก ชำเลืองมองขันทีและนางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างนาง “ให้พวกเขาออกไปก่อน ข้าอยากคุยกับเ้าตามลำพัง”
หลังจากมู่อวิ๋นจิ่นพูดจบ ก่อนที่ฉู่ลี่จะทันได้โต้ตอบ ติงเสี่ยนก็รีบผายมือออกมาเป็การส่งสัญญาณให้ นางกำนัลและขันทีออกไปข้างนอก รวมถึงตัวของติงเสี่ยนก็ตามไปด้วย
ในห้องอาหารขนาดใหญ่จึงเหลือเพียงมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่
—----------------
[1] ยามไห่ หมายถึง ่เวลา 21:00-23:00 น.