เพียงไม่นานฟ้าก็มืดสนิท ทุกคนต่างแยกย้ายลากลับไป
ก่อนออกจากเรือน เสี่ยวหมี่ยังยัดของอีกอย่างหนึ่งเข้าไปในมือของพวกนาง ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เก็บไว้นะเ้าคะ จะเอาไปใช้อย่างไรข้าไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ หากใครถามมา ข้าไม่รู้ไม่เห็นทั้งนั้นเ้าค่ะ”
ทุกคนได้ยินแล้วก็แปลกใจ แต่ฟ้ามืดมากแล้วจึงไม่มีเวลามาซักไซ้ เมื่อกลับไปถึงบ้านก็อาศัยแสงจากเปลวเทียนส่องดูถึงพบว่าเป็เงินทองแดงหนึ่งพวง
นับดูแล้วมีมากถึงร้อยอีแปะ
พวกผู้ชายที่หลับไปแล้วถูกทำให้ตื่น ถามอย่างง่วงงุนว่า “เหตุใดยังไม่นอนอีก? เสี่ยวหมี่ให้ไปช่วยทำงานอีกแล้วหรือ?”
“เปล่า” พวกภรรยารีบแอบซ่อนพวงเงินนั้นไว้ในที่ลับ ยิ้มตอบว่า “กระต่ายของเสี่ยวหมี่ขายหมดแล้ว นางเลยซื้อผ้าเนื้อดีมาแบ่งให้พวกเรา”
“ขายหมดแล้วก็ดี รีบนอนเถอะ”
“ได้”
เหล่าภรรยารีบเก็บเงินพวงนั้นไว้ในกล่องลับส่วนตัว เอนกายนอนพลางคิดว่า วันหน้าเมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมจะต้องเอาเ้าสิ่งนี้ไปด้วย ในเมื่อตนเองได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแล้ว จะลืมบิดามารดาที่ยากลำบากอยู่ทุกวันได้อย่างไร
ไม่ใช่แค่ภรรยาคนสองคนที่คิดเช่นนี้ เพราะไม่กี่วันถัดจากนั้น บรรดาสะใภ้ในหมู่บ้านเขาหมีต่างพากันขอลากลับบ้านเดิม
หากพ่อแม่สามีไม่อยู่ก็ง่ายหน่อย แค่บอกสามีสักคำก็ใช้ได้แล้ว แต่คนที่พ่อแม่สามีอยู่ด้วยก็ลำบากสักหน่อย แต่สุดท้ายก็สำเร็จจนได้
ก่อนหน้านี้คนในหมู่บ้านเขาหมียากจนข้นแค้น แม่นางที่ถูกส่งมาแต่งงานที่นี่ล้วนเป็เด็กที่อยู่ในครอบครัวยากจน หรือไม่ก็เป็ลูกที่ไม่ได้รับความสำคัญจากที่บ้าน หรือเป็เด็กกำพร้าที่ไม่มีใครรัก
ยามนี้กลับสวมอาภรณ์ตัวใหม่กลับไปเยี่ยมบ้านเดิม บางคนก็ซื้อของฝากทั้งสุรายาสูบกลับไป บางคนถึงขั้นนำเงินเก็บส่วนตัวของตนยัดใส่มือบิดามารดาให้เก็บไว้
ถึงแม้พวกนางจะปฏิบัติตามกฎของหมู่บ้านคือไม่เล่าเื่ในหมู่บ้านของตนให้คนนอกฟัง แต่ความร่ำรวยของหมู่บ้านเขาหมีก็ขจรขจายไปไกล
เื่บางเื่หากเล่าให้คนอื่นฟังอย่างเปิดเผย คนอื่นอาจจะไม่รู้สึกสนใจมากนัก แต่ยิ่งเราแอบซ่อนเอาไว้อย่างมีลับลมคมใน กลับทำให้คนอื่นยิ่งอยากรู้
หลังจากนั้นไม่นาน ชื่อหมู่บ้านเขาหมีก็โด่งดังไปทั่วในระยะสิบลี้แปดหมู่บ้าน
ก่อนหน้านี้ที่แทบไม่เคยมีญาติฝั่งภรรยามาเยี่ยมเลย ยามนี้หมู่บ้านเขาหมีกลับมีญาติมิตรขึ้นเขามาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย
ส่วนใหญ่ก็ใช้ข้ออ้างว่ามาเยี่ยมลูกสาวหรือท่านป้าท่านอาท่านน้า นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าหาบเร่ทั้งหลายที่พากันแห่มา
น่าเสียดาย ไม่ว่าใครต่างก็ถูกห้ามไม่ให้ขึ้นเขาไปถึงหมู่บ้านทั้งสิ้น
หลายวันมานี้หัวหน้าผู้รับเหมาแซ่จงและลูกหลานต่างก็รู้สึกซาบซึ้งใจต่อสกุลลู่เป็อย่างยิ่ง เมื่อก่อนตอนไปรับเหมาที่บ้านอื่น อย่าว่าแต่เลี้ยงข้าวแลย สุดท้ายไม่หักเงินค่าจ้างก็นับว่ามีน้ำใจมากแล้ว
แต่สกุลลู่ มื้อเช้าเลี้ยงโจ๊กและหมั่นโถว มื้อเที่ยงและมื้อเย็นก็ยังเลี้ยงข้าว ในกับข้าวยังมีเนื้อเสียด้วย ทำให้พวกเขาที่ถึงแม้หลายวันมานี้จะทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ยังอ้วนท้วนขึ้นไม่น้อย
คนเรารู้จักมักคุ้นกันนานเข้า เมื่ออีกฝ่ายมีคุณธรรมน้ำใจ พวกผู้รับเหมาจงจึงยิ่งทำงานอย่างขยันขันแข็งยิ่งขึ้น
เวลาพักเที่ยง หนุ่มน้อยสองคนซึ่งได้รับหน้าที่เฝ้ายามก็พักกินอาหารเช่นกัน พวกเขากินซาลาเปาหนึ่งลูกและกับข้าวอีกหนึ่งถ้วย กินไปพลางสนทนากันอย่างสนุกสนานไปพลาง
สุดท้ายกลับมีคนมุ่งหน้ามาที่ปากทางเขาเป็จำนวนมากจนพวกเขาเหมือนจะห้ามไว้ไม่ค่อยอยู่แล้ว
หัวหน้าผู้รับเหมาจงเห็นเช่นนั้น ก็รีบให้บุตรชายคนเล็กขึ้นไปที่หมู่บ้านเขาหมีเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบ จากนั้นเขาก็รีบพาลูกหลานมาช่วยพรานหนุ่มสองคนนั้นต้านคนเอาไว้
เมื่อคนบนหมู่บ้านเขาหมีทราบข่าว นายท่านเฝิงก็เรียกพวกผู้ชายมารวมตัวกัน แล้วพากันเร่งรุดไปที่ปากทางขึ้นเขา
ถึงแม้จะยังอยู่ห่างออกมาค่อนข้างไกล แต่ก็ได้ยินเสียงหญิงมีอายุคนหนึ่งะโเสียงดังว่า “ทำไมเล่า บุตรสาวข้าแต่งมาอยู่ที่นี่ ข้าในฐานะมารดาจะมาเยี่ยมบ้างไม่ได้เชียวหรือ? ใครจะรู้ว่าพวกเ้าทำอะไรบุตรสาวข้าหรือเปล่า ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องขึ้นไป”
นายท่านเฝิงได้ยินก็ขมวดคิ้ว หันศีรษะกลับไปถามชาวบ้านคนอื่นๆ ว่า “ญาติบ้านใครกัน?”
มีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง กล่าวออกมาด้วยสีหน้าดำคล้ำ “ญาติบ้านข้าเอง มารดาของชุ่ยฮัวภรรยาสือโถ่ว”
“ไปเรียกชุ่ยฮัวมา”
“ได้”
ชายวัยกลางคนคนนั้นรีบวิ่งกลับไปทันที เพียงไม่นานชาวบ้านก็มาถึงปากทางขึ้นเขาโดยมีนายท่านเฝิงเป็ผู้นำ เขาแตกต่างจากยามปกติที่อ่อนโยนมีเมตตา เขาประสานมือคารวะคนที่มาออกันอยู่ด้านหน้า จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเ็า “ทุกท่าน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไร? ถึงแม้หมู่บ้านเขาหมีเราจะเป็สถานที่ทุรกันดารและห่างไกล แต่ก็ไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาหาเื่ก็ทำได้ง่ายๆ มีอะไรก็รีบพูดมาให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าเราไม่เกรงใจ”
“แหม เ้าเฒ่านี่ เหตุใดถึงเอ่ยวาจาเช่นนี้ บุตรสาวข้าแต่งมาอยู่ที่นี่ ข้าในฐานะมารดามาเยี่ยมเยียนไม่ได้หรือไร?”
หญิงมีอายุหน้าตาบูดเบี้ยวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาเป็คนแรกอย่างดุร้าย นายท่านเฝิงไม่สนใจนาง เขาหันหน้าไปทางคนอื่นๆ
คนอื่นๆ ที่เหลือกลับไม่มีใครดุร้ายเท่าหญิงมีอายุคนนั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพวกเขาเป็พ่อค้าหาบเร่ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย
นายท่านเฝิงถึงค่อยๆ กลับมามีรอยยิ้มบนใบหน้าเช่นเดิม ก่อนจะทักทายพวกเขาว่า “ขอบคุณทุกท่านที่มีของดีอะไรก็คิดถึงหมู่บ้านเขาหมีของเรา แต่ทุกท่านคงเคยได้ยินแล้วว่าหมู่บ้านเขาหมีของเรากำลังทดลองปลูกผักกันอยู่ ยามนี้อย่าว่าแต่คนนอก แม้แต่พวกเด็กๆ ก็ยังถูกขังไว้ในบ้าน ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาเดินเพ่นพ่าน
พูดแล้วก็น่าขายหน้า เพราะยามปกติใช้ชีวิตอย่างยากจนยิ่งนัก จึงทำให้ทุกคนระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ต้องขออภัยทุกท่านด้วยที่วันนี้ต้องให้พวกท่านมาเสียเที่ยวแล้ว รอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงและเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว หากทุกท่านไม่รังเกียจก็รบกวนมาใหม่อีกครั้งเถิด จะต้องรับรองทุกท่านด้วยสุราอาหารถ้วยใหญ่อย่างแน่นอน”
ชายสูงวัยกล่าววาจาอย่างจริงใจ มารยาทไม่มีขาดตกบกพร่อง พวกพ่อค้าเ่าั้จึงไม่กล้าฝืนไปมากกว่านี้ อีกอย่างตอนนี้พวกเขาก็ยังเหยียบอยู่บนถิ่นของคนอื่นด้วย
พวกเขาจึงพากันคารวะกลับ แล้วพากันแยกย้ายไป เหลือเพียงหญิงมีอายุคนนั้นกับลูกชายที่สายตากลอกกลิ้งไปมา
“ก็ควรเป็เช่นนี้อยู่แล้ว พวกเขาเป็คนนอกทั้งสิ้น แต่ข้าเป็คนในครอบครัว ข้าควรจะเข้าไปได้แล้วกระมัง หากว่าบุตรสาวข้าได้ยินว่ามารดาและพี่ชายมาหาเกรงว่าคงจะดีใจไม่น้อย”
พูดพลางคิดจะเดินเข้าไป คิดไม่ถึงว่าบุรุษคนหนึ่งด้านหลังนายท่านเฝิงจะเข้ามาขวางนาง “ไม่ได้ เ้าเข้าไปไม่ได้”
บุรุษบนเขายามปกติหาเลี้ยงชีพด้วยการขึ้นเขาล่าสัตว์ ต่างมีรูปร่างกำยำล่ำสัน ส่งเสียงขู่ออกมาเช่นนี้ก็ทำเอาหญิงมีอายุคนนั้นใจนถอยหลังไป
“พวกเ้าคิดจะทำอะไร ข้าคือมารดาของชุ่ยฮัวนะ”
นายพรานคนอื่นๆ ยังคิดจะพูดอะไรอีก ชุ่ยฮัวก็วิ่งลงมาพอดี นางะโเสียงดังมาแต่ไกลว่า “ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร? ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ให้ท่านมา?”
หญิงมีอายุรู้สึกมีชนักติดหลัง ส่งเสียงกระแอมเบาๆ ออกมาสองเสียง แล้วถึงะโด่าเสียงแข็ง “นังเด็กนี่ ข้าคิดถึงเ้า มาเยี่ยมเยียนเ้าบ้างไม่ได้หรือไร”
“ไม่กี่วันก่อนข้าก็เพิ่งกลับบ้านไป ท่านก็ได้เจอข้าแล้วไม่ใช่หรือ? อีกอย่าง ข้าแต่งมาที่นี่ได้สองปีแล้ว ท่านไม่เคยคิดถึงข้าเลย เหตุใดตอนนี้จึงมาคิดถึงเล่า อีกทั้งยังเป็หลังจากที่ข้าเพิ่งกลับไปได้แค่สองวันด้วยซ้ำ”
ชุ่ยฮัวเองก็โกรธมากเช่นกัน สองวันก่อนที่นางกลับไปก็บอกคนที่บ้านอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ต้องมาหา มีอะไรก็เขียนจดหมายมา นางจะกลับไปหาเอง
คิดไม่ถึงว่ายามนี้ มารดากับพี่ชายนางจะแล่นมาสร้างความวุ่นวายถึงที่นี่ นางลอบสังเกตสีหน้าของคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ก็พลันร้อนใจจนอยากจะพุ่งเอาศีรษะโขกกำแพง วันหน้านางจะเชิดหน้าอยู่ในหมู่บ้านได้อย่างไรอีก?
“ท่านแม่ รีบกลับไปเสียเถอะ”
“เหตุใดข้าต้องกลับไปด้วยเล่า ข้าไม่เคยได้ยินใครบอกว่าห้ามมาเยี่ยมบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว ญาติดองข้ารีบออกมาเร็วเข้า หมู่บ้านเขาหมีคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นจึงไม่รู้จักญาติตัวเองแล้วหรือ?”
หญิงมีอายุคนนั้นถูกบุตรสาวหักหน้าก็ยิ่งโมโห จึงรีบร้องเรียกหาบ้านดองของตัวเองทันที
แต่ตอนนี้ใครจะกล้าโผล่ออกมากันเล่า
บ้านสามีชุ่ยฮัวไม่มีใครโผล่หน้าออกมา ชุ่ยฮัวร้อนใจมาก แต่จะอย่างไรมารดาก็ไม่ยอมฟังนาง
สุดท้ายก็เป็นายท่านเฝิงที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาโบกมือจากนั้นกล่าวว่า “น้องหญิงท่านนี้ ยามนี้หมู่บ้านเราไม่อนุญาตให้คนนอกขึ้นไปที่หมู่บ้านโดยเด็ดขาด หากเ้ามีเื่อันใดวันหน้าส่งจดหมายมาให้ชุ่ยฮัวก็ใช้ได้แล้ว ไม่มีใครห้ามไม่ให้นางกลับไป แต่หากเ้าดื้อรั้นจะบุกเข้าไป ก็แสดงว่าคงคิดถึงบุตรสาวมากจนทนไม่ไหว เช่นนั้นไม่สู้รับตัวชุ่ยฮัวกลับไปเสีย จะกลับไปอยู่กี่ปีก็ย่อมได้ คนหมู่บ้านเขาหมีไม่มีใครขัดขวางแน่นอน”
พูดจบ นายท่านเฝิงก็หยิบกล้องยาสูบออกมาคาบไว้แล้วเดินเอามือไพล่หลัง หันหลังหลับไป
ชุ่ยฮัวกระพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็ฟังออกว่านายท่านเฝิง้าจะไล่นางกลับบ้านเดิม ก็ร้องห่มร้องไห้ตำหนิมารดาตัวเอง
“ท่านแม่ ท่านรีบกลับไปเสีย ข้าบอกแล้วว่าไม่ให้ท่านมา ท่านก็ยังจะมาอีก ดีนัก ถ้าข้าถูกหย่า ท่านก็คงดีใจกระมัง”
หญิงมีอายุคนนั้นก็โง่งมไปเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าคนหมู่บ้านเขาหมีจะเด็ดขาดเช่นนี้ ตอนแรกที่พวกเขามาสู่ขอชุ่ยฮัวนั้นนางเรียกสินสอดไปไม่น้อย ได้ยินว่าคนหมู่บ้านเขาหมีทุกบ้านต่างช่วยกันสบทบสินสอดให้กับบ้านแม่สามีของชุ่ยฮัว พวกเขาถึงได้แต่งชุ่ยฮัวเข้าตระกูลได้ เหตุใดผ่านไปแค่สองปีพวกเขากลับกล้าหย่าชุ่ยฮัวเสียแล้ว หรือว่าพวกเขาจะร่ำรวยกันขึ้นมาแล้วจริงๆ
เช่นนั้นจะให้ชุ่ยฮัวกลับบ้านไม่ได้เด็ดขาด ยามนี้ต่อให้บุกเข้าไปก็ไม่แน่ว่าจะเห็นลู่ทางอะไร ไม่สู้รอไปก่อน ไม่แน่อาจจะได้ประโยชน์มากกว่า หากนางอยู่อย่างสุขสบาย ก็คงไม่ถึงกับไม่แบ่งปันให้มารดาของนางเลยกระมัง...
“เอาล่ะๆ เ้าก็ไม่ต้องร้องแล้ว ข้าก็แค่มาเยี่ยมเ้า ข้าผิดตรงไหนเล่า ข้ากลับแล้วก็ได้ เ้าอยู่ต่อไปให้ดีนะ หากมีใครรังแกเ้าก็รีบเขียนจดหมายกลับมาบ้าน แม่จะช่วยออกหน้าให้เ้าเอง”
หญิงมีอายุพูดจบก็กลอกตา จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อพาบุตรชายกลับไป
ทิ้งชุ่ยฮัวที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเอาไว้ นางแทบอยากจะมุดดินหนีหายไป สุดท้ายก็เดินตามหลังทุกคนกลับขึ้นเขาไปเงียบๆ
นายท่านเฝิงเรียกพวกผู้ชายจำนวนหนึ่งไปที่บ้านของตน เพราะก่อนหน้านี้ทุกคนต้องไปร่วมแรงช่วยสกุลลู่ปลูกไข่ดิน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้สร้างบ้านดินขึ้นที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน จึงต้องเริ่มเร่งมือกันแล้ว
ที่บ้านสกุลลู่ พวกเขาเพิ่งรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จกำลังพักผ่อนยามบ่าย บ้านทั้งหลังเงียบสงบ ส่วนลู่อู่และเกาเหรินสองคนนั้นไม่รู้วิ่งหายไปที่ไหนเสียแล้ว แต่ตอนกลับมาก็นำเื่ที่เกิดขึ้นที่ปากทางเข้าหมู่บ้านมาเล่าให้เสี่ยวหมี่ฟัง เสี่ยวหมี่ถึงได้ทราบเื่
จากนั้นท่านป้าหลิวก็มาขอยืมตะกร้าที่บ้านสกุลลู่ และแจ้งข่าวที่วันพรุ่งนี้พวกผู้ชายในหมู่บ้านจะเริ่มสร้างบ้านดินกันแล้วให้เสี่ยวหมี่ทราบ
เสี่ยวหมี่จึงพยักหน้าตอบรับ ของอื่นๆ เตรียมไว้พร้อมสรรพ แต่หากยังขาดอะไรอีกก็ค่อยส่งคนเข้าเมืองไปซื้อหาเพิ่มเติม
ที่จริงท่านป้าหลิวแค่้ามาแจ้งข่าวเท่านั้น ที่มายืมตะกร้าก็เป็แค่ข้ออ้าง เมื่อเสี่ยวหมี่พยักหน้าเห็นด้วยแล้วจึงเอาข่าวไปบอกทุกคน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้