“อิ้งหลี เ้าสวมเครื่องแต่งกายเต็มยศเช่นนี้ช่างน่ามองยิ่งนัก”
เมื่อวางอีกคนลงบนแท่นบรรทมแล้ว เฟิงจิ้งอี้จึงกล่าวชื่นชมด้วยความจริงใจ
อิ้งหลีเลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นท่านก็ทำให้มันเละไปแล้ว”
ด้วยความไม่ระวังจึงทำให้ชุดมากองรวมกัน เฟิงจิ้งอี้กล่าวต่อไปว่า
“ที่นี่คือวังหลัง สมควรที่จะถอดออกแล้ว เ้าจะดูดีที่สุดเมื่ออยู่บนที่นอนของข้าโดยไม่สวมใส่สิ่งใด”
อิ้งหลีเงียบไป หน้าแดงไปถึงหู มือโน้มลำคอของผู้ที่อยู่บนร่างลงมาแล้วขบไปที่ริมฝีปากที่กำลังแย้มยิ้มอย่างชั่วร้าย แต่เพียงไม่นานก็ถูกเฟิงจิ้งอี้พลิกสถานะขึ้นมาเป็ผู้นำ ริมฝีปากและลิ้นของทั้งสองเกี่ยวพันกันไปมา
ชุดหลุดออกจากร่าง เสียงหยอกล้อค่อย ๆ เปลี่ยนเป็เสียงแห่งความเสน่หา ความอัดอั้นปลดปล่อยออกมาพร้อมกับเสียงร้องสูงลากยาว เป็เวลานานกว่าทุกอย่างจะสงบลง
“อิ้งหลี เมื่อไรเจิ้นจะสามารถกอดเ้านอนหลับฝันแล้วตื่นขึ้นมาพร้อมกันได้”
มองดูผู้ที่แต่งตัวเรียบร้อยอยู่ข้างเตียงแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพียงครั้งเดียวมันไม่เพียงพอจริงๆ แต่เมื่อคำนึงถึงอิ้งหลีแล้วเขาจึงต้องยับยั้งชั่งใจ เมื่อวันที่เขาสามารถพาอีกคนเข้ามาอยู่ในห้องบรรทมได้ทั้งวันมาถึง เขาจะชดเชยมันอย่างเต็มที่แล้วทำอย่างมีความสุข
อิ้งหลีสวมชุดคลุมและจัดให้เรียบร้อยดูดี ดวงตายังคงชุ่มฉ่ำด้วยห้วงตัณหาที่เพิ่งสิ้นสุดลง เขารู้สึกปวดตรง่เอวเล็กน้อย หลังจากมองหน้าชายที่ยังนอนเกียจคร้านอยู่พักหนึ่งจึงพูดขึ้นมาว่า
“ภายในไร้ปัญหา ภายนอกไร้ศัตรู รอยามที่ท่านได้ครองใต้หล้าอย่างแท้จริง”
พูดจบจึงหันหลังจากไป เฟิงจิ้งอี้ที่ไม่มีแม้แต่ชุดซับในหลับตาลง นอนฟังอยู่เงียบๆ จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเงียบหายไป
ภายในไร้ปัญหา ภายนอกไร้ศัตรู สี่ทะเลรวมเป็หนึ่ง[1] เป็ฮ่องเต้แห่งใต้หล้า นี่คือความฝันอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้ทุกพระองค์
กลับมาผิดเวลาในคืนนี้ ผู้ที่รอต้อนรับอยู่ที่หน้าประตูไม่ใช่หงเย่า แต่เป็เหยียนลั่วที่ดื่มเหล้าชมจันทร์อยู่บนคานประตูในมือมีขวดและจอกเหล้า
“อาหลี เ้ากลับมาแล้ว”
อิ้งหลีเพิ่งลงจากรถม้า เสียงของเหยียนลั่วก็ดังมาจากบนคาน จากนั้นผู้ที่ถือขวดเหล้าอยู่ในมือก็ะโลงมาเบา ๆ แล้วล้มลงข้างตัวเขา คิ้วตรงโค้งงอเล็กน้อยอย่างขี้เล่น หันเหล้าในมือไปทางเซียวอวิ๋นมู่ซึ่งเป็ผู้ขับรถม้ามาส่ง
“หัวหน้าองครักษ์เซียว อยากดื่มสักจอกไหม?”
“พี่ใหญ่” อิ้งหลีส่ายหัวให้เขา “ตากน้ำค้างในยามราตรีอยู่บนคาน ระวังจะป่วยไข้เอานะขอรับ”
“ขอบคุณขอรับคุณชายใหญ่ ข้าน้อยยังต้องกลับไปรายงานผลการทำงาน ไว้วันหน้านะขอรับ”
เซียวอวิ๋นมู่ตอบอย่างเคร่งขรึมจากนั้นจึงพยักหน้าให้พวกเขาแล้วคุมรถม้าจากไป
“คนน่าเบื่อ”
เหยียนลั่วยักไหล่ขณะมองไปยังรถม้าที่ไกลออกไป จากนั้นจึงพาดมือไปบนไหล่ของอิ้งหลี “น้องรอง ดื่มกับพี่ใหญ่สักสองจอกดีไหม?”
อิ้งหลีดึงแขนของเขาออกพร้อมกับปฏิเสธ “มันดึกแล้ว และข้าเองก็เหนื่อยด้วย ขอเป็วันหน้านะ”
เขาเจ็บหลังอีกทั้งยังรู้สึกขาอ่อน ต้องพักผ่อนให้เร็วขึ้นเพื่อพรุ่งนี้จะได้ไม่พลาดการว่าราชกิจใน่เช้า
“หึ... ราชครูในตอนนี้ต้องจัดการงานราชการเป็จำนวนมาก งานหนักเกินไปแล้ว”
เหยียนลั่วขมวดคิ้วพร้อมกับดื่มเหล้า จู่ ๆ เขาก็ขยับจมูกเข้ามาใกล้ “เหตุใดบนร่างกายของเ้าจึงมีกลิ่นคล้ายกลิ่นของไม้จันทน์... เอ่อ และยังมีกลิ่นสมุนไพรอื่น ๆ กลิ่นนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก...”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นอิ้งหลีจึงถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับแสดงท่าทางอึดอัดก่อนจะเล่าว่า
“่นี้พระวรกายของตี้จวินไม่ค่อยแข็งแรง ยามข้าและองค์ชายใหญ่ช่วยเหลือราชกิจจึงต้องไปตำหนักตงหวาอยู่บ่อยครั้ง กลิ่นไม้จันทน์อาจจะติดมาจากตี้จวิน”
อันที่จริงนี่ไม่ใช่กลิ่นไม้จันทน์เพียงอย่างเดียว แต่เป็เครื่องหอมที่ได้จากไม่จันทร์ผสมกับสมุนไพรตัวอื่น เฟิงจิ้งอี้ชอบกลิ่นหอมที่ไม่แรงมากแต่มีเอกลักษณ์และติดทนนาน ในยามที่พวกเขาใกล้ชิดกันจึงมีกลิ่นติดมาอย่างไม่อาจเลี่ยง
“โอ้... ไม่แปลกที่รู้สึกค่อนข้างคุ้นเคย มันเป็สูตรลับของพระราชวัง ใช้ในการบำรุงร่างกาย...”
เหยียนลั่วพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นจึงหัวเราะพร้อมกับเอ่ยหยอกล้อเบา ๆ ว่า
“เขายังคงอ่อนแอและน่าสงสาร ได้อยู่ในสามพระตำหนักหกหมู่เรือนกลับมีร่างกายที่ขี้โรค ทำได้เพียงเฝ้ามองไม่อาจรับประทานได้ เกรงว่าแม้แต่วังหลังก็คงไม่กล้าเข้าไป นางสนมที่งามราวกับหยกเ่าั้คงจะขมขื่น”
ชายหนุ่มในใต้หล้าที่ต้องอึดอัดถึงที่สุดก็คงเป็เช่นนี้
“พี่ใหญ่โปรดระวังคำพูด พูดถึงตี้จวินเช่นนี้ถือเป็การดูิ่ เป็การไม่ให้เกียรติเกินไป หากมีผู้ใดมาได้ยินเข้าจะมีโทษถึงตัดหัว”
อิ้งหลีขมวดคิ้วพร้อมตำหนิ แต่ใบหน้าของเขากลับรู้สึกร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ยังดีที่ในยามค่ำคืนมองเห็นได้ไม่ชัดนัก สำหรับคำพูดของเหยียนลั่วเขาไม่คิดว่าเป็เช่นนั้น อย่างเฟิงจิ้งอี้นั้นนางสนมทั่วไปอาจรับมือไม่ไหว หาก้ามี่เวลาที่ดีจริง ๆ อาจต้องใช้นางสนมหลายคนภายในคืนเดียว เพียงแค่รอบเดียวก็นานมากพอแล้ว เท้าและเอวของเขาล้วนยังอ่อนปวกเปียก
เหยียนลั่วโบกมือพร้อมหัวเราะเหอะ ๆ ผู้ที่ดื่มเหล้าการยับยั้งชั่งใจและความเกรงอกเกรงใจจะลดน้อยลง
“ข้าจะไม่เอาไปพูดกับภายนอก มันก็แค่เื่ขำขันระหว่างเราสองพี่น้อง ยิ่งไปกว่านั้น อาการป่วยของเขาก็ไม่ได้เป็เพียงวันสองวัน มันเริ่มมาั้แ่เขาขึ้นเป็องค์รัชทายาทแล้ว ทุกคนต่างรู้ดีว่า มันเป็เพียงความลับที่ถูกเปิดกว้าง เ้าลองคิดดูนางสนมในวังหลังของเขามีน้อยถึงเพียงนั้นอีกทั้งยังไม่มีผู้ใดกล้าใช้งาน ไม่ใช่ว่าเกรงว่าเขาจะรับไม่ไหวหรอกหรือ เหอะ ๆ ...”
“ท่าน... พี่ใหญ่ท่านเมาแล้ว”
อิ้งหลีมองพี่ใหญ่ของตนอย่างโกรธเคือง แต่ก่อนเคยเป็เช่นนั้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่ โรคเก่าของเฟิงจิ้งอี้ได้รับการรักษาจากใบสั่งยาของชิงเอ๋อร์ บัดนี้... ความยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่การพูดเกินจริง ชายผู้นั้นเพียงแสร้งป่วยเพื่อแผนการก็เพียงเท่านั้น
เหยียนลั่วรู้สึกกลัวเล็กน้อยกับสายตาอันแหลมคมของอิ้งหลีที่จ้องเขม็งมา ตบหน้าผากตนเองพร้อมกับคิดขึ้นได้ว่าเป็การไม่สมควรที่จะเยาะเย้ยตี้จวินเช่นนี้จึงยิ้มออกมา
“อืม ข้าเมาแล้ว เมื่อเ้ากลับมาแล้วข้าก็ควรไปพักผ่อน เ้าล้างหน้าล้างตาแล้วก็จงรีบพักผ่อนเสีย ท่านราชครูผู้ยิ่งใหญ่ที่มีงานราชการในทุกวัน”
“...เชิญพี่ใหญ่ไปพักผ่อนเถอะ”
อิ้งหลีทำตัวไม่ถูกที่พี่ใหญ่อารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ เขาส่ายหัวแล้วเดินกลับไปที่เรือนเล็ก ๆ ของตน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาเหยียนลั่วก็อยู่ในเมืองเทียนซูมากเกือบหนึ่งเดือนแล้ว เหยียนชิงเขียนจดหมายมาบอกว่างานแต่งงานของเหยียนิฮ่วนกับม่อเสียวเสี่ยวจะถูกจัดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ให้เหยียนลั่วรีบเดินทางกลับมาช่วยงาน พร้อมกับถามอิ้งหลีอย่างสุภาพว่าพอจะมีเวลาว่างมาร่วมงานไหม
“น้องรอง เหตุใดจึงไม่กลับไปพร้อมข้า?”
หาได้ยากที่อิ้งหลีจะกลับบ้านเร็วและได้ร่วมทานอาหารกับเขา เหยียนลั่วจึงถามด้วยรอยยิ้ม คิดว่ามันคงจะดีถ้าทั้งสองสามารถกลับไปพร้อมกันได้ ระหว่างทางจะได้ไม่น่าเบื่อเกินไป
อิ้งหลีคิดเื่นี้สักพักแล้วสุดท้ายก็ส่ายหัว
“เกรงว่าจะไม่ได้ พี่ใหญ่ท่านต้องกลับไปช่วยดูแลงานแต่ง แม้ว่าข้าจะอยากกลับไปก็ต้องรอให้ใกล้ถึงวันก่อนแล้วค่อยกลับ อีกทั้งยังไม่แน่ว่าจะสามารถหยุดงานได้”
ไม่รู้ว่าในครั้งนี้เฟิงจิ้งอี้ตั้งใจจะแกล้งป่วยนานเพียงใด อีกทั้งกรมพิธีการกำลังเตรียมการอย่างตึงเครียดสำหรับการพระราชทานยศเซ่อเจิ้งอ๋อง ทุกเสียงในท้องพระโรงจะต้องสงบลง อ๋องิชินที่เสด็จไปเมืองหนานฮั่นเป็เวลานานก็ใกล้จะเสด็จกลับมาแล้ว หลายอย่างยังคงวุ่นวาย
“ก็ได้...”
เหยียนลั่วถอนหายใจด้วยความผิดหวัง กลับไปในคราวนี้เขาคงไม่สามารถออกมาได้อย่างง่ายดายอีก ท่านแม่และชิงเอ๋อร์จะต้องให้เขาเริ่มดูแลกิจการของตระกูลเป็แน่ ไม่เป็ไร อย่างไรเขาก็เป็ลูกชายคนโต ควรรับหน้าที่เหล่านี้ แต่ว่าทุกวันที่ต้องเฝ้ามองเว่ยซูหานและชิงเอ๋อร์แสดงความรักต่อกันอย่างเร่าร้อนเขาคงจะรู้สึกปวดฟัน[2]ขึ้นมาบ่อยๆ
ใช่แล้ว เขาแค่รู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นว่าเว่ยซูหานและชิงเอ๋อร์แสดงความรักต่อกันอย่างไร อีกทั้ง มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าน้องชายถูกรังแก น้องชายที่แสนน่ารักต้องถูกรับประทานโดยคนมากเล่ห์เช่นนี้มันทำให้ใจของเขารู้สึกเ็ป
อิ้งหลีมองดูเขาถอนหายใจ ก็สามารถเดาได้ทันทีว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่ คิดแล้วจึงพูดออกมาว่า
“ท่านแม่ช่วยดูแลมานานมากแล้ว พี่ใหญ่ควรคิดเกี่ยวกับการรับ่ต่อกิจการครอบครัวเสียที ในอีกสองปีหลังจากเข้าพิธีสวมกวานแล้ว ชิงเอ๋อร์ก็จะมาเมืองหลวง ยามนั้นกิจการของตระกูลคงต้องขึ้นอยู่กับท่านแล้วพี่ใหญ่”
“ข้ารู้” เหยียนลั่วพยักหน้า “ข้าเข้าใจในหลักความเป็จริง”
อิ้งหลีพยักหน้าให้เขา
“เช่นนั้นก็ดูแลอารมณ์อันแสนเริงร่าของท่านให้ดีเถอะ อย่าให้ท่านแม่กับชิงเอ๋อร์ต้องมาเป็กังวล ตอนนี้ตระกูลเหยียนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง[3]ไปพร้อมกับซูหาน เราต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า และท่านยังนำปัญหากลับมาด้วยอีกหนึ่งอย่าง หากมีอีกครั้งมันจะทำให้ไปต่อไม่ได้”
“เป็ซูหานที่พาซือเยี่ยกลับมา ข้าไม่ได้เห็นด้วย...” เหยียนลั่วขมวดคิ้วแล้วกระซิบด้วยความไม่พอใจ หลังจากเงียบไปชั่วครู่ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “แต่เขาก็น่ารักดี...”
เมื่อคิดถึงเขา ใบหน้าที่ทั้งน่ารักและหล่อเหลาก็ปรากฏขึ้นในใจ
อิ้งหลีเหลือบมองเขาแล้วส่ายหัว
“ความสงบของเขาไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะสงบด้วย ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีผู้ที่รับรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อถึงวันที่เื่นี้รั่วไหลออกไป ตระกูลของเราจะเกิดปัญหา จะมีสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ตามมา”
“ข้าเข้าใจ” เหยียนลั่วขมวดคิ้วพร้อมกับซดเหล้า “เ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะจัดการเื่นี้เอง หากมีอะไรผิดพลาดก็แค่รีบพาเขาหนีไป... แต่ตอนนี้เ้าอยู่ผู้เดียวในเมืองหลวง จงระมัดระวังตัวด้วย”
ความจริงแล้วเหตุที่เขามาเมืองหลวงประการหนึ่งคือมาเที่ยวเล่น อีกประการหนึ่งคืออยากมาดูว่าอิ้งหลีเป็อย่างไรบ้าง แม้ว่าเขาจะชอบลอยไปลอยมา แต่ในใจก็ยังเป็ห่วงคนที่เขารัก
อิ้งหลียิ้มด้วยเข้าใจความนัยก่อนจะรินเหล้าให้เขาหนึ่งจอก
“พี่ใหญ่โปรดวางใจ สถานการณ์ต่าง ๆ ในเมืองหลวงข้าล้วนสามารถจัดการได้”
“เช่นนั้นก็ดี” เหยียนลั่วยกจอกเหล้าขึ้นดื่มอวยพรให้เขาหนึ่งจอก “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะเตรียมตัวกลับไปดูแลิฮ่วนสักหน่อย ในวันหน้าจะเริ่มดูแลกิจการของตระกูล”
เช้าวันรุ่งขึ้น อิ้งหลีเข้าวัง หลังจากเตรียมการเล็กน้อยเหยียนลั่วก็ออกจากเมืองเทียนซู มาอย่างเรียบง่าย ก็ไปอย่างเรียบง่ายเช่นกัน ใน่บ่ายเมื่ออิ้งหลีกลับมาจากวังก็ไม่เห็นเขาแล้ว
วันแต่งงานของเหยียนิฮ่วนคือกลางเดือนหก พรุ่งนี้เขาจะบอกเฟิงจิ้งอี้ไว้ก่อนล่วงหน้า แล้วค่อยดูว่าจะหยุดได้หรือไม่
เมืองฝูซัง
ตระกูลเหยียนกำลังเตรียมงานแต่งงานให้กับคุณชายจากตระกูลสายรองกันอย่างกระตือรือร้น ตระกูลเหยียนแข็งแกร่ง ร่ำรวยและมากอำนาจแต่คนในตระกูลกลับมีจำนวนไม่มากนัก งานแต่งของตระกูลสายรองคนในตระกูลหลักจึงพยายามทำให้ดีที่สุดเช่นกัน ไม่กี่วันมานี้ ฮูหยินเหยียนได้ให้บ่าวในจวนไปช่วยงานฮูหยินถัง แม้แต่ซือเยี่ยก็ยังถูกเหยียนิฮ่วนขอให้ช่วยตัดแต่งสวน
ซือเยี่ยชอบตัดแต่งต้นไม้มาก ทั้งยังมีความสามารถในด้านการจัดแต่งสวน ใน่ที่ได้เข้ามาอยู่ในจวนตระกูลเหยียน ไม่ต้องรอให้เหยียนลั่วสั่งการ เขาก็เข้าไปดูแลดอกไม้ต้นไม้ทั้งหมดในจวนตระกูลเหยียน ฮูหยินเหยียนรู้สึกพอใจในเื่นี้เป็อย่างมาก
“ซือเยี่ย”
ซือเยี่ยที่พับแขนเสื้อขึ้นและกำลังร้องเพลงเบา ๆ ขณะวางกระถางดอกไม้ลงบนชั้นวางอันใหม่หยุดมือลงเป็การชั่วคราว เมื่อหันไปมองเขาเห็นเหยียนิฮ่วนเดินโบกพัดเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
รู้สึกประหม่าเล็กน้อยภายในใจ กุมมือไว้ข้างหน้าพร้อมก้มคำนับ
“คารวะคุณชายถัง”
คนผู้นี้ไม่ได้ออกไปข้างนอกพร้อมกับสาวใช้ของคุณหนูตระกูลม่อเพื่อซื้อสิ่งของสำหรับจัดห้องหอหรอกหรือ เหตุใดจึงกลับมาเร็วเช่นนี้...
คิ้วต่ำดึงดูดสายตา[4] น้ำเสียงนุ่มนวลแต่ชัดเจน ใบหน้ามีความพิถีพิถัน ผิวพรรณผ่องใสท่ามกลางแสงแดดดูเปล่งประกายราวกับหยก เหยียนิฮ่วนเดินเข้ามาใกล้ เขาอดไม่ได้ที่จะจับตาดูใบหน้าที่บอบบางของซือเยี่ย ในสภาพอากาศร้อน หยาดเหงื่อจากใบหน้าของซือเยี่ยไหลลงมาจนถึงคางของเขา เมื่อเห็นลำคอเต่งตึงของเขา ดวงตาก็เปล่งประกายลุกโชนราวกับเปลวไฟ
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องสุภาพกับข้า? เหตุในจะต้องระมัดระวังถึงเพียงนี้”
เหยียนิฮ่วนยิ้มอย่างลึกซึ้ง ขึ้นเสียงเล็กน้อยอย่าง้าหยอกล้อ คนงามมักเป็ที่จดจำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ั้แ่ครั้งแรกที่ได้เห็นซือเยี่ยที่โต๊ะอาหารค่ำ คนน่ารักที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตนผู้นี้ก็ติดอยู่ในใจของเขาไม่เคยห่างหาย
เชิงอรรถ
[1] สี่ทะเลรวมเป็หนึ่ง (四海归服) หมายถึงคนในชาติที่สามัคคีกัน อีกทั้งยังสามารถตีความหมายได้ว่าทุกดินแดนร่วมเป็หนึ่งเดียว ด้วยคนจีนโบราณคิดว่าประเทศจีนล้อมรอบด้วยทะเลทุกทิศทางจึงเรียกรวมทะเลทั้งสี่เป็ทุกส่วนของโลก
[2] ปวดฟัน (牙疼) เป็การอุปมาถึงอาการพูดไม่ออก
[3] เดินหน้าหรือถอยหลัง (进退) มีความหมายแฝงถึงการรู้จังหวะในการก้าวเดิน
[4] คิ้วต่ำดึงดูดสายตา (低眉顺眼) อุปมาถึง คนที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตน ใช้อธิบายลักษณะของคนที่เชื่อฟังและมีทัศนคติที่ถ่อมตนต่อผู้อื่น
