เมื่อกลับไปในปรโลก เสวียนชิงที่ใช้ถุงกักิญญาผนึกิญญาตนนั้นแล้วจึงเดินข้างถนนกับเจียงเฉิงเยว่มือเปล่า ทั้งสองคนมีบทสนทนาเรื่อยๆ ระหว่างเดิน
เงียบไปสักพัก เสวียนชิงก็นึกอะไรได้ “เด็กคนนั้นอาจเกิดมาพร้อมกับดวงตาแห่ง์กระมัง?”
เจียงเฉิงเยว่มองแล้วเม้มปาก “พวกเราโชคดีเช่นนั้นเชียวหรือ? คนที่เกิดมาพร้อมดวงตาแห่ง์นั้นเป็หนึ่งในหมื่นเลยนะ”
เสวียนชิงกล่าว “หากเ้าเกิดในคืนเดือนดับ วันที่มืดมนหรือ่เวลาที่มืดครึ้ม...ความเป็ไปได้ที่จะมีชะตาหยินขั้นสูงสุดก็จะสูงขึ้นเล็กน้อย”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะเยาะ “แต่ก็มีเพียงคำอธิบายนี้ที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ หากเด็กคนนั้นไปฝึกฝนต้องประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่เป็แน่”
เสวียนชิงกล่าวต่อ “ทายาทสายตรงของจวนโหว[1] ล้ำค่าดุจทองคำ สามารถเกิดมามีชีวิตสูงศักดิ์และมั่งคั่ง ใครจะว่างไปรับความทุกข์ยากเช่นนั้นกัน?”
เจียงเฉิงเยว่ตอบ “ก็ใช่”
ขณะที่คนทั้งสองเดินและพูดคุยกัน กลับเดินผ่านผู้คุมิญญาสองสามคนที่มาส่งกลุ่มิญญาร้าย โดยนำิญญาร้ายกลับมาจากโลกมนุษย์ กลุ่มนี้ล้วนเป็ิญญาที่มีความอาฆาตแค้นด้วยการตายอย่างไม่ได้รับความเป็ธรรม อิงตามเหตุผลแล้วต้องส่งไปพิจารณาคดีในสิบยมราช เป็ท่าทีปกติที่จะร้องไห้ฟูมฟายะโด่าโหวกเหวกตลอดทาง ทว่าพวกเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
ไม่คาดคิดว่าหลังจากกระทบไหล่กัน หญิงชราในชุดผ้าใยป่านเรียบง่ายในกลุ่มิญญาชั่วร้ายกลับตื่นตระหนกขึ้นมา นางพยายามสลัดโซ่ตรวนที่พันธนาการไว้และหนีออกไป ผู้คุมิญญาที่ตามมาคุมตัวโบกแส้หนามสะบัดไปอย่างไม่เกรงใจจนเกิดเสียง ‘เพียะ’ ที่ดังผิดปกติ “ทำตัวดีๆ หน่อย!”
สตรีผู้นั้นกรีดร้องด้วยความหวาดผวา ยังคงไม่สนใจสิ่งใด ยืนกรานที่จะพุ่งออกมา ขณะเดียวกันก็ะโเสียงดัง “พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!”
ผู้คุมิญญาที่ตามมาโกรธเกรี้ยวจนทนไม่ไหว ก่อนก้าวไปข้างหน้าเพื่อปรนนิบัติด้วยแส้หนาม ตีจนกระทั่งสตรีผู้นั้นกลิ้งเป็ก้อนกลมบนพื้น ร้องโหยหวนและบิดตัวดิ้นรน ครู่ต่อมาผู้คุมิญญาดึงโซ่กักิญญา บังคับอย่าง้าจะลากนางไป
สตรีผู้นั้นร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวัง ะโเรียกเสียงดัง “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ นี่ข้าเอง! คือข้าเอง!”
ในที่สุด การเคลื่อนไหวนี้ดึงดูดความสนใจของเจียงเฉิงเยว่กับเสวียนชิงที่เดินผ่าน เจียงเฉิงเยว่หันศีรษะมองแวบหนึ่ง คนทั้งสองมองอย่างไม่แปลกใจนัก ิญญาชั่วร้ายที่เข้ามาในปรโลกแล้วะโบ้าๆ บอๆ ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยพบเจอ เสวียนชิงขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ เจียงเฉิงเยว่ตบไหล่เขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่าไปสนใจพวกเขาเลย ไปกันเถอะๆ เ้ารายงานผลแล้ว เราสองคนไปดื่มกันสองแก้ว…” เขายังไม่ทันพูดจบ กลับถูกถ้อยคำต่อไปของหญิงชราผู้นั้นทำให้ตกตะลึงจนนิ่งค้างไปทั้งร่าง
“พี่ใหญ่! ข้าคืออิ๋งเอ๋อร์! ข้าคืออิ๋งเอ๋อร์!”
ฝ่ามือของเจียงเฉิงเยว่นิ่งค้างอยู่บนไหล่ของเสวียนชิง ดวงตาเบิกกว้างในทันใด เขามองไปยังสตรีที่ผู้คุมิญญาหลายคนเฆี่ยนตีอยู่ในระยะไกลอีกครั้งอย่างไม่เชื่อถือ
อิ๋งเอ๋อร์?!
หญิงชราผู้นั้นกลิ้งบนพื้น ทว่าไม่ละพยายามม้วนแขนเสื้อของตนเองขึ้นอย่างสิ้นหวัง เผยให้เห็นเครื่องหมายสีแดงสดบนแขน ทั้งราวกับนกและสัตว์ร้าย พร้ะโกนอย่างคร่ำครวญ “พี่ใหญ่ ท่านยังจำกำไลเงินหยกขาวที่มอบให้ข้าได้หรือไม่? พี่ใหญ่ คือข้าเอง คือข้าเอง! ช่วยข้าด้วย!” ผู้คุมิญญาสองคนถูกนางทำให้โกรธจัด พวกเขาสะบัดแส้หนามสุดแรง พุ่งเข้าหาเงาร่างที่ผอมแห้งและโก่งงอของนางอย่างดุเดือด อิ๋งเอ๋อร์ถูกเฆี่ยนตีจนต้องร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า
“หยุดมือ!” เจียงเฉิงเยว่วิ่งไปตรงหน้านางเพียงไม่กี่ก้าว พลางคว้าแส้หนามที่สั่นไหวในอากาศราวกับสายฟ้าแลบแล้วดึงมันสุดแรงจนเกือบทำให้ผู้คุมิญญาทั้งสองบิน
ผู้คุมิญญาสองคนนั้นเดิมทีกำลังจะะเิ ทว่าหลังจากเห็นคนที่มาอย่างกะทันหันกลับนิ่งค้าง หนึ่งในนั้นใช้เวลานานจึงพูดอย่างลังเล “เป็...เป็ท่านหรือ?!”
เจียงเฉิงเยว่ไม่มีเวลาไปสนใจพวกเขา เขาประคองหญิงชราที่าเ็ขึ้นจากพื้นอย่างระมัดระวัง ปัดผมที่แผ่สยายสีเทายุ่งเหยิงข้างหน้าผากของนาง ้าจะแยกแยะใบหน้าในความทรงจำบนใบหน้าที่เหี่ยวย่นนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ขณะเดียวกันเขาถามอย่างตื่นเต้น “อิ๋ง...อิ๋งเอ๋อร์ เป็เ้าจริงหรือ?”
หญิงชราพยักหน้าทั้งน้ำตา จากนั้นยกข้อมือขึ้นให้เขาดู “พี่ใหญ่ ท่านยังจำกำไลเงินหยกขาววงนั้นที่มอบให้ข้าได้ใช่หรือไม่? ข้าขอโทษ ข้าทำมันหาย...แต่กำไลวงนั้นได้ทิ้งเครื่องหมายนี้ไว้บนมือของข้าในยามนั้น พี่ใหญ่จำมันได้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ก้มศีรษะมองเครื่องหมายสีแดงสดบนข้อมือผอมหุ้มกระดูกของนาง ใบหน้ายังงุนงง “เครื่องหมายหรือ? กำไลวงนั้น...ทิ้งมันไว้หรือ?”
อิ๋งเอ๋อร์พยักหน้า “ดูเหมือนว่ายามนั้นจะถูกไฟเผาเล็กน้อย อีกทั้งข้ายังสวมกำไลวงนั้นไม่ได้ ดังนั้นจึงเก็บมันไว้ข้างกายมาตลอด แต่ว่าต่อมา ต่อมา...” หลังพูดถึงตรงนี้ น้ำตาพลันไหลจากดวงตาทั้งสองของนาง นางบอกอย่างคร่ำครวญ “พี่ใหญ่ เป็ข้าที่ไร้ประโยชน์ ข้าขอโทษ”
เจียงเฉิงเยว่ไม่โทษนาง กลับขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดด้วยความสงสัย “เ้าบอกว่า...กำไลวงนั้นจะทิ้งเครื่องหมายไว้บนข้อมือ? เห็นได้ชัดว่าข้าเองก็เคยสวมมันเช่นกัน...” กลับไม่มีผลนี้สำหรับเขา? หรือว่าขอเพียงเป็บุรุษเท่านั้น หากสวมใส่จึงจะไม่มีผล?
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะมีเวลาระลึกถึงอดีต ผู้คุมิญญาหนึ่งในนั้นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับเจียงเฉิงเยว่ “เอ่อ ใต้เท้า...ิญญาชั่วร้ายตนนี้ต้องส่งไปที่วิหารแรก ด้วยกฎของปรโลก การขัดขวางสิ่งที่เป็ที่ยอมรับคือการไม่เคารพตี้จวิน ต่อให้ท่านมีพลังยิ่งใหญ่เพียงใดก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ตี้จวินขุ่นเคืองกระมัง?”
เจียงเฉิงเยว่หันกลับมามองพลางเผยสีหน้าไม่เป็มิตร เสวียนชิงรู้นิสัยของเขาดีจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อเกลี้ยกล่อม “ที่แห่งนี้อาจไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุยนัก ให้พวกเขาไปจัดการให้เสร็จสิ้นก่อน เ้าวางใจเถิด มีข้าอยู่ด้วย จะไม่ปล่อยให้คนผู้นี้ของเ้า...” เขามองหญิงชราบนพื้นแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วคลายอย่างรวดเร็ว จากนั้นพิจารณาการใช้ถ้อยคำ “ปล่อยให้ ‘สหายเก่า’ ของเ้าผู้นี้ได้รับความลำบากใจ”
เจียงเฉิงเยว่มองอีกฝ่าย ลอบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเล็กน้อย
โชคดีที่แม้ว่าอิ๋งเอ๋อร์จะมีสถานะเป็ิญญาชั่วร้าย ทว่ายามมีชีวิตอยู่ไม่ได้ทำอาชญากรรมร้ายแรง จึงชำระบาปยามมีชีวิตได้อย่างรวดเร็ว หลังจากออกมา ตามหลักแล้วนางสามารถกลับชาติมาเกิดอย่างใสสะอาดได้ ทว่านางกลับเลือกที่จะอยู่ในปรโลกต่อ อยู่เป็ทาสรับใช้ของเจียงเฉิงเยว่ ซึ่งเจียงเฉิงเยว่ขัดนางไม่ได้ นางปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณราวกับญาติสนิทจากก้นบึ้งของหัวใจ
ในเวลานั้น เป็่เวลาที่เจียงเฉิงเยว่มีชื่อเสียงขึ้นมาในนามของฉิงชางจวิน เขามีชื่อเสียงไปจนถึงสามโลก ่หลายสิบปีนั้นอิ๋งเอ๋อร์ก็อยู่เคียงข้างเขา เฝ้าดูเขาเปลี่ยนจากการเป็ิญญาชั่วร้ายไปยังาาผีต่ำต้อย ก่อนกลายเป็าาผี จนถึงขั้นที่เขาเข้าควบคุมเมืองอี้หลีและปกครองแดนเหนือ ชั่วขณะนั้น ความนิยมของเขาไม่มีใครเทียบเคียง ทุกคนในปรโลกล้วนรู้จักฉิงชางจวิน และทุกคนทราบดีว่าหญิงชราที่ไม่เด่นสะดุดตาผู้นี้ซึ่งอยู่เื้ัของฉิงชางจวินนั้น แม้ว่าจะเป็ทาสรับใช้กลับไม่ควรทำให้นางขุ่นเคือง ทั่วทั้งเมืองอี้หลี แม้แต่ทั่วทั้งแดนเหนือ นอกจากเจียงเฉิงเยว่เองแล้ว อิ๋งเอ๋อร์กลายเป็คนเดียวที่เอ่ยคำไหนต้องคำนั้น เื่จุกจิกในชีวิตประจำวันทั้งหมดของเจียงเฉิงเยว่ล้วนเป็นางที่คอยดูแลเช่นกัน ไม่ว่าเื่ใหญ่หรือเล็กล้วนไม่ต้องถึงมือของตน เจียงเฉิงเยว่นับว่านางเป็น้องสาวแท้ๆ ของตนเอง ทั้งสองคนค่อนข้างจะพึ่งพากันเพื่อการดำรงชีวิต
หลายสิบปีนั้นเจียงเฉิงเยว่ใช้ชีวิตอย่าง ‘สมบูรณ์’ อาศัยพลังิญญาจากการบ่มเพาะของตนเอง เมื่อเห็นใครแล้วอารมณ์ไม่ดีก็จัดการมันผู้นั้น ยกเว้นการต่อสู้ หากไม่ลงรอยกันจะกลายเป็การตะลุมบอนของทั้งสองฝ่าย เหล่าาาผีแห่งปรโลกทั้งหมดทั้งเคารพ เกลียดชัง และเกรงกลัวต่อ ‘ฉิงชางจวิน’ ผู้นี้ ซึ่งไม่ใช่เื่เกินจริงนักหากจะบอกว่าทุกวันนี้เป็่เวลาที่สวยงามที่สุดในชีวิตที่ผ่านมาเกือบสามร้อยปีของฉิงชางจวิน
หากจะกล่าวถึงสิ่งที่ควรค่าแก่การพูดถึงเพียงอย่างเดียวภายในนั้น คือเขาได้รู้จักหลิวเฟิง เจียงเฉิงเยว่ผ่านการฝึกฝนในขุมนรกแห่งปรโลก ซึ่งการบ่มเพาะนั้นเป็การต่อต้าน์ ชั่วขณะหนึ่งเขาค่อนข้างรู้สึกเดียวดายไร้คนเทียบเคียงในปรโลก เวลานั้นโยวหยวนยังไม่ปรากฏตัว และาาผีตนอื่นๆ ก็ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง หลิวเฟิงมีชื่อเสียงอยู่ภายนอก เจียงเฉิงเยว่ก็เหมือนกัน ต่างมีคุณสมบัติด้านการปกครอง อย่างไรก็ตาม หลิวเฟิงนั้นเป็คนสบายๆ ไม่มีความสนใจในการต่อสู้เพื่อชิงอำนาจแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าตัวจะอยู่ในปรโลก กลับละทางโลกและทุ่มเทใจเพื่อเต๋า ยิ่งกว่านั้นคือเอ่ยถ้อยคำที่โอ่อ่าว่าจะต้องใช้ตัวตนของผู้ฝึกฝนผีเลื่อนขั้นสู่แดน์
เจียงเฉิงเยว่ได้ยินคราแรก ราวกับว่าเขาได้ยินเื่ตลกที่น่าขบขันที่สุดในโลกนี้ เขารู้สึกเหยียดหยาม จึง้าต่อสู้กับอีกฝ่ายสองสามกระบวน พลางหาข้ออ้างมากมายเพื่อยั่วยุ อีกฝ่ายล้วนแต่รับปัญหาด้วยวิธีสี่ตำลึงปาดพันชั่ง[2] อย่างสบายๆ ไม่ยอมเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง ซึ่งทำให้ฉิงชางจวินหดหู่ใจเป็อย่างยิ่ง หลังจากใกล้ชิดกันเป็ระยะเวลาหนึ่ง นิสัยที่ตรงไปตรงมาและสบายๆ ของเ้าเมืองจู้ยงกลับส่งผลให้ฉิงชางจวินรู้สึกถูกชะตา ไปๆ มาๆ คนทั้งสองกลับกลายเป็สหายอย่างอธิบายได้ยาก
ยามหลิวเฟิงยังมีชีวิตเขาเป็ผู้ฝึกฝนธรรมดาผู้หนึ่ง ด้วยศาสตร์ทั้งหก[3] ที่ล้ำเลิศ ‘าาผี’ ทั้งใหญ่และเล็กเ่าั้ในปรโลก พวกต่ำต้อยที่มีความปฏิปักษ์ทะยานฟ้าและพวกหลอกลวงที่เผาพิณต้มกระเรียน[4] หลิวเฟิงซึ่งยอมรับว่าตนเองสง่างามย่อมคิดว่ามิอาจจับคู่กับคนเหล่านี้ได้ ถึงอย่างนั้น แม้ว่าเจียงเฉิงเยว่จะเคยอยู่ในตลาดระยะหนึ่งเช่นเดียวกัน ทว่ายามมีชีวิตยังคงได้รับการศึกษาที่ดี ศาสตร์ทั้งหกจำพวกนี้เป็วิชาบังคับอย่างไม่ต้องพูดถึง จึงมีหัวข้อสนทนาร่วมกันกับเขามากทีเดียว ทั้งยังมีเื่เบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับหมากล้อม เริ่มแสดงฝีมือบนระเบียงชมกวางในเมืองปี่อั้นจนข่าวคราวแพร่กระจายไปทั่วทั้งสามโลก
หลิวเฟิงมีรูปลักษณ์หล่อเหลา รสนิยมไม่ธรรมดา ลักษณะนิสัยดื้อรั้นไม่ยอมคน เป็อิสระ ช่างสอดคล้องกับนามของเขาเสียจริง โดดเด่นและสง่างามเป็อย่างสูง ทั้งยังมีความเป็เซียน ยามที่เจียงเฉิงเยว่จากไปเขายังคงเด็ก ใบหน้าไร้เดียงสาราวกับเด็กหนุ่มข้างบ้านอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับอาบสายลมฤดูใบไม้ผลิ[5] เมื่อทั้งสองคนเล่นหมากล้อมที่ลานชมกวาง หลิวเฟิงคึกคะนองขึ้นมาเพียงชั่วขณะ เขาวาดกระดานหมากรุกขนาดใหญ่ให้ผู้คนบนถนนด้านล่างของระเบียงชมกวาง จำลองสถานการณ์บนระเบียงอีกครั้ง เพื่อให้เหล่าคนสัญจรหรือผู้ชมในตลาดผีสามารถวิพากษ์วิจารณ์ระดับทักษะหมากรุกของพวกเขาได้ ดังนั้น ทุกคนจึงได้มองเห็นาาผีทั้งสองคนที่แต่งกายเรียบง่าย แขนเสื้อกระพือราวกับเซียนจากระยะไกลซึ่งนั่งตรงข้ามชนมือกัน มองบนกระดานหมากรุกในระหว่างตารางนิ้ว การต่อสู้เป็ไปอย่างวุ่นวายและสนุกสนาน
เวลานี้เอง ในบรรดาผู้คนที่ได้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของทั้งสองคน มีผู้คนจัดให้ทั้งสองเป็ ‘สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก’ เวลาต่อมา นามนี้ยิ่งแพร่กระจายไปทั่วสามทั้งสามโลก แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็ด้านรูปลักษณ์หรือว่าด้านพลังการบ่มพาะ คนทั้งสองล้วนคู่ควรที่จะได้รับ
ยามนั้นเจียงเฉิงเยว่ยังไม่ได้ใจร้อนทำเื่ไร้สาระทันทีทันใด ‘สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก’ ยังคงนับว่ามีชื่อเสียงเลื่องลือ ฉะนั้น เจียงเฉิงเยว่กับหลิวเฟิงจึงมีเหล่าผู้กล่าวขานถึงอยู่เื้ั มีทั้งบุรุษและสตรี เจียงเฉิงเยว่ไม่อาจพูดได้แม้แต่น้อยว่าตนเองไม่เพลิดเพลินกับความรู้สึกที่ถูกผู้คนสนับสนุน ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังจึงยุ่งยากไม่น้อย ชั่วขณะนั้น ความยุ่งยากหนึ่งที่ทำให้เจียงเฉิงเยว่ปวดศีรษะที่สุดมีนามว่าเย่หลาน
คุณหนูใหญ่ซึ่งถูกเอาใจจนนิสัยเสียผู้นี้ดื้อรั้นและเอาแต่ใจ มีภูมิหลังที่สูงส่งในโลกมาร เกิดในโหลวจัวแห่งปรโลก เลี่ยหยางจวิน บิดาของนางนั้นว่ากันว่าเป็ลูกหลานของมาร์า ซึ่งมีสายเืที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง เผ่ามารโหลวจัวคือตระกูลใหญ่ที่เรียกได้ว่าเป็อันดับต้นๆ ในหมู่มารแห่งปรโลก สรุปได้ว่า ฉิงชางจวินเองก็ไม่สามารถทำให้นางขุ่นเคือง
แล้วทำไมนางถึงกลายเป็ความยุ่งยากที่ยิ่งใหญ่ของฉิงชางจวิน เจียงเฉิงเยว่ยังคงหดหู่เล็กน้อยเมื่อนึกจนถึงทุกวันนี้ มีคนสนับสนุนนับเป็เื่ดี หากผู้สนับสนุนคุยโวโอ้อวดไปทั่ว...อาจทำให้ผู้คนสับสน แม้ว่าฉิงชางจวินจะไม่ถือสาที่ผู้อื่นยกยอปอปั้นเขามาแต่ไหนแต่ไร แต่การคุยโวอย่างไร้สมองที่ห่างจากความเป็จริงกลับทำให้เขาที่หน้าหนาเช่นนี้เกิดความละอายและเขินอายอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม ฉิงชางจวินชอบใช้ไม้อ่อนไม่ใช้ไม้แข็ง แม้ว่าจะทนไม่ไหวกลับอดใจตำหนิและลงโทษไม่ได้ ดังนั้นเหล่า ‘ผู้คุยโวเกี่ยวกับฉิงชางจวิน’ จึงนำนามของเขาไปโอ้อวดที่โลกมาร ด้วยถ้อยคำว่ามีเพียงฉิงชางจวินซึ่งมีความงามเพียบพร้อม พลังิญญาไร้ขอบเขต สมบูรณ์แบบไร้ข้อบกพร่องในสามโลกหกเหล่า ช่างบังเอิญที่ทางคุณหนูใหญ่แห่งเผ่ามารลำดับที่สี่ผู้นี้มีพี่ชายสามคน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็หนุ่มรูปงามในปรโลกด้วย มีคำกล่าวที่ว่า ‘บุปผาแห่งเผ่ามาร’ กับ ‘คุณชายสูงศักดิ์อันดับหนึ่งแห่งเผ่ามาร’ เพราะอย่างนั้น คุณหนูใหญ่ที่พบว่าพี่ชายของตนเองถูกข่มจึงไม่ยอมและมาโต้แย้งถึงที่
หาก ‘ความยุ่งยาก’ ของฉิงชางจวินอยู่ในแดน์หรือโลกมนุษย์ การจะเข้าสู่ปรโลกอาจไม่ง่ายนัก ไม่มีทางมาตอแยเขาได้บ่อยครั้ง ทว่าเผ่ามารในปรโลกนั้นไม่เหมือนกัน สามารถมาหาเื่ได้ทุกที่ทุกเวลา หากลงมือกับนางอาจก่อให้เกิดการต่อสู้ของสองเผ่า อีกทั้งหากอีกฝ่ายมาก่อกวนโดยตรงแล้วทนไม่ไหวจะต้องมีเหตุผลเพียงพอ ทว่า ยามที่อีกฝ่ายกำลังก่อกวนอยู่กลับจับพลัดจับผลูมาตกหลุมรักเขา เื่มันจึง...ซับซ้อนเป็อย่างยิ่ง
ดังนั้น เจียงเฉิงเยว่จึงไร้หนทางหนีอย่างสิ้นเชิง ทุกคนในปรโลกน่ะ ร่วมดูความครึกครื้นหลังอาหารเย็นอย่างเบิกบานใจเกี่ยวกับเื่รักๆ ใคร่ๆ ของฉิงชางจวิน
เจียงเฉิงเยว่อยากร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ช่างยุ่งยากเหลือทน
วันหนึ่ง ฉิงชางจวินยังคงอยู่ในห้วงความฝัน อิ๋งเอ๋อร์เข้ามายื่นมือจนสุดเพื่อเปิดม่านทั้งสองข้างเตียงของเขาอย่างเป็ธรรมชาติ เจียงเฉิงเยว่ห่อผ้าห่มอย่างแ่าบนเตียงแล้วขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม อิ๋งเอ๋อร์ยื่นมือมาผลักเขา เอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้ม “คุณชาย...ได้เวลาตื่นแล้ว”
เสียงที่ง่วงงุนและแหบแห้งของเจียงเฉิงเยว่ดังแว่วมาจากใต้ผ้าห่ม ซึ่งมีความออดอ้อนเล็กน้อย “อิ๋งเอ๋อร์คนดี ให้ข้านอนอีกหน่อยเถอะ”
อิ๋งเอ๋อร์กล่าว “มีแขกมาเยี่ยม”
เจียงเฉิงเยว่บอกด้วยความโกรธ “ให้เขารอ! แม้ตี้จวินจะมาข้าก็ไม่ลุก”
อิ๋งเอ๋อร์กล่าวอีกครั้ง “เป็คุณหนูเย่หลาน...” นางยังไม่ทันกล่าวจบ คนบนเตียงก็ลุกขึ้นเหมือนกับแมวที่หางไหม้ในทันที พลางคว้าเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายทั่วทิศทางอย่างวุ่นวาย ส่งเสียงร้องอย่างหวาดผวา “เสื้อคลุมข้าเล่า เสื้อคลุมข้าเล่า?”
------------------------
[1] จวนโหว หมายถึง บรรดาศักดิ์ที่เป็รองจากชั้นกง
[2] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง เป็สำนวน หมายถึง ใช้พลังที่เล็กน้อยเพื่อเอาชนะพลังที่มากกว่า
[3] ศาสตร์ทั้งหก หมายถึง รากฐานวิชาความรู้ในสมัยโบราณ
[4] เผาพิณต้มกระเรียน เป็สำนวน หมายถึง ทำให้เสียของ
[5] อาบสายลมฤดูใบไม้ผลิ หมายถึง กระจ่างแจ้ง
