การแพร่อย่างฉับพลันของโรคระบาดทำให้ผู้คนตื่นตัว แต่การปรากฏขึ้นของหนอนกู่ เห็นได้ชัดว่าเป็ฝีมืุ์
นี่ต้องมีความคับแค้นใจมากเพียงใด ถึงใช้ประโยชน์จากโรคระบาดนี้ลอบเข้ามา ทำราวกับชีวิตของผู้คนในเมืองทั้งเมืองไร้ค่า?
สำหรับคำถามนี้ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกงงงวยมากเช่นกัน
ในวันนี้ ภายในห้องหนังสือของจวนฉีอ๋อง
เล่อเทียนกำลังง่วนอยู่กับการแจกจ่ายยา แต่เขามักจะมองมู่จื่อหลิงซึ่งนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย
มู่จื่อหลิงบอกเพียงว่าผู้ป่วยโรคระบาดครั้งนี้ได้รับพิษจากกู่พิษ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็กู่พิษชนิดใด นางไม่แม้แต่จะหยิบหัวใจที่นางควักออกมาจากศพในวันนั้นขึ้นมาศึกษา
นอกจากนี้ หากภายในเมืองหลงอันในยามนี้มีเพียงโรคระบาดที่แพร่กระจายอย่างฉับพลัน ไม่มีเหตุการณ์ประหลาดอื่นๆ เกิดขึ้น เล่อเทียนคงสามารถสงบสติอารมณ์ได้ แต่เื่ที่เกิดขึ้นในยามนี้สำคัญมาก แต่มู่จื่อหลิงกลับยังมีเวลาว่างอ่านหนังสือ?
่นี้ดูเหมือนทุกคนจะยุ่งมาก แต่กับมู่จื่อหลิงหากนางไม่อ่านหนังสืออย่างสบายๆ ก็จะนอนหลับฝันดี
อย่างไรก็ตาม ใน่เวลาพิเศษเช่นนี้ การนอนหลับลึกของมู่จื่อหลิงไม่ใช่สิ่งที่น่าหดหู่ที่สุดสำหรับเล่อเทียน
สิ่งที่น่าหดหู่ที่สุดสำหรับเล่อเทียนคือ...
มู่จื่อหลิงจะนอนหลับลึกก็ไม่เป็ไร แต่ทุกครั้งที่นางตื่นขึ้น นางมักจะดูเหนื่อยล้าอยู่เสมอจนดูเหมือนว่านางไม่ได้หลับมานานหลายวัน นางไม่มีสมาธิและไม่มีเรี่ยวแรงเลย
สิ่งนี้ทำให้ในยามนี้เล่อเทียนผู้ซึ่งเคยสงบเยือกเย็นที่สุดไม่สามารถสงบได้อีกต่อไป
“หลิงเอ๋อร์...” เล่อเทียนเพียงแค่ทำความสะอาดและจัดระเบียบขวดยาที่ยุ่งเหยิงตรงหน้าตนอย่างง่ายๆ ก่อนรินชาใส่ถ้วยชาแล้วนำไปให้มู่จื่อหลิง
มู่จื่อหลิงส่ายหัว แล้วพูดอย่างงุนงง “หือ?” นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา ยังคงพลิกอ่าน 《ประวัติศาสตร์ทั่วไปของแผ่นดินิเยว่》 ตรงหน้าต่อไป
เล่อเทียนเห็นว่ามู่จื่อหลิงยังคงสงบผ่อนคลาย แต่สีหน้ากลับดูเหนื่อยเป็อย่างมาก เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “หลิงเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้ไม่นานนักเ้าเพิ่งนอนไปไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงยังเหนื่อยอ่อนเช่นนี้อีก?”
กล่าวถึงการนอน...ยามนี้นางอยากนอนมากจริงๆ!
แต่ยามนี้มันยากที่จะอธิบายเป็คำพูด นางไม่อาจแสดงความทุกข์ออกมาได้
มู่จื่อหลิงรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่ง
นางได้นอนเสียที่ไหน ่สองสามวันมานี้นางนอนหลับไม่สนิทเลย นางอยู่ในระบบซิงเฉินเพื่อศึกษาวิธีต่อสู้กับโรคระบาดนี้แทบตลอดเวลา
ไม่ พูดให้ชัดคือนางกำลังศึกษาวิธีจัดการกับกู่ในครั้งนี้
กู่ในคราวนี้ช่างแข็งกร้าว โรคระบาดเกิดจากพิษศพ ที่มีกู่ซึ่งเป็กู่ซากศพ
ยามพูดถึงกู่ซากศพชนิดนี้ มันเป็กู่ที่โเี้ไร้ความปรานี
เหตุใดถึงกล่าวว่ามันโเี้มาก?
เป็เพราะกู่ซากศพตัวนี้ ในครั้งนี้ไม่สามารถใช้ยาที่สกัดได้จากลมหายใจคางคกสีม่วงอีกต่อไป ไม่ง่ายเลยที่จะควบคุมให้มันออกมา
ดังนั้น นี่จึงเป็เหตุผลว่าเหตุใด มู่จื่อหลิงจึงควักหัวใจของศพชายชราขึ้นมา
มู่จื่อหลิงพลิกหน้าหนังสือรวดเร็ว แทนที่จะตอบคำถามของเล่อเทียนไปตามตรง นางกลับเปลี่ยนเื่ “ผ่านมาหลายวันแล้ว หลี่ซินหย่วนพบเบาะแสใดบ้างหรือไม่”
ยามพูดเช่นนั้น มู่จื่อหลิงวางหนังสือในมือลงอย่างไม่รีบร้อน เอื้อมมือขึ้นถูหว่างคิ้วที่เหนื่อยล้าของตน ในที่สุดก็หาวออกมาเบาๆ
ยามกล่าวถึงชายตุ้งติ้งผู้นั้น จู่ๆ เล่อเทียนก็รู้สึกไม่มีความสุข
เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย เย้ยหยันอย่างเ็า “กล่าวถึงชายไม่ใช่หญิงไม่เชิงผู้นั้น เขาส่งคนจำนวนหนึ่งไปค้นหา แต่ไม่รู้ว่าคนของเขาวิ่งวุ่นไปถึงที่ใด ไม่พบแม้กระทั่งเงาภูตผี ประสิทธิภาพของคนกลุ่มนั้นจึงย่อมลดลงตามไปด้วย”
มู่จื่อหลิงเพิ่งค้นพบว่า แม้การแสดงออกภายนอกของหลี่ซินหย่วนจะให้ความรู้สึกอยากทุบตี แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจริงจัง เขาเข้มงวดมาก ลงมือทำสิ่งต่างๆ จริงจัง
ตัวอย่างเช่นเื่ในครั้งนี้ แม้ว่าั้แ่กลับมาในวันนั้น มู่จื่อหลิงจะไม่ได้ไปเมืองหลงอันอีก แต่กุ่ยเม่ยก็ไปที่นั่นทุกวันเพื่อถามข่าวคราว เื่ไม่ได้เป็ดังที่เล่อเทียนกล่าวมาเลย
ยามนี้ฟังน้ำเสียงของเล่อเทียน...มู่จื่อหลิงแอบรู้สึกว่ามันตลก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ ติดตลกเล็กน้อย “ฟังจากที่เ้ากล่าวมา ดูเหมือนคนที่เ้านึกถึงจะไม่ใช่ชายไม่ใช่หญิงไม่เชิงผู้นั้นนะ?”
ขณะพูด มู่จื่อหลิงยืดตัวเล็กน้อย หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ จากนั้นจึงก้มหน้าลง พลิกดูหนังสือในมือต่อ
“เ้า...ข้าจะย้ำเป็ครั้งสุดท้าย ข้าเป็ผู้ชาย ผู้ชายธรรมดา!” เล่อเทียนโกรธจนแทบะเิ เขากำลังจะใช้พัดด้ามจิ้วในมือเคาะหน้าผากมู่จื่อหลิงสักครั้ง
“หยุด! ในที่สุดก็เจอแล้ว!” จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็หยุดพลิกหนังสือในมือ ยกมือขึ้นกันพัดด้ามจิ้วที่เล่อเทียนกำลังจะใช้เคาะหัวนาง
จากนั้นนางจึงเพ่งสายตาไปที่หน้าหนังสือ มองดูอย่างจริงจัง คิ้วของนางแทบจะขมวดเป็ปม
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของมู่จื่อหลิง หัวใจของเล่อเทียนก็สั่นสะท้าน นางจริงจังขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้เขางงยิ่งนัก “มีอะไรหรือ? เ้าพบอะไร?”
ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา มู่จื่อหลิงอ่าน 《ประวัติศาสตร์ทั่วไปของแผ่นดินิเยว่》 เล่มหนานี้อยู่ตลอดเวลา ในบางครั้งนางยังถามเขาถึงบางสิ่งที่เกิดขึ้นในแผ่นดินใหญ่ใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา
หากไม่ใช่เพราะข่าวลือก่อนหน้านี้ที่ว่ากันว่ามู่จื่อหลิงไม่เคยก้าวออกจากประตูจวนเลย ทั้งยังไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกภายนอก เล่อเทียนคงสงสัยว่ามู่จื่อหลิงไม่ได้มาจากโลกนี้
หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วยาม มู่จื่อหลิงก็ละสายตาจากหนังสือ สีหน้าของนางเคร่งขรึมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน “นี่! ลองดูตรงนี้”
ขณะพูด นางก็วางหนังสือที่นางเพิ่งอ่านลงบนโต๊ะให้อยู่ในระดับสายตาของเล่อเทียน
เล่อเทียนมองเพียงแวบเดียว ก็ตระหนักได้ว่าแท้ที่จริงแล้วมู่จื่อหลิงกำลังตรวจสอบพิษกู่ที่เคยระบาดในหมู่ประชาชนในยามนั้น
มีการเขียนไว้อย่างชัดเจนในหน้านี้ ว่าในเวลานั้นทั้งสี่แคว้นมีมติเป็เอกฉันท์ให้หยุดยั้งการแพร่กระจายของหนอนกู่ แต่ทุกคนทราบถึงประเด็นนี้มานานแล้ว
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี สถานการณ์จริงเป็ที่แน่นอนว่า...ฮ่องเต้เหวินอิ้นเป็ผู้นำคนแรกในการปราบหนอนกู่ ต่อมาอีกสามแคว้นเห็นว่าวิธีการของพระองค์ได้ผล จึงทำตามเช่นกัน
“นี่...” ใจเล่อเทียนสั่นสะท้านรุนแรง ทันใดนั้นดูเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาอดไม่ได้ที่จะมองมู่จื่อหลิงด้วยความรู้สึกเศร้า
ทั้งสองมองหน้ากัน และในยามนี้ ทั้งคู่เห็นความกลัวและความใในดวงตาของกันและกัน
มู่จื่อหลิงรับรู้จากกุ่ยเม่ยมาก่อนแล้วว่า ต้นกำเนิดของหนอนกู่ ในแผ่นดินิเยว่นั้นมาจากพลังมืดของนักปราชญ์ผู้แสวงหาความเป็ะมานานหลายปีจากนิกายกู่ตู๋
ในยามนั้น นิกายกู่ตู๋เป็หนึ่งในผู้นำแห่งสามนิกายใหญ่ในแผ่นดินิเยว่ แต่กลับถูกปราบปรามโดยอีกสองนิกายเพียงเพราะถูกราชนิกายของสี่แคว้นตัดขาด
ดังนั้นในปีนั้นนิกายกู่ตู๋ที่มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่วยุทธภพจึงหายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วข้ามคืน ผู้คนในนิกายไม่เสียชีวิตก็หลบหนี ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในใต้หล้า
ในยามนี้ ในใจมู่จื่อหลิงซับซ้อนมาก นางใยิ่งกว่ายามค้นพบกู่ซากศพเสียอีก นางมองเล่อเทียน ถามด้วยสีหน้าแปลกๆ ว่า “เ้าคิดว่านี่เป็การล้างแค้นจากเศษซากที่เหลืออยู่ของนิกายกู่ตู๋หรือไม่?”
ยามนางค้นคว้าภายในระบบซิงเฉินใน่สองสามวันที่ผ่านมา นางค้นพบว่ากู่ซากศพไม่ได้มีอยู่แค่ในคนหรือสองคนเท่านั้น แต่ในร่างเด็กน้อยที่พวกเขาช่วยชีวิตไว้ในวันนั้นก็ได้รับพิษกู่ด้วยเช่นกัน
นั่นหมายความว่า ในยามนี้หากคนทั้งเมืองหลงอันติดโรคระบาด พวกเขาย่อมได้รับผลกระทบจากพิษกู่ซากศพไปด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลย ยามมู่จื่อหลิงพบว่ามีหนอนกู่อยู่ในโรคระบาดที่เมืองหลงอัน นางก็เดาเหตุผลได้บ้างแล้ว
ฮ่องเต้เหวินอิ้นเป็ผู้เริ่มเอาชนะนิกายกู่ตู๋ในยามนั้น ยามนี้ทั้งเมืองหลงอันราวกับตกอยู่ใน่น้ำลึกไฟร้อน [1]...ตัดสินจากสถานการณ์ในยามนี้ เหมือนเป็การล้างแค้นจริงๆ
“ดูเหมือนจะเป็ไปได้!” เล่อเทียนพยักหน้า ทั้งประหลาดใจและไม่แน่ใจ
หากเป็เช่นนี้จริงๆ...มู่จื่อหลิงไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงสถานการณ์ต่อไปอีกแล้ว นางลูบคางอย่างใช้ความคิด ก่อนพูดขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน “แต่หนอนกู่ในครั้งนี้ทรงพลังยิ่งนัก!”
หนอนกู่ควบคุมจิตใจที่ฮองเฮาใช้ก่อนหน้านี้ เป็เพียงกู่ปรสิตที่ใช้เพียงความรู้ระดับกุมารเวชศาสตร์ [2] เท่านั้น มันเป็เื่เล็กน้อยมากจริงๆ เมื่อเทียบกับเวลานี้
มีบางอย่างในคำพูดของมู่จื่อหลิง แต่นอกเหนือจากความเข้าใจในเื่นี้ของนางแล้ว ก็ไม่มีใครเข้าใจได้อีก
ทันทีที่กล่าวถึงเื่นี้ เล่อเทียนเม้มปากพูดไม่ออกอดไม่ได้ที่จะพึมพำเบาๆ “แล้วสิ่งที่ได้จากศพชายชราวันนั้นเล่า? เหตุใดข้าไม่เห็นเ้าหยิบมันออกมาเพื่อการศึกษาเลย? นอกจากจะอ่านหนังสือทุกวัน ก็ยังรู้...”
เล่อเทียนไม่ได้พูดในสิ่งที่เขาลังเลที่จะพูด ด้วยเขาไม่มีความกล้าที่จะพูดออกมา แต่มู่จื่อหลิงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร
ชายผู้นี้กำลังบ่นกับนาง...ทันใดนั้นมู่จื่อหลิงก็อยากจะกลอกตาใส่เขา
เล่อเทียนพูดเช่นนี้ เหตุใดถึงราวกับกำลังกล่าวว่า ใน่ไม่กี่วันมานี้นางทำเพียงนอนอย่างเกียจคร้าน?
ในความเป็จริงมู่จื่อหลิงดูเป็เช่นนั้นจริงๆ นั่นคือสิ่งที่เล่อเทียนคิดจริงๆ ในยามนี้
ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาเข้าหอปรุงยาหลายแห่งเพื่อรวบรวมวัตถุดิบปรุงยา ฉีหวางเฟยผู้นี้กลับสะดวกสบาย นางทำตัวเบื่อหน่ายอยู่ในจวนฉีอ๋อง ไม่อ่านหนังสือก็นอนหลับ
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ทรงฝากฝังเื่นี้ไว้ให้ฉีหวางเฟยแก้ไข แต่นางกลับเป็คนที่สบายที่สุด...ไม่ว่าผู้ใด หากกล่าวถึงประเด็นนี้ ในใจย่อมรู้สึกถึงความไม่เหมาะสม!
มู่จื่อหลิงหยิบภาชนะใสเล็กๆ ซึ่งมีขนาดเท่าเหรียญทองแดงออกมาจากแขนเสื้อแล้วโยนไปให้เขาโดยตรง โดยไม่สนใจสายตาตำหนิของเล่อเทียน
“นี่คืออะไร?” เล่อเทียนรับมาอย่างรวดเร็ว ถือไว้ต่อหน้า แล้วมองดูอย่างระมัดระวัง แต่ในเวลาต่อมา เขาแทบจะถือสิ่งไร้น้ำหนักชิ้นนี้ไม่ไหว
เห็นได้ว่า สิ่งที่อยู่ในภาชนะใสขนาดเล็กคือหนอนตัวน้อย ตัวยาวน้อยกว่าหกมิลลิเมตร ตัวของมันมีรูปร่างเป็เรียวรี ส่วนหลังโค้งขึ้นจนคล้ายครึ่งวงกลม
ยามมองแวบแรก หนอนตัวนี้ดูเหมือนเต่าทองเจ็ดจุด [3]
หากมองอย่างใกล้เข้าไป มันกลับมีเท้าเรียวยาวจำนวนนับไม่ถ้วน ร่างกายปกคลุมด้วยขนละเอียดหนาแน่น บนหัวที่แทบมองไม่เห็นดูเหมือนจะมีเขี้ยวแหลมงอกเรียงเป็แถว
ผ่านภาชนะใสบางๆ ยังสามารถได้ยินเสียงจือจือ ดังจากปากของมันอย่างต่อเนื่อง
ในยามนี้ ปากของมันพ่นไหมพิษสีดำที่ไหลออกอย่างต่อเนื่องราวสายน้ำ หลังจากพิษถูกพ่นออกมา พิษนั้นกลับจางหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
ดูเหมือนหนอนตัวนี้จะใช้กระบวนการส่งต่อพิษ ในยามนี้เล่อเทียนกำลังจ้องมองการพ่นพิษอย่างตั้งใจ หากไม่ใช่เพราะภาชนะใบเล็กปิดฝาแน่น เกรงว่ามันอาจจะคลานออกมาแล้ว
“หรือว่า...นี่คือกู่ที่อยู่ในโรคระบาด?” นิ้วของเล่อเทียนที่จับภาชนะขนาดเล็กสั่นเล็กน้อย เขาตกตะลึง มันเหลือเชื่อมาก
“กู่ซากศพ” มู่จื่อหลิงเหลือบมองเขา พูดอย่างเคร่งขรึม “มันถูกแยกออกมาจากหัวใจของคนผู้นั้น หากข้าเดาไม่ผิด ในยามนี้ทุกคนที่ติดโรคระบาดในเมืองหลงอัน ล้วนมีบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในหัวใจ”
เล่อเทียนตกตะลึงอีกครั้ง
ไม่แปลกเลยที่มู่จื่อหลิงฝ่าเอาหัวใจของคนผู้นั้นออกมาโดยปราศจากความละอายใดๆ ทั้งยังกล้านำมันกลับมาอย่างไร้ยางอาย
แต่มู่จื่อหลิงเอากู่พิษนี้ออกมาได้อย่างไร?
และนอกจากนี้...นางรู้ได้อย่างไรว่าในยามนั้นภายในหัวใจของชายผู้นั้นมีบางสิ่งซุกซ่อนอยู่?
ไหมพิษที่สิ่งนี้สำรอกออกมา แค่แวบเดียวก็แทรกซึมเข้าร่างแล้ว...ยามแยกมันออกมาจะอันตรายเพียงใด!
ในขณะที่มองดูสิ่งที่อยู่ในมือ เล่อเทียนก็เหลือบมองมู่จื่อหลิงอย่างลับๆ หัวใจที่ปั่นป่วนบีบแน่นจนเหงื่อเย็นหลั่งริน
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] น้ำลึกไฟร้อน (水生火热) เป็สำนวน มีความหมายว่า สถานการณ์นั้นวุ่นวายลำบากมาก
[2] กุมารเวชศาสตร์ (小儿科) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า วิชาความรู้ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน หากคำตรงตัวจะมีความหมายว่าวิชาว่าด้วยโรคเด็ก
[3] เต่าทองเจ็ดจุด (七星瓢虫) เป็แมลงเต่าทองที่มีจุดด่างดำ 7 จุดบนปีก ตัวมีสีแดงเป็มันวาว