หอเมิ่งฮวาเป็หอนางโลมขึ้นชื่อของเมืองหลวงแห่งนี้ และยังเป็สถานที่ที่หลีเฉินกล่าวว่ากงเจวี๋ยมักจะมาบ่อยครั้ง
ชื่อของหอแปลตามตัวอักษรคือบุปผาในนิทรา งดงามเหนือจริง จนชวนนึกให้สงสัยเหตุใดคนโบราณจึงตั้งชื่อได้แปลกตาน่าหลงใหลถึงเพียงนี้
“หากนำไปใช้เป็ชื่อเื่ คงไม่เลว” จ้าวเหม่ยหลินพึมพำเบาๆ ขณะเท้าก้าวเข้าไปด้านใน
บรรยากาศภายในถูกแต่งแต้มด้วยผ้าโปร่งสีแดงสดที่พลิ้วไหว กลิ่นเครื่องหอมอบอวลชวนให้เคลิบเคลิ้ม หญิงงามนับสิบต่างยิ้มแย้มเข้ามาต้อนรับแขกหนุ่มไม่เว้นแต่ละวัย
ทว่าเมื่อมองเลยไปอีกมุมหนึ่งของหอ กลับเห็นโซนพิเศษที่ดูเงียบสงบกว่า บรรยากาศคล้ายจะเป็พื้นที่สำหรับหญิงงามชั้นสูงหรือแขกวีไอพีโดยเฉพาะ
เหนือกว่าพื้นที่สำหรับแขกวีไอพียังมีห้องพักส่วนตัวบนชั้นสองที่ถูกจัดไว้สำหรับบุคคลสำคัญ
จ้าวเหม่ยหลินยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าขึ้นบันได คนผู้นั้นเป็ถึงองค์ชายสูงศักดิ์ย่อมได้รับการต้อนรับที่พิเศษยิ่งกว่าผู้อื่นเป็แน่
แต่เพียงก้าวเท้าถึงขั้นบันไดสุดท้าย จ้าวเหม่ยหลินก็ถูกขวางทางโดยชายฉกรรจ์สองคน ซึ่งดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็คนของหอแห่งนี้
“ข้าเพียงมาตามหาคนเท่านั้น” นางเอ่ยเสียงเรียบ พลางส่งยิ้มแห้งๆอย่างไม่กล้าแสดงพิรุธ
ไม่ทันได้คำตอบใดจากชายสองคน เสียงทุ้มต่ำของชายอีกคนก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “คุณชายน้อยผู้นี้ ไม่ทราบว่ากำลังตามหาใครกันหรือ”
จ้าวเหม่ยหลินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางสวมชุดของหลีเฉินปลอมตัวเป็บุรุษ จึงรีบหันไปหาชายหนุ่มที่เอ่ยถามด้วยสีหน้าปั้นแต่ง
“ข้ามาตามหาพี่ชายขอรับ” นางตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แววตาแน่วแน่ไม่ให้ผิดสังเกต
ชายผู้นั้นกวาดตามองนางั้แ่หัวจรดเท้า ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วโอบไหล่นางราวกับรู้จักกันมานาน
“ไปกับข้าเถอะ” เขากล่าวเสียงต่ำ พร้อมพาจ้าวเหม่ยหลินเดินผ่านบรรดาคนของหอที่ไม่กล้าเอ่ยทัก เพราะเห็นป้ายผ่านทางในมือของชายหนุ่ม
จ้าวเหม่ยหลินได้แต่ทำหน้ามึนงง หัวเราะแห้ง ๆ กลบเกลื่อน แล้วจำใจเดินตามชายแปลกหน้าเข้าไปยังชั้นสอง นางไม่คิดว่า์จะเป็ใจถึงเพียงนี้
ระหว่างทางชายหนุ่มที่กำลังเดินหาห้องของตนเองก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็กันเอง “ดูท่าพวกเราจะวัยไล่เลี่ยกัน แถมต่างก็ชื่นชอบสาวงามเหมือนกันด้วย น่ายินดีที่ได้พบเจอจริงๆ”
เขาหยุดฝีเท้าแล้วหมุนตัวกลับมามองจ้าวเหม่ยหลิน ก่อนยิ้มบางๆแล้วกล่าวต่อ “ว่าแต่…เ้ายังไม่ได้บอกชื่อกับข้าเลย”
“ข้าชื่อจ้าวเหม่ย…” จ้าวเหม่ยหลินยังพูดไม่ทันจบ ก็ฉวยจังหวะก้าวไปด้านหลังแล้วใช้สันมือตีเข้าที่หลังคอของเขาอย่างที่เคยเห็นในซีรีส์ใดสักเื่
แต่ใครจะคิดว่ามันจะได้ผลจริงชายหนุ่มทรุดฮวบหมดสติทันที
ร่างเล็กเบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความใ ก่อนรีบลากร่างของเขาเข้าไปซ่อนในห้องว่างใกล้ๆ
“ขอโทษด้วย ข้าไม่ชอบคนพูดมากจริงๆ” นางพึมพำเบาๆ พลางปัดมือ จากนั้นก็เดินหน้าตามหากงเจวี๋ยต่อ
ชั้นสองของหอเมิ่งฮวามีทั้งหมดยี่สิบเอ็ดห้อง จ้าวเหม่ยหลินใช้เวลาเดินสำรวจทีละห้อง จนครบยี่สิบห้องก็ยังไม่พบเงาของกงเจวี๋ยเลยแม้แต่น้อย
เมื่อมาถึงห้องสุดท้าย นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสียงหวานใสที่เล็ดลอดออกมาพร้อมเสียงสะอื้นจากด้านใน บ่งบอกได้ไม่ยากว่าหญิงงามในห้องคงกำลังรับแขกอยู่
จ้าวเหม่ยหลินขมวดคิ้ว แล้วตัดสินใจไม่รบกวน พวกเขา นางจึงเดินเลยผ่านไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะหันหลังกลับลงบันไดไปยังชั้นล่าง
ทว่าจู่ๆจ้าวเหม่ยหลินก็รู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมา นางจึงจำต้องเดินวนตามหาห้องน้ำ นางสอบถามจากผู้คนแถวนั้น จนได้คำตอบว่าหอเมิ่งฮวามีเพียงห้องน้ำของบุรุษเท่านั้น
ร่างเล็กยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องน้ำพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจรอให้ทุกคนจากด้านในทยอยออกมาจนหมดเสียก่อน แล้วจึงค่อยเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ใจของนางเต้นแรงทั้งความอายและความกังวล
แต่ใครจะคาดคิดว่าเมื่อเข้ามาด้านในแล้วยังมีบุรุษคนหนึ่งยืนอยู่ จ้าวเหม่ยหลินชะงักฝีเท้าทันทีคิดจะหันกลับออกไป แต่แผ่นหลังของชายผู้นั้นกลับดูคุ้นตานัก
ด้วยความสงสัยร่างเล็กจึงเดินอ้อมไปด้านหน้าของชายผู้นั้นอย่างเงียบเชียบ ทว่าเมื่อสบตากับเขา กลับต้องเบิกตากว้าง
กงเจวี๋ยในสภาพใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุรา ดวงตาครึ้มปรือ และยังคงยืนปัสสาวะอยู่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ชายหนุ่มเมามายั้แ่เช้าอย่างกับตาแก่แถวบ้าน
“มองอะไรอยู่ ัของข้าช่างน่าประทับใจนักหรือไร” เขาเอ่ยขึ้นเสียงอ้อแอ้ เมื่อเห็นว่ามีหนุ่มน้อยกำลังยืนจ้องอยู่ข้างตัว
ดูเหมือนกงเจวี๋ยจะยังไม่รู้ว่านางคือใคร จ้าวเหม่ยหลินจึงเอ่ยเตือนเสียงเบา “ข้าเอง… จ้าวเหม่ยหลิน”
กงเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนขยี้ตาตัวเองไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็น จากนั้นก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เพื่อมองให้ชัด แล้วจึงยกมือขึ้นแตะใบหน้าร่างเล็กอย่างไม่คิดอะไร “ซาลาเปาน้อยจริงด้วย”
ร่างเล็กเบิกตากว้างนึกขึ้นได้ว่ามือของเขาเพิ่งจับของตัวเองอยู่ก่อนหน้านี้ นางจึงรีบสะบัดหน้าหนีทันที “อี๋! มือสกปรกนั่นอย่าแตะหน้าข้านะ!”