“ให้ข้าทำลายตบะตัวเองงั้นหรือ ไม่คิดว่าจะคำร้องขอจะโง่เง่าเพียงนี้ หรือเ้าเป็คนเขลา?”
อย่างไรก็ตามตอนที่ผู้คนคิดว่าเย่เฟิงยอมฟังซวนหยวนจวิ้นอย่างว่าง่าย แต่กลับได้ยินเสียงดังจากปากของเย่เฟิง ทำให้พวกเขานิ่งอึ้ง กล้าด่าซวนหยวนจวิ้นว่าเป็คนเขลา ชายผู้นี้ช่างใจกล้ายิ่งนัก
“สวะ ดูท่าเ้าพูดจาเยี่ยงนี้คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!”
ซวนหยวนจวิ้นได้ยินเช่นนั้นก็ะเิโทสะ พร้อมพลังอันแกร่งกล้าพวยพุ่งออกจากร่างเขาไปเยือนเย่เฟิง เมื่อเขาเดินออกมาก็มีปราณแหลมคมปกคลุมร่างหมายจัดการเย่เฟิง
แต่ขณะนั้นมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งเดินฝ่าหมอกจากป่าไผ่ลึกมาทางนี้ พวกนางทุกคนสวมชุดผ้าไหมสีฟ้า ความงามเฉิดฉาย ซึ่งเป็หญิงสาวกลุ่มหนึ่ง พวกนางเดินมาทางนี้อย่างเชื่องช้า ส่วนหญิงผู้เป็หัวหน้า ไม่ว่าจะเป็หน้าตาหรือรูปลักษณ์ก็ล้วนเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
“ช่างสวยเหลือเกิน ไม่ด้อยไปกว่าเทพธิดาหลันเซียงแม้แต่นิดเดียว” คนผู้หนึ่งกล่าวขณะมองหญิงผู้เป็หัวหน้าด้วยท่าทีประหลาดใจ
“เป็หนิงเซียง ไม่ว่าจะเป็หน้าตา ศักยภาพ พร์ หรือพลังต่อสู้ก็ล้วนโดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์เทียนเซียงหลิน เรียกได้ว่าเป็สตรีผู้เพียบพร้อม ประหนึ่งนางฟ้าบน์ชั้นเก้าก็ไม่ปาน” ชายผู้หนึ่งเอ่ยปากชมไม่หยุด หนิงเซียงคือศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของเทียนเซียงหลิน เมื่อนางออกข้างนอกก็มักจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก
“อัจฉริยะของกองกำลังชั้นยอดแห่งจักรวรรดิจิ่วโยวไม่ธรรมดาตามคาด แม้แต่อัจฉริยะเ่าั้ในแดนชิงอวิ๋นก็เทียบไม่ติด ถ้าดูจากบุคลิกภาพอย่างเดียว หนิงเซียงคือหนึ่งในอัจฉริยะยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา กระทั่งโดดเด่นยิ่งกว่าศิษย์สายตรงของรองเ้าสำนักชิงอวิ๋นอย่างซือคงเสวียน”
เย่เฟิงหันไปมองหนิงเซียงเช่นกัน ก่อนแววตาอดลุกวาวไม่ได้ หนิงเซียงโดดเด่นจริง ๆ แม้แต่เย่เฟิงก็ปฏิเสธข้อนี้ไปไม่ได้
ซวนหยวนจวิ้นถูกความสวยของหนิงเซียงดึงดูด จากนั้นเขาหันไปมองเย่เฟิงอีกครั้งด้วยสายตาเ็า “ถือว่าเ้าดวงดี!”
เมื่อกล่าวจบ ซวนหยวนจวิ้นก็สะบัดชายเสื้อก่อนจะเดินไปทางหนิงเซียง
“หนิงเซียงสบายดีไหม ไม่พบกันเสียนาน ข้าคิดถึงเ้ายิ่งนัก” เมื่อซวนหยวนจวิ้นเดินมาถึงเบื้องหน้ากลุ่มเทพธิดาเทียนเซียงหลิน เขาก็กล่าวพลางยิ้มให้หนิงเซียง
“อืม” หนิงเซียงพยักหน้าพลางยิ้ม เห็นชัดว่าทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมาก
ซวนหยวนจวิ้นมีพร์ไม่ธรรมดา เป็ศิษย์สายตรงของสำนักซวนหยวนซึ่งเป็กองกำลังใหญ่แห่งจักรวรรดิจิ่วโยว ไม่ว่าด้านไหนก็ไม่มีเหตุผลที่หนิงเซียงจะต้องรังเกียจอีกฝ่าย
“ไม่ทราบว่าคุณชายซวนหยวนมาเทียนเซียงหลินข้าครั้งนี้มีธุระอันใดหรือ?” หนิงเซียงเอ่ยถาม และในทุกอิริยาบถของนางยังแฝงไว้ซึ่งความสง่างาม
“แน่นอนว่าฝ่าด่าน” ซวนหยวนจวิ้นบอกจุดประสงค์ของตนเองอย่างไม่ปิดบัง
“หลังจากฝ่าด่านเล่า?” หนิงเซียงเอ่ยถาม
“เมื่อฝ่าด่านสำเร็จ ข้าจะพาเทพธิดาหนิงเซียงกลับสำนักซวนหยวน ไม่ทราบว่าเทพธิดาจะยอมหรือไม่” ซวนหยวนจวิ้นกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“ฝ่าด่านให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หนิงเซียงได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงระเรื่อ ซึ่งนางไม่ตอบแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่ผู้คนรอบข้างกลับดูออกว่าหนิงเซียงไม่ได้ขับไล่ซวนหยวนจวิ้น หากซวนหยวนจวิ้นฝ่าด่านทั้งสามของเทียนเซียงหลินสำเร็จและทำคะแนนได้ดี หนิงเซียงอาจจะตอบตกลงก็เป็ได้ นี่ทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกอิจฉาริษยา สตรีผู้งดงามอันดับหนึ่งแห่งเทียนเซียงหลินเป็การมีอยู่ที่สูงศักดิ์ หากได้แต่งกับหญิงผู้นี้ก็จะนำเกียรติยศและความรุ่งโรจน์มาสู่วงศ์ตระกูล ขณะเดียวกันตนเองก็ได้เพลิดเพลินไปกับความสุขที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่ามองทางไหนก็ล้วนแต่มีพลังดึงดูดมหาศาล
“ศิษย์น้องหลันเซียงกลับมาแล้วหรือ เมื่อหลายวันก่อนเ้าหนีไปไหนกันแน่ ผู้าุโในสำนักต่างตามหาตัวเ้ากันให้วุ่นเลยทีเดียว” ขณะนั้นหนิงเซียงเหลือบมองไปที่หลันเซียง ก่อนจะเอ่ยถามเช่นนั้น
“คารวะศิษย์พี่หนิงเซียง!” หลันเซียงเห็นหนิงเซียงพูดกับตัวเองก็เดินไปข้างหน้าเล็กน้อย ก่อนจะทำความเคารพ
“มีธุระส่วนตัว จึงต้องไปข้างนอก ทำให้เหล่าผู้าุโต้องเป็ห่วงแล้ว” หลันเซียงกล่าว แต่นางไม่ได้บอกเื่ที่ตนไปหาเย่เฟิงที่อาณาจักรจ้าว
“ธุระส่วนตัว?”
หนิงเซียงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีธุระส่วนตัวจึงออกจากสำนัก เช่นนั้นต้องได้รับโทษสถานหนัก ไยศิษย์น้องทำเช่นนี้เล่า?”
เมื่อกล่าวจบ หนิงเซียงถอนใจเบา ๆ แม้ภายนอกดูเป็ห่วงหลันเซียง แต่ความเป็จริงหนิงเซียง หลันเซียง และชิงเซียงไม่ค่อยถูกกันเท่าไร แม้กระทั่งชิงเซียงถูกจับขังคุก หนิงเซียงก็ไม่มีท่าทีใด ๆ ราวกับไม่เกี่ยวข้องกับนาง
“เมื่อการฝ่าด่านจบลง ข้าจะไปหาเ้าสำนักเอง” หลันเซียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แน่นอนนางดูออกว่าหนิงเซียงดูแคลนพวกนาง ดังนั้นตอนที่หลันเซียงเผชิญหน้ากับหนิงเซียง นอกจากมารยาทที่ควรพึงมีแล้ว นางก็ยังไม่ถ่อมตัวเกินจนดูต้อยต่ำ
หนิงเซียงเงียบไม่พูดอะไร บางทีในความคิดของนาง หลันเซียงไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางมากนัก จากนั้นนางเหลือบมองไปที่เย่เฟิงข้าง ๆ หลันเซียงครู่หนึ่ง แม้เย่เฟิงหน้าตาดี แต่ที่นี่คือโลกแห่งวรยุทธ์ ทุกสิ่งล้วนพึ่งพาความแข็งแกร่ง ต่อให้รูปโฉมของเย่เฟิงโดดเด่นมากเพียงใด แต่ก็อยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 เท่านั้น
“ทุกท่านมาที่นี่แห่งนี้เท่ากับให้ความสำคัญต่อเทียนเซียงหลินข้า ต่อไปทุกท่านจะทำการฝ่าด่านทั้งสาม แต่ก่อนหน้านั้นข้าอยากขอเตือนทุกท่านสักหน่อย ด่านทั้งสามของเทียนเซียงหลินไม่ใช่ว่าใครจะผ่านไปได้ง่าย ๆ ในนั้นเต็มไปด้วยอันตราย หากอ่อนแอก็อาจต้องชดใช้ด้วยชีวิต เพราะฉะนั้นทุกท่านต้องมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถผ่านด่านไปได้ หากไม่อยากเสี่ยงก็ถอนตัวเสียตอนนี้ คนที่เหลือหากเกิดอุบัติเหตุในระหว่างฝ่าด่าน เช่นนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับเทียนเซียงหลินข้า ทุกท่านเข้าใจหรือไม่?”
หนิงเซียงกล่าวช้า ๆ โดยอธิบายเงื่อนไขในการฝ่าด่านอย่างละเอียด เมื่อสิ้นเสียงนางก็มีหลายคนถอนตัวทันที ดูเหมือนไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตรายเท่าไร
ขณะเดียวกันหนิงเซียงเหลือบมองไปที่เย่เฟิงโดยไม่ตั้งใจ ราวกับอยากดูว่าชายชั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ผู้นี้จะมีความกล้าในการฝ่าด่านหรือไม่ นางคิดว่าเย่เฟิงคงไม่มีความกล้ามากพอ แต่ความจริงกลับไม่เป็อย่างที่นางคิด เย่เฟิงไม่ขยับตัวและไม่คิดออกไปไหน นี่ทำให้หนิงเซียงอดรู้สึกดูแคลนไม่ได้ การจะฝ่าด่านทั้งสามของเทียนเซียงหลินด้วยตบะขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ช่างเป็การรนหาที่ตายชัด ๆ
แม้กระทั่งซวนหยวนจวิ้นก็มองเย่เฟิงด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
“เอาล่ะ คนที่เหลือตามข้ามา!” หนิงเซียงเห็นว่าจวนได้เวลาแล้ว จึงกล่าวเช่นนั้น
จากนั้นหนิงเซียงเดินนำหน้าไปก่อน มุ่งหน้าไปยังทางป่าไผ่ ทุกคนก็เดินตามนาง เมื่อหนิงเซียงมาถึงป่าไผ่ก็หยุดฝีเท้า ก่อนสองฝ่ามือเรียวงามจะร่ายไปมา พร้อมปลายนิ้วส่องแสงอ่อน ๆ
“วูบ ๆ!” เสียงสองสายดังขึ้น ผู้คนเห็นพลังเคล็ดวิชาพุ่งออกจากปลายนิ้วของหนิงเซียง ก่อนจะกลายเป็ลำแสงประหลาดที่พุ่งไปยังป่าไผ่ ทันใดนั้นระลอกคลื่นแผ่กระจายไปทั่วป่าไผ่ เมื่อระลอกคลื่นผ่านที่ใด ที่ตรงนั้นก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ป่าไผ่ลึกลับยิ่งขึ้นกว่าเดิมราวกับว่ามีอักขระโคจรอยู่ในป่าไผ่ คอยเปลี่ยนกฎภายในนั้นอย่างเงียบเชียบ
แววตาของผู้คนสั่นไหวชั่ววูบ แม้พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับััได้ว่าพลังเคล็ดวิชาที่หนิงเซียงปล่อยออกไปนั้นทำให้ทุกอย่างในป่าไผ่เปลี่ยนไป
“ค่ายกลลวงตา!”
เย่เฟิงเห็นฉากนี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้ คนอื่นดูไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขามีประสบการณ์มากมาย ระดับวิถีแห่งลวดลายเทวะก็ไม่ด้อยไปกว่าระดับปรมาจารย์ เช่นนั้นค่ายกลลวงตาในป่าไผ่แห่งนี้จะปิดบังเย่เฟิงได้อย่างไรเล่า ซึ่งค่ายกลลวงตาเป็ค่ายกลลวดลายเทวะประเภทหนึ่งที่พัฒนามาจากลวดลายเทวะธรรมดา และทำงานร่วมกับค่ายกลมายา หากผู้ใดอยู่ในค่ายกลลวงตา คนผู้นั้นก็ต้องตกอยู่ในภวังค์แห่งภาพลวงตา
ส่วนพลังเคล็ดวิชาที่หนิงเซียงสำแดงเมื่อครู่นี้ก็เป็ตัวกระตุ้นเปิดค่ายกลลวงตาในป่าไผ่
“ทุกท่านเชิญเข้าป่าไผ่ได้แล้ว หากผู้ใดออกจากป่าไผ่นี้ได้ก็จะผ่านด่านแรก” หนิงเซียงกล่าว จู่ ๆ ดวงตาของทุกคนเผยประกายคมกริบ จากนั้นมีคนทะยานร่างไปยังป่าไผ่ก่อนใคร คล้ายอยากเป็ฝ่ายได้เปรียบ
หลิวหยางแห่งสำนักหลิงไถและพี่น้องที่มากับเขาต่างก็พุ่งตัวไปยังป่าไผ่ด้วยความเร็วสูง และทุกคนยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่ตอนที่หลิวหยางผ่านเย่เฟิงและหลันเซียงก็เหลือบมองแวบหนึ่งด้วยสายตายั่วยุ ก่อนหน้านี้หลิวหยางบอกแล้วว่าเขาจะพิสูจน์ให้หลันเซียงเห็นว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเย่เฟิง และดูเหมือนว่าโอกาสจะมาถึงแล้ว
เย่เฟิงมีท่าทีเฉยชาและไม่สนใจหลิวหยางแม้แต่นิดเดียว นี่ทำให้หลิวหยางกัดฟันแน่นด้วยความไม่พอใจ
ซวนหยวนจวิ้นและผู้ติดตามเขาก็เข้าสู่ป่าไผ่ด้วยความมั่นใจเช่นกัน นอกจากพวกซวนหยวนจวิ้นแล้ว ในบรรดาร้อยกว่าคนยังมีอัจฉริยะมากฝีมืออยู่หลายคน ดังนั้นการฝ่าด่านในครั้งนี้ถือว่าคึกคักและค่าเฉลี่ยความแข็งแกร่งของทุกคนก็มากกว่าในหลายปีที่ผ่านมา
“ข้าไปก่อนนะ!” เย่เฟิงหันไปกล่าวกับหลันเซียงที่อยู่ข้าง ๆ พร้อมระบายยิ้ม
“อืม” หลันเซียงพยักหน้า ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ระวังตัวด้วย!”
เย่เฟิงผงกศีรษะขึ้นลง ก่อนจะเดินไปทางป่าไผ่ แต่วินาทีที่เย่เฟิงเข้าสู่ป่าไผ่ก็มีพลังประหลาดเข้าปกคลุมร่างเขา และมีพลังลวงตาแทรกซึมเข้าที่หว่างคิ้ว ซึ่งเย่เฟิงไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด เขาปล่อยให้พลังนั้นเข้าสู่สมอง เขา้าดูว่าค่ายกลลวงตาที่เทียนเซียงหลินสร้างขึ้นจะนำพาอะไรมาสู่ผู้คน แต่ในความเป็จริงเย่เฟิงรู้เื่ลวดลายเทวะในระดับหนึ่ง มิหนำซ้ำยังรู้วิธีที่จะหยุดการบุกรุกของพลังนั้นอย่างชัดเจน
หลังจากจิตสำนึกถูกบุกรุก ทัศนวิสัยเบื้องหน้าของเย่เฟิงก็เลือนราง เมื่อกลับมามีสติอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองยังคงอยู่ในป่าไผ่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับ เพียงแต่ที่นี่ไม่เหมือนป่าไผ่ที่สงบร่มเย็นอย่างก่อนหน้านี้ ที่นี่ห้อมล้อมไปด้วยอันตราย และยังได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูรพร้อมกับพลังอสูรแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่
ไม่นานนักมีสัตว์อสูรหลายตนปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของเย่เฟิง ล้วนแต่อยู่ระดับพิภพขั้นหกขึ้นไปซึ่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ขึ้นไป กระบวนทัพเช่นนี้ถือว่าเป็อันตรายมากสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ทั่วไป ทว่าเย่เฟิงแตกต่างจากผู้อื่น เขามีพลังแก่กล้าและค่อนข้างเชี่ยวชาญลวดลายเทวะ เขามองสัตว์อสูรเ่าั้ก็ดูออกทันทีว่าเป็ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากค่ายกลลวงตา ซึ่งไม่มีสัตว์อสูรอยู่จริง การที่เทียนเซียงหลินทำเช่นนี้ก็เพื่อทดสอบศักยภาพของผู้ฝ่าด่าน
อีกด้านหนึ่งยังทดสอบระดับพลังจิตของผู้ฝ่าด่าน หากพลังจิตแก่กล้าเพียงพอ แม้ตกอยู่ในภาพลวงตาก็สามารถหลุดพ้นออกมาได้
เย่เฟิงไม่เพียงแต่มีพลังจิตแก่กล้า แต่ยังมีความรู้ด้านลวดลายเทวะ ดังนั้นด่านที่หนึ่งถือว่าง่ายต่อเย่เฟิง
“โฮก!” สัตว์อสูรเ่าั้พุ่งโจมตีเย่เฟิงพร้อมแผดเสียงคำราม
เย่เฟิงมองสัตว์อสูรเ่าั้ ทันใดนั้นแสงจ้าปะทุออกจากดวงตาของเขา ก่อนจะกลายเป็อักษรโบราณแห่งลวดลายเทวะ และเข้าปกคลุมสัตว์อสูรเ่าั้ในพริบตา ซึ่งอักษรโบราณแห่งลวดลายเทวะผสานไปด้วยพลังที่เปลี่ยนกฎค่ายกลลวงตา เมื่อกฎถูกเปลี่ยน สัตว์อสูรเ่าั้ก็หายตัวไปทั้งที่ยังไม่ทันสำแดงอานุภาพของตน
เมื่อเย่เฟิงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ วิถีแห่งลวดลายเทวะช่างน่ามหัศจรรย์ตามคาด แม้เย่เฟิงจะเข้าใจวิถีแห่งลวดลายเทวะ แต่หากมีเวลามากขึ้นในภายภาคหน้า เขาจักต้องทำการศึกษาให้มากกว่านี้
ค่ายกลลวงตาสร้างภาพหลอนให้กับทุกคนที่อยู่ข้างใน นอกจากเย่เฟิงแล้วคนอื่น ๆ ก็ตกอยู่ในมิติมายาที่ต่างกันไป แต่พวกเขาไม่ผ่อนคลายเท่าเย่เฟิง พวกเขาต่างอยู่ในการต่อสู้ที่ยากลำบาก รวมทั้งซวนหยวนจวิ้น
แม้พลังต่อสู้ของพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่คู่ต่อสู้ที่ปรากฏในมิติมายามักจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอยู่ร่ำไป หาก้าเอาชนะอีกฝ่าย เว้นแต่มีพลังแกร่งกว่าถึงจะกำจัดอีกฝ่ายได้ หรือไม่ก็มีพลังจิตที่แก่กล้า จึงจะฝ่าทลายมิติมายาออกมา
