“ฉันเคยไปนอนบ้านเธอมาแล้ว พ่อแม่เธอฉันก็ได้เจอแล้ว ยังไงพรุ่งนี้เราก็จะจดทะเบียนกัน ถ้าจะพาเธอไปพบพ่อแม่ฉันคืนนี้มันแปลกตรงไหน?”
เฉินเฟิงปลอบเธอด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ
“พ่อแม่นายพูดด้วยง่ายไหม?”
หลิ่วอีอียังคงกังวลอยู่
“พ่อแม่ฉันเป็แค่ชาวนาในชนบทห่างไกลตัวเมือง ดีกว่าพ่อเธอแน่นอน ถ้าพวกเขาเห็นฉันพาลูกสะใภ้ที่ทั้งสวยและรวยขนาดนี้มา พวกเขาคงดีใจจนปิดซอยเลี้ยงเลย”
เฉินเฟิงปลอบใจหลิ่วอีอีเพื่อลดความเครียดของเธอ แต่ก็ไม่ลืมที่จะเหน็บแนมหลิ่ว่จื้อไปด้วย
“เอาละ...ไหนๆ พวกเธอคืนก็ดีกันแล้ว งั้นเรามากินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวกินเสร็จจะได้ประทับตราลงนามกันให้เรียบร้อย”
หยางกั๋วเฉียงมองเฉินเฟิงอย่างครุ่นคิด เขาอยากรู้จริงๆ ว่าพ่อแม่เฉินเฟิงเป็แค่ชาวนาจริงหรือเปล่า แต่แล้วเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า
“มาชนแก้วกันหน่อยดีกว่า...”
ในฐานะเ้าภาพ ผู้เฒ่าหวังไม่ถือตัวและชวนทุกคนชนแก้ว
เื่ภรรยาของลูกชายบุญธรรม เขาหวังว่าจะเป็หลิ่วอีอี
ถ้าตำแหน่งนั้นไม่ตกเป็ของหลิ่วอีอี นั่นหมายความว่ามันจะเป็ของหยางฮุ่ยเหยียน
ผู้เฒ่าหวังไม่้าให้เฉินเฟิงผูกมัดกับปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปเร็วเกินไป
สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ความสัมพันธ์ของเฉินเฟิงกับเฉียนต๋ากรุ๊ปนั้นแน่นแฟ้นที่สุด
ด้วยความที่ตัวเขาคือพ่อบุญธรรมของเฉินเฟิง และเฉินเฟิงยังเป็พ่อบุญธรรมของคุณชายหวังตัวน้อย ผู้สืบทอดเฉียนต๋ากรุ๊ปอีกด้วย
ยิ่งกว่านั้น เฉินเฟิงยังถือครองหุ้นของเฉียนต๋ากรุ๊ปกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์ อีกทั้งข้อตกลงเดิมพันระหว่างเฉินเฟิงกับปี้หลงเยี่ยนและถางเฉินกรุ๊ปยังไม่ได้ลงนามอย่างเป็ทางการ
เมื่อเห็นผู้เฒ่าหวังลดท่าทีไม่ถือตัวเช่นนี้ เฉินเฟิงก็เหยียดมุมปากเล็กน้อย
“งั้นเราเริ่มมื้อดึกแสนสุขกันดีกว่าครับ เื่ไม่ดีเื่อัปมงคลอื่นๆ ลืมไปก่อน”
ทุกคนที่นี่มารวมตัวกันเพราะเฉินเฟิง
ดังนั้นหลายคนจึงให้ความสำคัญกับคำพูดของเขามากกว่าเ้าภาพอย่างผู้เฒ่าหวัง
หลังจากนั้น ด้วยหลักห้ามพูดตอนกิน ห้ามนอนตอนคุย ทุกคนก็เริ่มก้มหน้าก้มตาทานอาหารจานพิเศษที่ผู้เฒ่าหวังคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ทุกคนก็อิ่มหนำสำราญ พนักงานในร้านอาหารจึงเริ่มเก็บจานบนโต๊ะ
เพียงพริบตาเดียว โต๊ะอาหารก็กลายเป็โต๊ะประชุมสำหรับเซ็นสัญญาเป็ที่เรียบร้อย
เห็นดังนี้ หลิ่วอีอีก็นำตราประทับใหม่เอี่ยมของบริษัทมอบให้เฉินเฟิง
เขาในฐานะประธานบริษัทเฟิงฮวาเจว๋ต้ายจึงประทับตราบนสัญญา ซึ่งเป็การโอนสิทธิ์การพัฒนาแปดสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ของอาคารสองหลังอย่างเป็ทางการ
ส่วนสัญญาเดิมพันและสัญญาการโอนหุ้นระหว่างเฉินเฟิงกับผู้เฒ่าหวังนั้น นับเป็เื่ส่วนตัวของเฉินเฟิง
หลังจากเฉินเฟิงต่อกรกับเหล่าเ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์มากมาย รวมถึงประธานบริษัทเทคโนเซียงเหลียนแล้ว
เขาก็กำหนดเป้าหมายในอนาคตให้กับตัวเองอย่างเด็ดขาด
ในอนาคต เขาต้องเป็ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรืออย่างน้อยก็เป็ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ลำดับที่สองของกลุ่มบริษัทมหาอำนาจั์ใหญ่ทั้งเก้าให้ได้
สำหรับกลุ่มบริษัทที่มีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนจำนวนมาก เขาจะต้องเข้าซื้อกิจการให้ได้มากกว่าห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์
ส่วนกลุ่มบริษัทในครอบครัวอย่างเฉียนต๋ากรุ๊ปซึ่งหุ้นส่วนใหญ่เป็ของพ่อลูกสกุลหวัง เขาต้องชิงสัดส่วนสี่สิบเก้าเปอร์เซ็นต์มาให้ได้
ดังนั้น เมื่อถึงปี 2021 ยามที่ทั้งเก้าบริษัทได้ก้าวขึ้นมาเป็บริษัทมหาอำนาจของประเทศ
เฉินเฟิงผู้ซึ่งกลายเป็ผู้ถือหุ้นส่วนบุคคลทั่วไปของบริษัททั้งเก้า อาจกลายเป็มหาเศรษฐีทองคำที่มีทรัพย์สินกว่าหนึ่งแสนล้าน ซึ่งนับว่าเยอะกว่าชาติก่อนมาก
นี่คือเป้าหมายสูงสุดของเฉินเฟิง
ชีวิตมีเพียงครั้งเดียว เฉินเฟิงไม่อยากใช้ชีวิตอย่างไร้หนทาง
ต้องสะสมทรัพย์สมบัติให้มากกว่าอดีตชาติ แบบนั้นสิถึงจะคุ้มค่ากับการที่เขาได้เกิดใหม่
แน่นอน นอกจากนี้ยังมีการอุทิศตนเพื่อประเทศและบ้านเกิด
เขาต้องป้องกันไม่ให้นักลงทุนต่างชาติเข้าควบคุมบริษัทั์ใหญ่ และตบหน้าคนที่ดูถูกเขาในชาติก่อน เื่พวกนี้ก็เป็เื่ที่ยินดีทำเป็อย่างยิ่ง
หลังจากบริษัทเฟิงฮวาเจว๋ต้ายเซ็นสัญญากับปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปแล้ว ต่อไปคือปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปและเฉียนต๋ากรุ๊ปดำเนินการเซ็นสัญญาโอนกรรมสิทธิ์การพัฒนาที่เหลือและกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของอาคารสองหลัง
ในจังหวะนี้เอง หยางฮุ่ยเหยียนซึ่งขอตัวออกไปข้างนอกก็เดินกลับเข้ามา
เธอมาพร้อมกับสัญญาเดิมพันและหนังสือสัญญาการโอนหุ้นของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป
เฉินเฟิงตรวจดูอย่างละเอียด พบว่าเนื้อหาการเดิมพันในสัญญาเดิมพันที่หยางฮุ่ยเหยียนพิมพ์ออกมานั้น ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่พวกเขาตกลงกันไว้ก่อนหน้า เขาจึงเซ็นชื่อโดยไม่ลังเล
หลังจากเฉินเฟิงและครอบครัวสกุลหยางเซ็นสัญญาเดิมพันแล้ว สัญญาจะมีผลบังคับใช้ ณ บัดนั้นเลย
หยางกั๋วเฉียงเซ็นชื่อและประทับตราบนสัญญาการโอนหุ้นต่อ เฉินเฟิงมองดูคร่าวๆ
เมื่อยืนยันว่าเป็การโอนหุ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ปให้เขาจริง เขาจึงเซ็นชื่อและประทับลายนิ้วมือกลับทันใด
ด้วยเหตุนี้ เฉินเฟิงกลายเป็ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ลำดับที่สองอย่างเป็ทางการของทั้งเฉียนต๋ากรุ๊ปและปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป ด้วยหุ้นจำนวนยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในมือ
หลังจากเก็บสัญญาเดิมพันและสัญญาการโอนย้ายหุ้นไว้เรียบร้อยแล้ว เฉินเฟิงจึงพูดด้วยรอยยิ้มกับผู้เฒ่าหวังและหยางกั๋วเฉียง
“ต่อไปนี้พวกเราคือครอบครัวเดียวกันแล้ว เป็พันธมิตรอันแน่นแฟ้น ปี้หลงเยี่ยนและเฉียนต๋ากรุ๊ป แม้ทั้งคู่เป็บริษัทอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน แต่ฐานที่มั่นหลักของแต่ละบริษัทไม่ได้อยู่ในเมืองเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของธุรกิจรายย่อย ด้วยเหตุนี้บริษัททั้งสองก็จะไม่มีความขัดแย้งรุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ไป พวกเรามาร่วมมือกันพัฒนาธุรกิจของเราให้เติบโตและมั่นคงไปด้วยกันเถิด ผมจะทำให้หยางฮุ่ยเหยียนกลายเป็มหาเศรษฐินีในปี 2007 และทำให้คุณพ่อบุญธรรมกลายเป็มหาเศรษฐีในปี 2007 ด้วยเช่นกัน!”
แม้ว่าเฉินเฟิงจะพูดอย่างสบายๆ แต่เขาก็ยังรู้สึกกดดันอยู่บ้าง
สำหรับการพัฒนาของปี้หลงเยี่ยนกรุ๊ป เขาแทบไม่มีอะไรให้กังวล
เพียงแค่ทำตามแผนเดิม บริษัทก็จะทำให้หยางฮุ่ยเหยียนกลายเป็มหาเศรษฐินีได้ในปี 2007 อย่างแน่นอน
เพราะนี่คือกระแสเดิมของประวัติศาสตร์ ไม่น่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเพียงเพราะการเกิดใหม่ของเฉินเฟิง
แต่สำหรับเฉียนต๋ากรุ๊ป
เดิมทีผู้เฒ่าหวังจะกลายเป็มหาเศรษฐีในเหยียนหวงในปี 2016
แต่เฉินเฟิง้าให้เขากลายเป็มหาเศรษฐีในปี 2007
พูดตามตรงว่าเป็เื่ที่ท้าทายเป็อย่างมาก
ในอีกหลายปีข้างหน้า เฉินเฟิงต้องติดตามผู้เฒ่าหวังอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยชี้นำเรือใหญ่เฉียนต๋ากรุ๊ปลำนี้ให้แล่นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น
ไปสู่จุดหมายปลายทาง หรือท่าเรือที่ชื่อว่ามหาเศรษฐีล่วงหน้าถึงเก้าปี
เฉินเฟิงและคนอื่นๆ อยู่ที่ร้านอาหารส่วนตัวของเฉียนต๋าจนถึง 23.00 น. ก่อนที่แยกย้ายกันกลับ
มอเตอร์ไซค์ของเฉินเฟิงยังคงจอดอยู่ที่ไซต์งานก่อสร้างของปี้หลงเยี่ยน
ดังนั้นเขาทำได้เพียงขอติดรถของแม่หลิ่วอีอีไปที่บ้านของพวกเธอก่อน
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินเฟิงได้กลับมาเยือนวิลล่าสุดหรูของแม่หลิ่วอีอีอีกครั้ง
หลังจากเขาพาแม่ของหลิ่วอีอีเข้าพัก
เขาก็ออกจากบ้านพร้อมหลิ่วอีอีอีกครั้ง แล้วขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านเกิดของเฉินเฟิง
แม้ว่าเขาจะขับรถยนต์ได้ แต่เนื่องจากเฉินเฟิงดื่มไปมาก ประกอบกับยังไม่ได้สอบใบขับขี่รถยนต์ในชาตินี้ เขาเลยต้องให้หลิ่วอีอีเป็คนขับ เขาเองนั่งข้างคนขับเพื่อคอยบอกทาง
หลังจากขับรถเป็เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดรถของพวกเขาก็มาจอดที่บ้านเกิดของเฉินเฟิง
“ถึงแล้ว ที่นี่คือบ้านเกิดของฉัน…”
เฉินเฟิงชี้ไปที่บ้านไม้แบบหนึ่งชั้นครึ่งข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจ
