เสียงทุ้มน่าฟังของเขาราวกับมีพลังวิเศษที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ
อกแกร่งที่อบอุ่นของเขาคือที่พักใจที่ดีที่สุด
ูเี่อันรู้สึกว่าขอบตาเธอเริ่มร้อนนิดๆ
เธอกัดฟันสู้ผ่านวันเวลาที่ยากลำบากมาได้จนตอนนี้สามารถยิ้มแย้มให้กับเื่ราวในวันเก่าๆ ได้อย่างสบายๆ มีบางคราวที่เธอกับลั่วเสี่ยวซีย้อนคิดถึงความทรงจำในอดีตพวกเธอมักจะยิ้มอย่างนับถือตัวเองในวันนั้น
แล้วทำไมเมื่อเธออยู่ในอ้อมแขนของเขาเธอกลับรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาล่ะ?
ความยากลำบากที่เธออดทนผ่านมันมาหลายปีมานี้มันค่อยๆ ขยายตัวขึ้นในจิตใจเธอ ความทรงจำเ่าั้ก็เหมือนกับน้ำเลมอนโซดาที่ทั้งเปรี้ยว ทั้งซ่า ทว่าก็มีความหวานเจือปน
ลู่เป๋าเหยียนเห็นขอบตาแดงๆของเธอ จึงลูบใบหน้าเธอเบาๆ
“อย่าร้อง”
ูเี่อันนึกว่าลู่เป๋าเหยียนจะปลอบใจเธอแต่เขากลับพูดต่อว่า
“เดี๋ยวพวกนักข่าวถ่ายภาพไว้ได้จะหาว่าฉันรังแกเธอ”
เธอยิ้มทั้งๆ ที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ พลางปาดน้ำตาออกไป
“นายก็ชอบแกล้งฉันจริงๆนี่!”
“อืม” ลู่เป๋าเหยียนตอบ“ตอนไหนบ้างล่ะ”
“ตอนเด็กแล้วก็อีกหลายๆตอน! นายชอบหลอกฉัน ชอบบอกว่าฉันโง่!” ูเี่อันพูดอย่างเคืองๆ“ั้แ่เล็กยันโตทุกคนต่างชมว่าฉันฉลาดกันทั้งนั้น มีแต่นายนี่แหละที่หาว่าฉันโง่”
ที่จริงบางทีพี่ก็ชอบว่าเธอว่าโง่เหมือนกันแต่น้ำเสียงของเขาดูอ่อนใจอย่างรักใคร่และเอาใจใส่
ส่วนลู่เป๋าเหยียนน่ะเหรอ?
“ก็เธอโง่จริงๆ นี่”เขาซ้ำแผลเดิมของเธออย่างไม่แยแส
น้ำเสียงของเขาเหมือนกับของพี่ชายเธอไม่มีผิดูเี่อันโผเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ก่อนจะซุกหน้าลงบนอกแกร่ง
“ลู่เป๋าเหยียนฉันไม่ชอบนายสักนิด”
เธอทำท่าอย่างกับสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ถูกรังแกและซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเขาก่อนจะระบายความไม่พอใจออกมาอย่างน่าสงสารลู่เป๋าเหยียนรู้ทันทีว่าเธอคงจะเริ่มตาแดงอีกแล้วเขารู้ว่าเธอไม่ได้พูดอย่างที่ใจคิด จึงโอบกอดเธอราวกับโอ๋เด็กตัวน้อยๆ
“ไม่เป็ไรแค่ฉันชอบเธอก็พอ”
คำพูดที่คล้ายกับการสารภาพรักแบบนี้ถ้าเป็เมื่อก่อนูเี่อันคงใจเต้นแรงหลังจากได้ยินเป็แน่ แต่คำพูดพวกนี้ลู่เป๋าเหยียนจะพูดออกมาง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ?
เขาคงปากไม่ตรงกับใจเหมือนเธอล่ะมั้ง?
เธอเช็ดหางตาเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวออกจากอ้อมกอดของเขาและมองไปรอบๆเมื่อไม่เห็นว่ามีนักข่าวอยู่แถวนี้จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อกี้เธอทำอะไรลงไป? ทำไมจู่ๆ ก็เข้าไปซบอกเขาล่ะเนี่ย?
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาก็สบกับสายตาของลู่เป๋าเหยียนพอดีเธอนิ่งไปก่อนที่ลู่เป๋าเหยียนจะลูบผมเธอเบาๆ
“เจี่ยนอันบางครั้งฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเธอดี”
คนที่ดื้อรั้นแต่บางครั้งก็อ่อนแอตรงหน้าทุกการกระทำทุกคำพูดของเธอจู่โจมหัวใจของเขาอย่างไม่ลดละ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไรกับเธอดีแผนการที่วางไว้ล่วงหน้า ถูกเธอก่อกวนจนล้มไม่เป็ท่า
เห็นสีหน้าของลู่เป๋าเหยียนในตอนนี้แล้วูเี่อันรู้สึกภูมิใจในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก
“นายไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับฉันก็ดีแล้วค่อยๆ คิดไปแล้วกัน!”
ทางที่ดีคิดบ่อยๆคิดทุกวันเลยยิ่งดี เหมือนกับตอนที่เขาไปอเมริกาเธอในตอนนั้นก็อดคิดถึงเขาทุกวันไม่ได้
“เดี๋ยวนี้กล้าขึ้นนะคุณนายลู่”สายตาของเขาเริ่มส่อแววอันตราย “แต่ก่อนไม่ใช่ว่ากลัวฉันมากหรือยังไง”
ตอนแต่งงานใหม่ๆ ูเี่อันกลัวเขาจริงๆนั่นแหละ แต่เมื่อไรกันนะ...ที่เธอเริ่มจะไม่กลัวเขา แถมยังกล้ายั่วโมโหเขาอีก?
เธอจำไม่ได้แล้วล่ะ
ในตอนนี้เธอไม่กลัวเขาอีกแล้วและเพื่อเป็การพิสูจน์ เธอจึงยิ้มร่าก่อนจะเดินไปจับกลีบดอกเนระพูสี1ตรงหน้าพลางเอ่ย
“พูดมั่วๆ ฉันเคยกลัวนายที่ไหนกัน!”
ลู่เป๋าเหยียนหรี่ตาเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปรั้งตัวคนที่คิดจะหนีเอาไว้
“คอยดูแล้วกันว่าฉันจะจัดการกับเธอยังไง”
ูเี่อันกะพริบตาปริบๆก่อนจะยิ้มอย่างสดใส
“ก็บอกว่าแล้วไงว่าใครกลัวนายกัน!”
เ้ากวางน้อยแสนซนที่ชอบหนีหายไปจากอ้อมกอดของเขาตัวนี้ทำให้ลู่เป๋าเหยียนต้องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ลำคอขาวนวลเนียนที่อยู่ตรงหน้าทำเอาเขาอยากจะก้มลงไปกัดสักที
แต่สุดท้ายก็ต้องระงับความรู้สึกนั้นไว้เนื่องด้วยสถานที่และเพราะมีคนเข้ามาขัดจังหวะพอดี
ลั่วเสี่ยวซีพูดพลางกัดขอบแก้วแชมเปญ
“เอ่อขอขัดจังหวะการสวีทแป๊บสิ พวกเธอรู้หรือเปล่าว่าซูอี้เฉิงหายไปไหน”
เธอหาเขาไปทั่วงานยันสวนดอกไม้ด้านนอกแต่เขาก็ไม่อยู่แน่นอนว่าจางเหมยก็ด้วย จึงต้องเข้ามาขอความช่วยเหลือจากสามีภรรยาที่กำลังพลอดรักคู่นี้อย่างช่วยไม่ได้
ูเี่อันนิ่งไปก่อนจะตอบ
“เมื่อกี้ฉันเห็นพี่เดินออกไปกับจางเหมยแต่ไม่รู้ว่าไปไหน”
ลั่วเสี่ยวซีเงยหน้ามองฟ้าพลางถอนหายใจ
“ว่าแล้วเชียว”
เธอไม่อยากรบกวนูเี่อันกับลู่เป๋าเหยียนอีกจึงยิ้มก่อนจะเดินจากไป
ห้องจัดงานที่กว้างขวางเต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งตัวกันอย่างสวยงามหรูหราคนมีคู่ต่างพากันสวีทหวานไม่ต่างกับลู่เป๋าเหยียนกับูเี่อัน
ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกเหนื่อยอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อนเธอเห็นซูอี้เฉิงเปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าคนแล้วคนเล่า จนรู้สึกเหนื่อยไปหมดความรู้สึกอ่อนล้าในจิตใจทำให้เธออยากจะไปซ่อนตัวอยู่คนเดียวที่ไหนสักแห่ง
ว่าแล้วจึงเดินขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสิบ
เสิ่นเยว่ชวนบอกว่าที่นั่นมีห้องรับรองของลู่เป๋าเหยียนอยู่คงไม่มีใครมารบกวนเธอสินะ
แต่เมื่อผลักประตูเข้าไปกลิ่นบุหรี่ก็ลอยเข้าจมูกจนแสบคอไปหมด เธอถึงกับชะงักเพราะคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างช่างคุ้นตาเธอเหลือเกินแผ่นหลังและท่าทางการสูบบุหรี่ของเขาเธอจำได้ไม่เคยลืม
เขาพาดเสื้อสูทเอาไว้ที่โซฟาที่เขี่ยบุหรี่มีก้นบุหรี่กองอยู่ไม่น้อย เขาขึ้นมานานแล้วหรือยัง? จางเหมยอยู่ด้วยหรือเปล่า?
ซูอี้เฉิงไม่นึกว่าลั่วเสี่ยวซีจึงขึ้นมาที่นี่เขาเปิดหน้าต่างออกเพื่อระบายอากาศ ก่อนจะขมวดคิ้วมองเธอ
“เธอขึ้นมาได้ยังไง”
“ฉันแค่อยากจะหาที่นั่งพักสักหน่อย”ลั่วเสี่ยวซียักไหล่พลางตอบ “ไม่รู้ว่านายก็อยู่ที่นี่ งั้นเดี๋ยวฉันลงไปก่อนนะ”
นี่เป็ครั้งแรกที่เธอไม่ถามเขาว่าเขามีแฟนใหม่อีกแล้วเหรอไม่ขอร้องเขาว่าอย่าไปคบกับใครง่ายๆ
ราวกับว่าเธอไม่สนใจเขาแล้วจริงๆ
ทันใดนั้น ซูอี้เฉิงก็เดินตามไปและรั้งตัวเธอเข้ามาก่อนจะปิดประตูดังปัง!
“เธอจะลงไปหาใครฉินเว่ย?”
ลั่วเสี่ยวซีถามอย่างแปลกใจ“ฉันจะลงไปหาฉินเว่ยแล้วทำไม?”
หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างเริ่มโมโห
“เสี่ยวซีผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนดี” เขารู้สึกแปลกใจที่ตัวเองพูดกับลั่วเสี่ยวซีไปแบบนั้น
แต่เพราะลั่วเสี่ยวซีรู้จักฉินเว่ยดีเธอจึงขำก่อนจะเอ่ย
“ใช่ฉินเว่ยไม่ใช่คนดีอะไร เขากินเหล้าสูบบุหรี่แถมยังเล่นกัญชาแฟนสาวของเขาเยอะกว่าจำนวนเส้นผมของฉันซะอีก แต่เื่นี้มันเกี่ยวอะไรกับนาย? นายก็ชอบสูบบุหรี่ชอบเปลี่ยนแฟนไม่ซ้ำหน้าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ มีสิทธิ์อะไรไปว่าเขาแบบนั้น?”
ซูอี้เฉิงยิ้มเย็น“เธอเข้าข้างมัน”
“เขาเป็เพื่อนฉันไม่เข้าข้างเขาแล้วจะให้เข้าข้างนายหรือไง?” ลั่วเสี่ยวซีเบือนสายตาหนีเธอไม่อยากมองหน้าซูอี้เฉิงในตอนนี้
“ไม่ใช่ว่านายไม่ชอบให้ฉันตามตื๊อหรือไง? ฉันบอกแล้วนี่ว่าถ้านายแต่งงานเมื่อไรฉันจะวางมือแต่ตอนนี้มาลองคิดๆ ดู บางทีคนที่แต่งงานก่อนอาจจะเป็ฉันก็ได้เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องห่วง ่นี้ฉันเองก็ไม่ค่อยได้ไปหานายบ่อยๆ แล้วจริงไหม”
ใช่่ที่ผ่านมาเธอไม่ค่อยมาหาเขาอีกแล้ว เธอมักจะไปขลุกอยู่กับฉินเว่ยมากกว่าราวกับจะประกาศว่าข่าวดีของเธอกับฉินเว่ยนั้นใกล้จะเป็จริงเต็มที
เื่พวกนี้ซูอี้เฉิงรู้ทั้งหมดตอนที่เขาได้ยินข่าวก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอเธอพูดกับเขาต่อหน้าแบบนี้ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่สบอารมณ์ราวกับมีเพลิงโทสะกำลังคุกรุ่นอยู่ในใจ
บางทีเพลิงที่ว่าอาจจะลุกโชนขึ้นมาในใจของเขาตั้งนานแล้วแต่เขาพยายามควบคุมมันเอาไว้ จนกระทั่งตอนนี้หลังจากได้ฟังคำพูดของเธอที่บอกว่าเธออาจจะได้แต่งงานก่อนเพลิงในใจของเขาก็ยิ่งลุกลามจนห้ามไม่อยู่
ครั้งที่สองแล้วที่เขาได้ััริมฝีปากของเธอแต่ในครั้งนี้เป็เขาเองที่เข้าหาเธอก่อนหรือถ้าพูดให้ถูกคือเขาบังคับเธอให้รับััจากเขา
การจูบอันดุดันที่ทั้งเร่าร้อนและป่าเถื่อนไม่หลงเหลือคราบความเป็สุภาพบุรุษแม้แต่น้อย เขารัดเอวบางของเธอไว้แน่นกะไม่ให้เธอขยับตัวไปไหนทั้งนั้น
ลั่วเสี่ยวซีนึกไม่ถึงว่าอยู่ดีๆซูอี้เฉิงก็จะกลายร่างเป็ปีศาจร้าย เขารัดเอวเธอด้วยแรงมหาศาลจนเธอไม่อาจดิ้นหลุด
เธอส่งเสียงประท้วงอย่างยากลำบากแต่นั่นไม่ต่างอะไรกับการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง
เขายิ่งพรมจูบอย่างหนักหน่วงพลางขบกัดริมฝีปากบางของเธอจนเธอไม่สามารถส่งเสียงประท้วงได้อีกเขาจูบเธอราวกับโกรธแค้นเกลียดชังเรียวปากคู่งามของเธอมาั้แ่ชาติปางก่อนโดยไม่เหลือช่องว่างให้เธอโต้กลับแม้แต่น้อย
ภาพที่เขาเห็นในงานเริ่มฉายซ้ำในความทรงจำอีกครั้งฉินเว่ยโอบเธอและััตัวเธออย่างใกล้ชิดเธออยู่ในอ้อมกอดของเขาพลางยิ้มอย่างเย้ายวน
มือขวาของซูอี้เฉิงค่อยๆรูดซิปชุดราตรีของลั่วเสี่ยวซี
เธอไม่ควรสวมชุดที่ฉินเว่ยเคยได้ััอีกต่อไปฉินเว่ยััเธอตรงไหนอีกนะ?
เขาปล่อยเรียวปากบางให้เป็อิสระก่อนจะแนบหน้าผากของตนลงบนหน้าผากเธอ
“เมื่อกี้เธอเต้นลาตินเข้าคู่กับเขาดีขนาดนั้นพวกเธอทำอะไรกันบ้างแล้วล่ะ หืม?”
ลั่วเสี่ยวซีไม่เคยเห็นซูอี้เฉิงเป็แบบนี้พวกเธอใกล้ชิดกันจนเธอรู้สึกเหมือนเขากำลังจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัวไม่ใช่ว่าเธอกลัวเขา แต่เธอไม่อาจขัดขืนเขาได้เลยต่างหาก
ลั่วเสี่ยวซียิ้มก่อนจะใช้ปลายนิ้วปิดปากเขาเบาๆ
“นายกับจางเหมยเองก็เต้นวอลซ์ด้วยกันได้ดีนี่อย่าบอกนะว่าพวกนายยังไม่เคยนอนด้วยกัน?”
พูดแบบนี้หมายความว่าเธอกับฉินเว่ยเคย...แล้ว?
“ครั้งก่อนที่ฉันเห็นเธออยู่ในชุดคลุมอาบน้ำที่โรงแรมกับเขาวันนั้นพวกเธอมีอะไรกันจริงๆ ใช่ไหม”
ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาก็พูดถึงเื่เมื่อหลายเดือนก่อนขึ้นมาลั่วเสี่ยวซีนึกว่าเขาลืมไปแล้วเสียอีกแต่ที่จริงแล้วเื่นี้เปรียบเสมือนะเิเวลาที่ถูกฝังลึกอยู่ในใจซูอี้เฉิงมาโดยตลอด
และในวินาทีนี้ะเิเวลาลูกนั้นกำลังจะะเิออกมา
ไม่รอให้เธอตอบซูอี้เฉิงก็ริมฝีปากเธออีกครั้งเขาััเธออย่างป่าเถื่อนจนเธอเริ่มหายใจไม่ออก
ประสบการณ์ในการจูบของลั่วเสี่ยวซีน้อยกว่าูเี่อันเสียอีกแล้วเธอจะเอาอะไรไปสู้กับเขา เธอคิดพลางหอบหายใจดูท่าวันนี้ซูอี้เฉิงคงไม่ปล่อยเธอไปแน่ๆ
เธอไปทำอะไรให้เขาโกรธล่ะเนี่ย!เมื่อก่อนเวลาเขาไม่พอใจ เขามักจะไล่เธอให้ไปไกลๆ ไม่ใช่หรือไง? แล้ววันนี้เขาเป็บ้าอะไร?
ลั่วเสี่ยวสีผลักเท่าไรเขาก็ไม่ยอมถอยห่างแถมยิ่งผลักเขาก็ยิ่งเลื่อนชุดของเธอลงต่ำไปเรื่อยๆดีที่วันนี้เธอใส่ชุดราตรีรัดรูป ไม่งั้นป่านนี้ทั้งชุดคงลงไปกองอยู่ที่พื้นหมดแล้วถ้าเป็แบบนั้นเธอคงหนีไปไหนไม่รอด
เพี้ยะ!ลั่วเสี่ยวซีตบหน้าซูอี้เฉิงไปหนึ่งฉาด
ใช่เธอไม่มีวันยอมเขาหรอก
เมื่อก่อนต่อให้เธอพยายามยั่วยวนเขาขนาดไหนเขาก็ไม่สนใจมาวันนี้เธอไม่มีทางยอมเขาในสภาพแบบนี้แน่
เธอจะประเคนตัวเองให้เขาทั้งๆแบบนี้ได้อย่างไร?
นี่เป็ครั้งแรกที่ซูอี้เฉิงถูกตบหน้าเขานิ่งอึ้งไป แววตาที่เต็มไปด้วยโทสะเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายเขาจ้องลั่วเสี่ยวซีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสน
ลั่วเสี่ยวซีรูดซิปชุดของเธอก่อนจะยกมือเช็ดริมฝีปากและหันหลังเดินออกจากห้อง
ซูอี้เฉิงไม่ได้รั้งเธอไว้กลิ่นน้ำหอม Chanel CocoMademoiselle EDT ของเธอยังคงไม่จางหายลั่วเสี่ยวซีเริ่มใช้น้ำหอมกลิ่นนี้มานานหลายปีแล้ว
กลิ่นหอมที่คุ้นเคยค่อยๆฟุ้งกระจายราวกับน้ำหมึกที่ค่อยๆ ซึมไปทั่วกระดาษ ความทรงจำต่างๆ ไหลเข้ามาในสมองของซูอี้เฉิง
ภาพของลั่วเสี่ยวซีสมัยวัยรุ่นแสนสดใสภาพสายตามุ่งมั่นดื้อรั้นของเธอ เื่ราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับเธอพากันหลั่งไหลเข้ามาในความคิดของเขาอย่างไม่หยุดยั้ง...
*********************
1 เนระพูสี หรือ ว่านค้างคาวดำเป็พันธุ์ไม้ล้มลุก มีเหง้าหัว เจริญตามแนวราบใต้พื้นดินตัวดอกมีสีดำลักษณะคล้ายค้างคาว เป็พืชที่มีสรรพคุณรักษาโรคมากมาย
อ้างอิงจาก วิกิพีเดีย
