เมื่อได้ยินคำตอบของป๋อชางโหว เฉินจิ้งเจียค่อยๆ ถอนสายบัวด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม “เจียเอ๋อร์ทราบแล้วเ้าค่ะ” กล่าวจบจึงถอยออกห้องไป
หนานจือเอาแต่อึกอักตลอดทาง เงยหน้ามองเฉินจิ้งเจียตรงหน้าไม่หยุด ไม่ง่ายกว่าได้เข้าเรือนเล็ก ครั้นถึงแล้วจึงปริปากถามทันทีอย่างมิอาจทนรอได้ต่อไป
“คุณหนู ท่านบอกว่าอยากแต่งงานกับคุณชายเผยนั่น ท่านตั้งใจจริงๆ หรือเ้าคะ?”
เฉินจิ้งเจียเงยหน้ามองหนานจือที่ดูร้อนรนด้วยรอยยิ้มประดับหน้า “การแต่งงานเป็เื่ใหญ่ แน่นอนว่าต้องตั้งใจอยู่แล้ว”
นางเอ่ยเช่นนี้ไป ทำเอาหนานจือร้อนรนยิ่งกว่าเดิม ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินวนไปมาของนางดังขึ้นในห้องเล็กๆ นี้
“คุณหนู! ท่านเป็ถึงคุณหนูใหญ่ของฮูหยินแห่งจวนป๋อชางโหวเชียวนะเ้าคะ!”
“ข้ารู้” เฉินจิ้งเจียสีหน้าสงบนิ่ง เปิดถ้วยชาบนโต๊ะ รินชาให้ตนถ้วยหนึ่งพลางจิบเบาๆ
หนานจือเห็นนางไม่สะทกสะท้าน จึงเดินอ้อมมาตรงหน้านาง “คุณหนู ท่านชื่นชอบอันใดในตัวคุณชายเผยกัน”
ชื่นชอบอันใดเขาอย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่าฐานะของเขาอยู่แล้ว รวมถึงความสำเร็จในอนาคต เพียงแต่เผยฉางชิงในยามนี้ ยังดูเหมือนเอาอะไรจากเขามาไม่ได้จริงๆ ก็ตาม
ครั้นเห็นนางเงียบไป หนานจือจึงเอ่ยต่อ “คุณหนู ท่านบอกมาสิเ้าคะ!”
นางเหลือบตามองขึ้น “ข้าชื่นชอบที่เขา...แกร่งกล้าไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด...”
“คุณหนู เราคือจวนป๋อชางโหว อำนาจแข็งแกร่งยังมีไม่พออีกหรือไรเ้าคะ” หนานจือกะพริบตาปริบๆ พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
เอ่อ...
เฉินจิ้งเจียครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากถาม “เผยฉางชิงเขาไม่ดีตรงไหนกัน”
“ไร้กำลังไร้อำนาจ ทั้งยังอัตคัดสิ้นเนื้อประดาตัว มีตรงไหนดีหรือเ้าคะ” หนานจือครุ่นคิดครู่หนึ่ง คุณชายเผยผู้นั้นก็มีดีแค่หน้าตามิใช่หรือไร
ยิ่งคิดก็ยิ่งใ นางมองเฉินจิ้งเจียอย่างไม่อาจเชื่อ คุณหนูเราจะมองคนอื่นที่หน้าตาเท่านั้นหรือ
...
ป๋อชางโหวสีหน้าคร่ำเคร่งคิ้วขมวด ไม่พูดไม่จาั้แ่เฉินจิ้งเจียออกไป
ท่าทางเคร่งขรึมทำเอาจ้าวอี๋เหนียงอดที่จะขมวดคิ้วตามมิได้ กลัวว่าจะยั่วโทสะป๋อชางโหวเข้า
นางท่าทางเคร่งเครียด ก้มศีรษะเล็กน้อย ถือถ้วยชาส่งให้เขาก่อนถอยไปด้านข้างสองก้าว ป๋อชางโหวไม่ปริปาก นางเองก็ไม่ได้ขยับตัวทำสิ่งใด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ป๋อชางโหวถึงได้ค่อยเอ่ยปาก “เจียเอ๋อร์ อายุสิบห้าแล้ว”
การที่เขาพูดเช่นนี้ จ้าวอี๋เหนียงไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไรดี นางเงยหน้ามองป๋อชางโหว หากแต่สายตาอีกฝ่ายกลับมิได้มองมาที่นาง
“คงถึงเวลาดูตัวแล้ว”
เสียงพึมพำดังขึ้น จ้าวอี๋เหนียงชะงักงันชั่วครู่ ก่อนหันขวับมองป๋อชางโหวพร้อมอ้าปาก ไม่คอยให้นางทันส่งเสียง ป๋อชางโหวก็ชิงสาวเท้าออกไปก่อนแล้ว
มองแผ่นหลังเขาจากไปพักหนึ่ง จ้าวอี๋เหนียงจึงถอนหายใจแล้วเรียกแม่นมซุนเข้ามา
“แม่นมซุน เ้าว่าท่านป๋อหมายความว่าอย่างไร?”
เสียงแ่เบาของจ้าวอี๋เหนียงดังเข้าหูแม่นมซุน นางค้อมตัวยืนข้างจ้าวอี๋เหนียง
“บ่าวมิทราบเ้าค่ะ”
“หึ นับว่าเ้าซื่อสัตย์ทีเดียว” จ้าวอี๋เหนียงยกยิ้มบาง ราวกับชื่นชมแม่นมซุน
“ไปเถิด ข้าจะไปดูคุณหนูรอง” นางเอ่ยพลางขยับตัวเดิน อากัปกิริยาอันสง่างามของจ้าวอี๋เหนียงดึงสายตาให้ใครหลายคนอดมองไม่ได้
แต่น่าเสียดาย คนที่นางอยากให้หลงใหลมากที่สุดกลับไม่เคยมีนางในสายตา
ครั้นเห็นจ้าวอี๋เหนียงเดินเข้ามา เฉินจิ้งโหรวจึงรีบปรี่เข้ามาทันใด พลางเอ่ยปากกล่าวเสียงหวาน “ท่านแม่ เหตุใดถึงมาที่นี่ละเ้าคะ หรือว่าท่านพ่อ...”
นางยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกจ้าวอี๋เหนียงตัดบททันที
“ท่านพ่อเ้าเพิ่งคุยกับคุณหนูใหญ่ จากนั้นท่าทางก็ดูผิดปกติไป อาจมีเื่บางอย่างทำให้ทั้งสองขัดแย้งกันก็เป็ได้”
จ้าวอี๋เหนียงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “โหรวเอ๋อร์ ที่ผ่านมาเ้าก็มีสัมพันธ์อันดีกับคุณหนูใหญ่ มิสู้ไปโน้มน้าวคุณหนูใหญ่ดูเล่า ว่าจักอ่อนข้อให้นายท่านโหวบ้างเป็อย่างไร”
หากเป็ตอนปกติ เฉินจิ้งโหรวคงตกลงรับปากแผนนี้ไปแล้ว ทว่าตอนนี้...
นางหาได้ลืมเื่ก่อนขึ้นรถม้าเมื่อเช้านี้ สายตาไม่พอใจที่ปราดมองมาของเฉินจิ้งเจียนั้น ประหนึ่งเป็น้ำแข็งเหมันต์หมื่นปีที่เกือบแช่แข็งนางไปแล้ว
“ท่านแม่ พี่หญิงน่ะ วันนี้พี่หญิงดูผิดปกติั้แ่เช้าตรู่แล้ว”
เฉินจิ้งโหรวอ้ำอึ้งอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยจนจบประโยค
ยามนี้แค่นางนึกถึงสายตาของเฉินจิ้งเจียคู่นั้น ก็รู้สึกเหมือนถูกแช่แข็งจนตัวสั่นระริกแล้ว
จ้าวอี๋เหนียงสีหน้าคร่ำเคร่งทันตา “โหรวเอ๋อร์ เ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน! คุณหนูใหญ่ผิดปกติตรงไหน ที่นี่คืออารามพุทธ ิญญามารร้ายตนใดจะมาอาละวาดได้?”
เมื่อได้ยินจ้าวอี๋เหนียงเอ่ยเช่นนี้ จิตใจประหวั่นของเฉินจิ้งโหรวก็สงบลง
“ฟังแม่นะ ไปดูคุณหนูใหญ่ นายท่านโหววาดหวังเสมอว่าพวกเ้าสองพี่น้องจะสมัครสมานใจกัน หากเห็นพวกเ้าอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนม ท่านโหวต้องดีใจอย่างแน่นอน”
ไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะเฉินจิ้งโหรวไม่ยอมไป จ้าวอี๋เหนียงจึงยกป๋อชางโหวมาเกลี้ยกล่อมนาง
คนเป็มารดาย่อมเข้าใจบุตรสาวมากที่สุด เป็อย่างที่คิด ครั้นเฉินจิ้งโหรวได้ยินคำพูดนางก็พยักหน้ารับในบัดดล หลังจากจัดเก็บของเสร็จเรียบร้อย จึงพาสาวใช้มุ่งหน้าไปหาเฉินจิ้งเจีย
หนานจือที่กำลังปากเปียกปากแฉะในการโน้มน้าวใจเฉินจิ้งเจียมิให้คิดแต่งงานกับเผยฉางชิงอยู่ในห้องกั้นข้างเรือน ได้ยินความเคลื่อนไหวจากนอกประตู
นางหุบปากสนิททันที แหวกม่านเดินออกไป
เพียงครู่เดียวเฉินจิ้งเจียก็ได้ยินเสียงราบเรียบของหนานจือ “คุณหนูรองมาแล้วเ้าค่ะ”
นางยิ้มมุมปาก เป็อย่างที่คิด จ้าวอี๋เหนียงส่งคนมาสืบข่าวจริงๆ ทั้งยังเป็น้องสาวที่สนิทสนมที่สุดของนางอีกด้วย
หลังจากปรับอารมณ์ได้ เฉินจิ้งเจียจึงเงยหน้าขึ้นมองบุคคลที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางดีอกดีใจ “มีอะไรหรือโหรวเอ๋อร์?”
“โหรวเอ๋อร์ได้ยินมาว่าพี่ใหญ่จัดแจงเรือนให้พี่หญิงไกลทีเดียว ข้ากลัวพี่หญิงจะเบื่อจึงมาหาสักหน่อยเ้าค่ะ”
เฉินจิ้งโหรวเอ่ยด้วยสีหน้าดังเดิม แต่กลับพลั้งเผลอป้ายสีให้เฉินอี้เหออย่างลืมตัว
ชาติก่อนเฉินอี้โหรวใช้วิธีนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม น่าเสียดายที่เฉินจิ้งเจียในชาติก่อน ติดหล่มความเป็พี่น้องในคำโกหกนี้ จนนางฟังเจตนาชั่วร้ายที่ซ่อนเร้นไว้ไม่ออก
พอได้ยินนางพูดในยามนี้ ในใจเฉินจิ้งเจียกลับอยากแค่นหัวเราะเท่านั้น
“แต่ถือว่าดี เรือนอยู่ไกลไปบ้าง ทว่าเงียบสงบทีเดียว” เฉินจิ้งเจียยิ้มบาง เผยบุคลิกความเป็กุลสตรีชั้นสูงให้เห็น
เฉินจิ้งโหรวมิได้คิดมาก นั่งลงข้างกายเฉินจิ้งเจียทั้งที่นางมิได้เรียกหา ยกถ้วยชาจิบครั้งหนึ่งก่อนเอ่ยออกมา
“โหรวเอ๋อร์ได้ยินมาว่าเมื่อครู่พี่หญิงเพิ่งกลับจากเรือนท่านพ่อมาหรือเ้าคะ” นางถามขึ้นราวกับกำลังพูดคุยหัวข้อสนทนาไปเรื่อยอย่างไรอย่างนั้น
เฉินจิ้งเจียพยักหน้า “ใช่ เมื่อครู่ข้าคุยธุระบางอย่างกับท่านพ่อ ไฉนเ้าถึงถามข้าเื่นี้เล่า?”
“ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่า ตอนนี้ท่านพ่อโมโหมาก ดังนั้นจึงคิดว่าอาจเป็เพราะพี่หญิงมีเื่ขัดแย้งอันใดกับท่านพ่อเข้าหรือไม่...”
นางพูดไปพลางสังเกตท่าทีของเฉินจิ้งเจียไปพลาง หวังเดาความคิดของอีกฝ่าย
ไม่คอยให้เฉินจิ้งเจียทันปริปาก หนานจือที่อยู่ข้างๆ พลันขมวดคิ้ว ตัดบทเฉินจิ้งโหรวทันที “คุณหนูรอง ท่านหมายความว่าอย่างไรเ้าคะ? จะบอกว่าคุณหนูใหญ่ของเราไม่รู้มารยาท ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่อย่างนั้นหรือ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้