แผนการของซูอวิ๋นนั้นช่างเืเย็น นางไม่เปิดโอกาสให้หนิงเทียนหลบหนีแม้แต่น้อย และด้วยความร่วมมือพร้อมใจของศิษย์ทุกคน กว่าหนิงเทียนจะตระหนักถึงอันตราย ทุกอย่างก็สายเกินแก้แล้ว
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าชิวซานอวิ๋นจะคิดกระทำการใดหรือแม้เขาจะมีสายเืพิเศษ แต่หนิงเทียนก็เชื่อมั่นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถเอาชนะตนเองได้ ทั้งยังมีโอกาสที่พ่ายแพ้ต่อกายาสุวรรณะนิรันดร์อีกด้วย
เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเพื่อการสังหารเขาแล้ว ซูอวิ๋นจะสามารถคิดแผนการแสนเลวร้ายขึ้นมา โดยการเปิดใช้อาวุธิญญาระดับกลางและโจมตีแบบสายฟ้าแลบ ซึ่งทำให้เขาไม่มีโอกาสรอดชีวิตเลย
เมื่อความตายกำลังใกล้เข้ามา หนิงเทียนก็แผดเสียงคำราม เส้นสีทองปรากฏขึ้นตามผิวของเขา กายาสุวรรณะนิรันดร์เคลื่อนตัวถึงขีดสุด ลำธารวงแหวนล้อมรอบกาย แหล่งกำเนิดแห่งชีวิตเบ่งบาน เรียกได้ว่าเป็การเรียกใช้ทุกทักษะที่ตนมี
เปลวเพลิงเดือดพล่านเผาผลาญทุกสิ่ง อาวุธิญญาต่างๆ ล้วนปลดปล่อยพลังอัคคีโหมกระหน่ำ และเกิดลำแสงกระจายตัวปกคลุมร่างของหนิงเทียน
ทางด้านซูอวิ๋น ชิวซานอวิ๋น และหลิวจินอวิ๋นต่างก็รีบร้อนถอยกลับ เมื่อคัมภีร์หลิงฮวงเริ่มััได้ถึงอันตราย มันก็แสดงความเดือดดาลออกมา ทำให้ภาพพันทิวเขาเหมันต์และธาราทักษิณในวสันตฤดูกระเด็นออกไป ทั้งยังสร้างาแให้กับซูอวิ๋นและหลิวจินอวิ๋นอีกด้วย
ส่วนอู่เจี้ยนหง ต่งซิงอู่ และโม่ซิ่งหวาที่ร่วมกันะเิพลังอาวุธิญญาต่างก็ได้รับผลสะท้อนกลับเช่นเดียวกัน ทั้งสามคนกระอักเืสีแดงฉานออกมาและได้รับาเ็สาหัสจากคลื่นแสง
เหมยเอ้าซงและสองคนที่เหลือไม่ทราบแผนการของซูอวิ๋นมาก่อน อีกทั้งความ้าที่จะสังหารหนิงเทียนยังทำให้พวกเขาอยู่ใกล้กับหนิงเทียนมากที่สุด เมื่ออาวุธิญญาะเิพลังออกมา ทั้งสามคนจึงเป็กลุ่มแรกที่รับผลกระทบอย่างรุนแรงจนต้องส่งเสียงโอดครวญ
ทางด้านหนิงเทียนก็าเ็สาหัสอย่างมาก ทว่าใน่วิกฤตของชีวิตเช่นนี้กลับมีเสียงฉินดังก้องในจิตใจของเขา ซึ่งเป็เสียงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความโกรธเกรี้ยว
กายาสุวรรณะนิรันดร์สลายตัวอย่างรวดเร็วภายใต้รัศมีทำลายล้าง เสื้อผ้าของเขากลายเป็เถ้าถ่าน ิัแตกระแหง กระบี่ไร้จำนงในร่างกลับตาลปัตร เขายืนหยัดต่อกรกับคลื่นแห่งการทำลายล้างที่เข้ามารุกรานใน่วิกฤตของชีวิต ซึ่งยามนี้ทั้งร่างของเขาอาบไปด้วยหยาดโลหิตที่หลั่งรินออกมาจากทวารทั้งเจ็ด
ทันใดนั้นเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดก็สั่นะเืห้วงเวหาอย่างไร้ขอบเขต ก่อนจะสะท้อนไปทั่วทั้งจัตุรัส
เมื่อชิวซานอวิ๋นได้ยินเสียงพิโรธนี้ ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดและะโลั่นว่า “เป็ใครกัน?”
ในชั่วพริบตาเดียว พลังอันท่วมท้นและเจตนาสังหารแสนพรั่นพรึงก็ร่วงลงมาจากฟากฟ้า พร้อมด้วยร่างปริศนาร่างหนึ่งที่ะเิพลังใส่ชิวซานอวิ๋นอย่างรุนแรง
“ไสหัวไป!”
ในบรรดาผู้รอดชีวิตทั้งหกคน ชิวซานอวิ๋นเป็ผู้ที่ได้รับาเ็น้อยที่สุด ดังนั้น เขาจึงสามารถคงประสิทธิภาพในการต่อสู้ของตนไว้ได้ และเมื่อต้องเผชิญกับการโจมตี เขาก็แสยะยิ้มอย่างเ็าแล้วออกหมัดตอบโต้ทันที
ในฐานะยอดฝีมือแห่งสำนักอินทนิล ชิวซานอวิ๋นเป็ผู้มีสายเืเงาอินทนิล และสิ่งที่เขาฝึกฝนมาตลอดก็คือทักษะเงา์อินทนิลซึ่งทรงพลังอย่างยิ่ง
เหล่าผู้เข้ามาสำรวจแดนลับล้วนเป็ศิษย์หลัก และชิวซานอวิ๋นก็มั่นใจอย่างเต็มที่ว่าตนแข็งแกร่งมากพอที่จะสู้กับทุกคนในที่นี้ ดังนั้นหมัดของเขาในครานี้จึงเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ
ผู้มาเยือนแผดเสียงอย่างเดือดดาล ฝ่ามือเรียวทรงพลังเหนือจินตนาการ เสี้ยววินาทีที่หมัดของทั้งคู่กระทบกัน ชิวซานอวิ๋นก็โอดครวญดังลั่น หมัดของเขาแตกเป็เสี่ยง และความเ็ปในใจก็ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง
ภายใต้ขอบเขตเดียวกัน ยังมีผู้ที่สามารถะเิหมัดของเขาด้วยฝ่ามือเดียวอยู่อีกหรือ?
“สถานการณ์เป็อย่างไร?” หลิวจินอวิ๋นพลิกตัวถอยกลับ ขณะที่เขายืนหยัดมั่นคง เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของชิวซานอวิ๋น
ทันใดนั้น ร่างนิรนามก็เคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมแผดเสียงเ็าซึ่งเปี่ยมด้วยความเคียดแค้นนับอนันต์ และทำให้ทราบว่านั่นคือสตรีนางหนึ่ง “พวกเ้าทั้งหมดสมควรตาย!”
“อวดดียิ่งนัก...อ๊าก!” หลิวจินอวิ๋นโต้กลับอย่างโกรธเคือง แต่เขาเหวี่ยงกำปั้นขวาออกไปได้เพียงครึ่งทางก็ถูกทุบเป็ชิ้นๆ ด้วยฝ่ามือของอีกฝ่าย และแขนขวาของเขาถูกเป่าจนแหลกในชั่วพริบตา
“บ้าเอ๊ย!” อู่เจี้ยนหงสบถก่อนจะวิ่งไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนทันที แม้เขาจะาเ็สาหัส ทว่าระฆังทองเปลวเพลิงสีชาดของเขาก็ยังคงมีการคุ้มกันที่แข็งแกร่ง
ทางด้านซูอวิ๋น ต่งซิงอู่ และโม่ซิ่งหวาต่างก็ตื่นใและเกรี้ยวกราด พวกเขาเพิ่งสังหารหนิงเทียนได้สำเร็จ แล้วเหตุใดสตรีนางนี้ถึงปรากฏตัวขึ้นมาเล่า?
“ตายเสียเถอะ!” ผู้มาเยือนฟาดฝ่ามือหยกเรียวยาวซึ่งเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างถึงที่สุด พลังทำลายล้างนี้ไม่ได้รับผลกระทบจากธงแยกิญญาหยวน จึงสามารถจู่โจมระฆังทองเปลวเพลิงสีชาดของอู่เจี้ยนหงได้โดยตรง ทั้งยังทำให้ชุดเกราะของเขาแหลกละเอียด พร้อมกระชากหัวใจของเขาออกมาและจับกุมคนที่เหลือเอาไว้
พวกเขาล้วนหวาดกลัวและกรีดร้องโหยหวนด้วยความตื่นตระหนกและความสิ้นหวัง
สตรีนิรนามสวมผ้าคลุมหน้าและชุดสีขาวราวกับหิมะ เดิมทีนางควรดูสง่างาม ทว่ายามนี้นางกลับดูเหมือนทูตแห่งความตาย
“หนีเร็วเข้า!” ซูอวิ๋นะโลั่น
ผู้มาเยือนจ้องมองซูอวิ๋นด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงชิงชังว่า “หญิงชั้นต่ำ! วันนี้พรรคพวกของเ้าจะต้องตายทั้งหมด!”
ซูอวิ๋นได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าผู้มาเยือนมีความเกลียดชังต่อนางอย่างมาก
ขณะที่ซูอวิ๋นกำลังครุ่นคิดหาตัวตนของหญิงนิรนามคนนี้ ชิวซานอวิ๋นก็วิ่งมาหานางแล้วกระซิบบอกว่า “เข้าไปในบ่อน้ำกันเถอะ”
ทันใดนั้นซูอวิ๋นก็ได้สติกลับคืนมาและเรียกใช้ภาพพันทิวเขาเหมันต์อย่างรวดเร็ว จากนั้นทั้งสองคนก็รีบพุ่งเข้าหาบ่อน้ำ
เมื่อภาพพันทิวเขาเหมันต์เปิดออก ท่วงทำนองอันไพเราะของฉินก็ดังขึ้นมาจากฝั่งผู้มาเยือน ซึ่งทำให้ซูอวิ๋นใและโพล่งขึ้นว่า “เ้าได้สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของหอฉินมาแล้วหรือ?”
ทว่าชิวซานอวิ๋นก็คว้ามือของนางและพาเข้าไปในบ่อน้ำด้วยความเร็วดุจสายฟ้าก่อนที่นางจะได้รับคำตอบ
เมื่อหลิวจินอวิ๋นเห็นเช่นนี้เขาก็ไม่มีเวลาไตร่ตรองแล้ว เขากระตุ้นภาพธาราทักษิณในวสันตฤดู ทั้งยังเพิกเฉยต่อสถานการณ์อันเลวร้ายของต่งซิงอู่และโม่ซิ่งหวา นั่นเพราะการเอาชีวิตรอดนับเป็เื่ที่สำคัญกว่า
“ศิษย์พี่หลิวรอข้าด้วย!” ต่งซิงอู่พยายามะโเรียก แต่ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน ในยามคับขันเช่นนี้หลิวจินอวิ๋นจะมาสนใจเขาได้อย่างไร?
สตรีในชุดขาวแผ่รังสีอาฆาตราวกับพญาราชสีห์ เสียงคำรามแห่งความโศกเศร้าและความเกรี้ยวโกรธดังขึ้นพร้อมกับมวลพลังมหาศาล นางทุบโม่ซิ่งหวาจนร่างแตกเป็เสี่ยงด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของต่งซิงอู่
“ยะ...อย่าทำอะไรข้านะ เราไม่ได้มีความบาดหมางต่อกัน เ้า...”
“แต่พวกเ้าทำร้ายเขา! เพียงเท่านี้ก็นับว่ามีความแค้นกับข้าแล้ว!” สตรีนางนั้นกล่าวก่อนจะหันไปมองหนิงเทียนด้วยดวงตาเศร้าโศกไม่รู้จบ
ต่งซิงอู่คิดจะอาศัยโอกาสนี้เพื่อหลบหนี แต่ทันทีที่เขาลอยขึ้นไปกลางอากาศ ฝ่ามือหยกก็ฟาดใส่หลังของเขาอย่างแม่นยำทันที
วินาทีต่อมานางจ้องมองบ่อน้ำและเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มอย่างเศร้าสร้อยและเดินไปที่ร่างของหนิงเทียน
เดิมทีนางคิดว่าหนิงเทียนตายแล้ว นางจึงคลุ้มคลั่งด้วยความโกรธ แต่เมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิดก็พบว่าแม้สภาพของเขาจะสาหัสปางตาย แต่เขาก็ยังหายใจอย่างรวยรินอยู่
สตรีผู้นั้นรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง นางประคองร่างของหนิงเทียนขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วพาเขาหายเข้าไปในเมืองร้างเพียงชั่วพริบตา
...
ทางด้านซิ่งอวี่เจวียน หลังจากนางถูกหนิงเทียนส่งออกไป นางก็รู้สึกกังวลอย่างมาก
ทันทีที่ร่างของนางได้รับการปลดปล่อย ความคิดแรกของซิ่งอวี่เจวียนก็คือการรีบกลับไปช่วยหนิงเทียน
ทว่าในเมืองร้างนั้นมีอสูริญญาจำนวนนับไม่ถ้วนออกอาละวาด เหล่าพฤกษาก็ล้วนกลายเป็ิญญาทั้งหมด ซิ่งอวี่เจวียนที่าเ็พยายามก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลังด้วยความสิ้นหวังเพื่อไปที่จัตุรัส แต่ก็ถูกิญญาต่างๆ ขัดขวางไว้
“หนิงเทียน เ้ารอข้าก่อนนะ ข้าจะไปช่วยเ้า แม้ว่าข้าจะต้องตายก็ตาม...” ซิ่งอวี่เจวียนเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาและเสียงร่ำไห้อย่างโศกเศร้า นางได้รับาเ็สาหัส ทั้งยังถูกเหล่าิญญาโจมตีอย่างต่อเนื่องจนเกือบเสียสติด้วยความวิตกกังวล
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด ทว่าเมื่อซิ่งอวี่เจวียนได้ยินเสียงคำรามน่าพิศวงบนท้องนภา นางก็รีบหลบซ่อนตามสัญชาตญาณ และหลังจากสิ้นเสียงนี้ นางก็เห็นว่ามีเศษผ้าชิ้นหนึ่งที่มีข้อความเขียนไว้วางอยู่ใกล้ๆ
ซิ่งอวี่เจวียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบเศษผ้าขึ้นมาดู
“หนิงเทียนอยู่ในหอภาพเขียน”
ข้อความสั้นๆ นี้ทำให้ซิ่งอวี่เจวียนะเืใจยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็ความจริงหรือไม่ นางก็รีบหันหลังกลับและตรงไปยังหอภาพเขียนทันที
เสียงถอนหายใจผะแ่ก้องอยู่ในจิตใจของหนิงเทียน ทันทีที่ลืมตาขึ้นมาเขาก็ได้กลิ่นหอมจางๆ ในอากาศ ซึ่งเป็กลิ่นที่เขาคุ้นเคยมาก
หนิงเทียนดีดตัวขึ้นอย่างตื่นใ เขาจำได้รางๆ ว่าก่อนหน้านี้ศัตรูได้จุดชนวนอาวุธิญญาระดับกลางในจัตุรัส และบีบบังคับให้เขาไปสู่ทางตันจนความมืดมิดเข้าปกคลุมเขาไว้ ดังนั้น เขาจึงคิดว่าตนตายไปแล้ว
ทว่ายามนี้ไม่ใช่แค่ยังมีชีวิตอยู่ แต่อาการาเ็ภายในของเขายังหายเป็ปลิดทิ้งอีกด้วย
หนิงเทียนย่นจมูกสูดดมอากาศหอมฟุ้ง นำกลิ่นอายที่คุ้นเคยไหลผ่านร่าง อีกทั้งเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาก็ล้วนใหม่เอี่ยมและสะอาดสะอ้าน
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ พร้อมใช้ยุทธศาสตร์ครอง์ พลันดอกไม้ ต้นไม้ ต้นหญ้า และเถาวัลย์ด้านนอกหอภาพเขียนก็ล้วนถูกควบคุมทันที ก่อนจะมีภาพร่างที่คลุมเครือปรากฏขึ้นมาในจิตใจ
“นางหรือ?”
หนิงเทียนรู้สึกซับซ้อนอย่างอธิบายไม่ได้ ด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าพฤกษา เขาเห็นเพียงร่างที่ขาวโพลนราวหิมะแบกเขามาที่นี่ แต่มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของผู้มีพระคุณ ทันใดนั้นกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตในร่างของเขาก็ตื่นขึ้นและมีความกระตือรือร้นอย่างมาก
นี่เป็การส่งสัญญาณบางอย่าง และหนิงเทียนก็เข้าใจได้ทันที
เป็นางจริงๆ
การรอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ก็ยังคงเป็นางที่ช่วยเขาไว้
เหตุใดนางถึงอยู่ในแดนลับนี่เล่า? นางเป็ผู้บำเพ็ญหยวนซิวหรือซิงซิวด้วยหรือ?
บริเวณรอบหอภาพเขียนนั้นเงียบสงบ แต่กลับมีเสียงเพลงฉินดังก้องอยู่ในใจของหนิงเทียน
สีหน้าของเขาค่อนข้างซับซ้อน เขากำหมัดแน่นแล้วคลายมือออกด้วยความสับสน
แล้วเหตุใดต้องเป็นางเล่า? ทำไมกัน?
หนิงเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วยืนขึ้นอย่างงุนงงราวกับตกอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งเสียงเรียกของซิ่งอวี่เจวียนเรียกสติเขากลับมา
เขามองไปรอบๆ พร้อมยิ้มอย่างขมขื่นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ถอนหายใจและเดินลงไปชั้นล่าง
“พี่สาวซิ่ง! ข้าอยู่นี่!”
“หนิงเทียน เป็เ้าจริงๆ ด้วย! เ้าหนีออกมาได้อย่างไร?” ซิ่งอวี่เจวียนถามอย่างมีความสุข นางจับมือหนิงเทียนไว้แน่นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า
หนิงเทียนใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้ซิ่งอวี่เจวียนแล้วกอดนางไว้โดยไม่พูดสิ่งใด หลังจากอารมณ์ของนางสงบลงแล้ว เขาก็พานางไปยังจัตุรัสกลางเมืองทันที
เมื่อมองดูซากศพบนพื้น ซิ่งอวี่เจวียนก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า นางััได้ถึงความขมขื่นในการต่อสู้ของหนิงเทียนก่อนหน้านี้
น้ำเต้าเจ็ดสีกลับเข้าร่างของหนิงเทียนพร้อมเปล่งแสงวูบไหว อีกทั้งคัมภีร์หลิงฮวงยังปรากฏขึ้นกลางห้วงอากาศ และร่วงลงสู่มือของหนิงเทียนเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ ทหาริญญาเยาเยาก็ถูกพลังะเิของอาวุธิญญาเช่นกัน ทว่ายามนี้มันก็ฟื้นคืนชีพกลับมาแล้ว
เมื่อมองดูร่างไร้ิญญาของอู่เจี้ยนหงและโม่ซิ่งหวา ร่องรอยความสงสัยก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของหนิงเทียน
นางสามารถสังหารสองคนนี้ได้ด้วยหรือ?
เช่นนั้นความแข็งแกร่งของนางจะไม่น่าอัศจรรย์หรอกหรือ?
“หนิงเทียน เ้าเป็อะไรไป?” ซิ่งอวี่เจวียนถามขึ้นเมื่อเห็นว่าหนิงเทียนมีท่าทีฟุ้งซ่าน
“ชิวซานอวิ๋นไม่อยู่ที่นี่ ข้าเดาว่าเขาคงเข้าไปในบ่อน้ำแล้ว เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ นั่นคือหนทางที่เราต้องผ่านไป” หนิงเทียนคว้ามือซิ่งอวี่เจวียนและพานางมาที่ปากบ่อน้ำ โดยมีคัมภีร์หลิงฮวงลอยอยู่เหนือศีรษะ
หมอกแห่งความโกลาหลค่อยๆ พรั่งพรูออกมาจากปากบ่อน้ำ มันพยายามปล่อยคลื่นแสงแห่งการทำลายล้าง ทว่าก็ถูกปิดกั้นด้วยแสงเจิดจ้าที่ส่องมาจากคัมภีร์หลิงฮวง
“นี่คือกุญแจสำคัญในการเข้าไปด้านใน และเราอาจเป็กลุ่มสุดท้าย” หนิงเทียนพูดพลางดึงซิ่งอวี่เจวียนะโเข้าไปในปากบ่อ ขณะเดียวกันก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในเมืองร้าง
หอทั้งสี่ไม่ว่าจะเป็หอฉิน หอตำรา หอภาพเขียน และหอหมากรุกล้วนพังทลายลงในพริบตา เนื่องจากกุญแจทั้งเก้าดอกไขเข้าไปในบ่อน้ำครบแล้ว ซึ่งน่าเสียดายเหลือเกินที่ไม่มีผู้ใดได้เห็นฉากนี้
ซิ่งอวี่เจวียนรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ทว่าหนิงเทียนกลับให้ความสนใจกับทิวทัศน์โดยรอบ
กระบวนการร่วงลงมาใช้ระยะเวลาถึงหนึ่งก้านธูป ซึ่งบ่งบอกว่าบ่อน้ำแห่งนี้มีความลึกอย่างน้อยหลายพันจั้ง
เมื่อมองเห็นแสงสว่างที่ส่องมาจากด้านล่าง หมอกแห่งความโกลาหลก็สลายไป พร้อมกับหนิงเทียนและซิ่งอวี่เจวียนที่ร่อนลงมาบนทุ่งหญ้า
หนิงเทียนเงยหน้ามอง้าโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะเห็นว่าฟากฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยหมอก และยามนี้ก็มองไม่เห็นปากบ่อน้ำเลย
ซิ่งอวี่เจวียนกวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะพบหุบเขา “มีการต่อสู้เกิดขึ้นตรงนั้น”
เสียงอึกทึกถูกส่งมาเป็ครั้งคราวจากส่วนลึกของหุบเขา ทั้งยังสามารถมองเห็นแสงกระบี่ปะทะกันพุ่งทะลุผ่านชั้นหมอกออกมา
หนิงเทียนและซิ่งอวี่เจวียนรีบวิ่งไปทางหุบเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบซากศพมากมายระหว่างทาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็ศิษย์จื๋อซิวและซิงซิว
ร่างเหล่านี้ล้วนแห้งเหี่ยวและเน่าเปื่อยจนเหลือเพียงิัและกระดูก ซึ่งเป็การตายอย่างผิดธรรมชาติ
“สิ่งเหล่านี้เกิดจากเถาวัลย์หัวผีพันิญญา”
หนิงเทียนััได้ถึงกลิ่นอายของเถาวัลย์หัวผีพันิญญาจากกองซากศพ และทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นในหุบเขา เขาก็ได้ยินเสียงร้องอันแหลมคมราวกับเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ
“หนิงเทียน! จะ...เ้า...เ้ายังมีชีวิตอยู่!”
