เหนือทะเลสาบอันเงียบสงบ สายลมพัดเส้นผมของต้วนซินเยี่ยเบาๆ ทำให้นางที่ดูดีอยู่แล้วยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
ต้วนซินเยี่ย เกิดในตระกูลเชื้อพระวงศ์และจิติญญาทางสายเื อย่างไรก็ตามการบ่มเพาะของนางนั้นไม่ได้สูงมาก เพราะตระกูลของนางเป็เชื้อพระวงศ์ นั่นจึงทำให้นางไม่ค่อยได้ฝึกฝนเท่าไร ส่วนใหญ่นางจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเื่วัฒนธรรม ทำให้นางคุ้นเคยกับโลกภายนอก
บิดาของนางเป็ผู้ปกครองอาณาจักรเสวี่ยเยว่และเป็หัวหน้าตระกูลต้วน เขามักบอกกับนางว่าสามีในอนาคตของนางจะกลายเป็วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า นางไม่จำเป็ต้องมีพละกำลังแข็งแกร่ง เพียงแต่ต้องฝึกฝนอารมณ์และเสน่ห์ของตัวเอง ดังนั้นการฝึกฝนของนางจึงเป็ไปตามแต่ประสงค์
หลายปีมานี้ลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวงต่างเคยเห็นนางมาหมดแล้ว แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่นางไม่เคยพบเจอ แต่นอกเหนือจากคนเ่าั้แล้ว คนอื่นๆ ก็เหมือนกันหมด เมื่อพบนางแล้วพวกเขาก็ประจบประแจงและเอาใจ ดูเหมือนอยากใกล้ชิดมาก นั่นทำให้ต้วนซินเยี่ยรู้สึกเบื่อหน่าย และเพียงเจอหน้ากันครั้งแรกคนเราก็สามารถรักกันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?
ดังนั้นยิ่งแสดงความสนใจออกมามาก ต้วนซินเยี่ยก็ยิ่งเกลียดมาก นางแค่ไม่เปิดเผยออกมาเท่านั้น
เมื่อต้วนซินเยี่ยเจอหลินเฟิงครั้งแรกและเห็นเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งของหลินเฟิง ก็ทำให้นางรู้สึกไม่ชอบใจ นางคิดว่าแม้เขาจะไม่ได้สวมเสื้อผ้าหรูหรา แต่อย่างน้อยก็ควรสวมเสื้อผ้าที่สะอาด
แต่หลังจากนั้นนางพบว่าหลินเฟิงและนางมีบางอย่างคล้ายกัน อีกทั้งเธอยังรู้สึกซาบซึ้งใจที่แม้หลินเฟิงจะแต่งกายไม่ดีเท่าคนอื่น แต่ชายหนุ่มก็ยังภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งแตกต่างกับลูกหลานชนชั้นสูงที่หยิ่งยโสอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าเพราะหลินเฟิงแตกต่างจากคนอื่นๆ ต้วนซินเยี่ยจึงไม่อาจมองหลินเฟิงได้เหมือนครั้งแรก อาจกล่าวได้ว่านางรู้สึกดีกับเขา
แต่สิ่งที่ต้วนซินเยี่ยไม่เข้าใจคือ ทำไมต้วนหวู่หยาผู้เป็พี่รองของนาง ถึงดูภูมิใจที่ได้แนะนำหลินเฟิงแก่นาง หรือเขาคิดว่าหลินเฟิงจะกลายเป็วีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า?
สิ่งที่ต้วนซินเยี่ยยังไม่เข้าใจ หลินเฟิงก็ยิ่งไม่เข้าใจ หลินเฟิงมองต้วนหวู่หยาตาไม่กะพริบ ผ่านไปชั่วครู่หลินเฟิงก็ถามว่า “ฝ่าา ข้าขอถามท่านสักคำถามได้ไหม?”
ต้วนหวู่หยายิ้มขณะส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เ้าไม่จำเป็ต้องถาม เมื่อถึงเวลาเ้าก็จะรู้เอง หลินเฟิง เ้าวางใจเถิด ที่ข้าให้เ้ามาในครั้งนี้เพียงเพื่ออยากจะช่วยเ้า เ้าในตอนนี้จำเป็ต้องมีสถานะ”
“สถานะ” หลินเฟิงกล่าวอย่างประหลาดใจด้วยเสียงแ่เบา
“ใช่แล้ว ‘สถานะ’ ผู้คนมากมายในเมืองหลวงตอนนี้ต่าง้าสังหารเ้า ถึงเ้าจะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตลี้ลับ แต่คนเ่าั้ก็สินใจสังหารเ้าไปแล้ว แม้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับอาจปกป้องเ้าได้ แต่เ้าก็จำเป็ต้องสถานะ”
“ในสายตาของพวกเขาเ่าั้ เกรงว่าการมีสถานะมันอาจไม่เพียงพอที่จะปกป้องข้าได้ แต่แน่นอนว่าหากสถานะนี้ฝ่าาเป็ผู้มอบให้ มันจะแตกต่างออกไป”
หลินเฟิงมององค์ชายรองด้วยสายตาแหลมคม
หากองค์ชายรองมอบสถานะให้แก่เขา นั่นย่อมแสดงว่าหลินเฟิงเป็คนขององค์ชายรอง คนที่้าสังหารหลินเฟิงจะต้องไตร่ตรองถึงต้วนหวู่หยาให้ดีเสียก่อน
“ถูกต้อง” ต้วนหวู่หยายอมรับขณะพยักหน้า
“อย่างนั้นหลินเฟิงก็ต้องขอบพระคุณองค์ชายรอง”
หลินเฟิงกล่าวพร้อมคลี่ยิ้มนุ่มนวล เขาไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอแต่อย่างใด ต้วนหวู่หยาอยากปกป้องเขา แล้วเขาจะปฏิเสธข้อเสนอไปทำไม? อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ต้วนหวู่หยาก็ไม่เคยทำอะไรที่เป็อันตรายต่อหลินเฟิงเลย เขาช่วยเหลือหลินเฟิงมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้หลินเฟิงจึงไม่ปฏิเสธความปรารถนาดีของเขา
เมื่อต้วนหวู่หยาได้ยินดังนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมา หากหลินเฟิงเอ่ยเช่นนี้ก็แสดงว่าหลินเฟิงยอมรับความช่วยเหลือจากเขาแล้ว
“หลินเฟิง ข้ายังมีอีกเื่ที่จำเป็ต้องปรึกษาเ้า”
“ฝ่าามีอะไรจะรับสั่งเพิ่มเติมหรือไม่?” หลินเฟิงกล่าวอย่างสุภาพ แม้ต้วนหวู่หยาจะใช้คำว่า ‘ปรึกษา’ แต่หลินเฟิงก็ไม่อาจวางตัวสูงส่งได้
“เมื่อเร็วๆ นี้ในเมืองหลวงมีข่าวลือว่า อาณาจักรโม่เยว่ได้โจมตีชายแดนต้วนเริ่น สำนักเทียนอี้จึงจะส่งศิษย์ที่ยอดเยี่ยมไปเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ นี่คือประเพณีของสำนักเทียนอี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับศิษย์ทหาร สนามรบเป็สถานที่ที่ทำให้พวกเขาได้ประสบการณ์ ผู้ที่ผ่านสนามรบอันดุเดือดมาแล้วเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเป็ผู้ฝึกยุทธ์ทหาร นอกจากนี้ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็จะส่งศิษย์จำนวนมากไปเมืองต้วนเริ่นเช่นกัน อย่างแรกคือเพื่อประสบการณ์ อย่างที่สองก็เพื่อสร้างแรงกดดันให้สำนักเทียนอี้ หลินเฟิง ข้าหวังว่าคราวนี้เ้าจะสามารถไปเมืองต้วนเริ่นและนำความสำเร็จในการสู้รบกลับมา”
ต้วนหวู่หยาค่อยๆ กล่าวช้าๆ ทำให้ดวงตาของหลินเฟิงเปล่งประกาย
ความดีความชอบในการสู้รบ!
ต้วนหวู่หยาเป็บุคคลที่เคร่งครัด หากคราวนี้หลินเฟิงสามารถนำความสำเร็จในการสู้รบกลับมา เขาก็จะมอบสถานะให้แก่หลินเฟิง และด้วยชื่อเสียงที่หลินเฟิงสร้างขึ้นมาอย่างถูกต้องก็จะทำให้สถานะของเขามีน้ำหนัก
นอกจากนี้สำนักเทียนอี้และลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ต่างไปชายแดนต้วนเริ่นเหมือนกัน ซึ่งนั่นหมายความว่าสนามรบนี้จะเป็ศึกระหว่างสำนักที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองสำนัก
“หลินเฟิง สำหรับน้องสาวของข้านั้น มีเพียงวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าถึงคู่ควรที่จะแต่งงานกับนางได้”
ต้วนหวู่หยากล่าวด้วยเสียงลึกซึ้งขณะยิ้ม
“ข้าจะไปเมืองต้วนเริ่น”
หลินเฟิงพยักหน้า แม้ต้วนหวู่หยาจะไม่เอ่ยออกมา เขาก็ต้องไปเมืองต้วนเริ่นอยู่แล้ว เขาจำเป็ต้องฝึกฝนการต่อสู้และต้องนำหินหยวนไปแลกกับศิษย์นิกายหยุนไห่ ซึ่งการประสบความสำเร็จในสนามรบเท่านั้น ถึงจะทำให้เขาเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงได้ ซึ่งเขาไม่อยากให้ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ที่รอดมาได้ต้องกลายเป็เศษขยะ
นอกจากนี้หานหมานและพั่วจวินที่อยู่ที่นั่นจะเป็อย่างไรบ้าง และหลิ่วเฟยก็น่าจะไปหาท่านพ่อหลิ่วชั่งหลันของนาง
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เขาย่อมต้องไปเมืองต้วนเริ่นอยู่แล้ว
“ตกลง” ต้วนหวู่หยาพยักหน้าหนักแน่นและกล่าวว่า “หลินเฟิง หากคราวนี้เ้ากลับมาพร้อมกับผลงานการสู้รบ ข้าจะมอบตำแหน่งแม่ทัพ รวมไปถึงศักดินากึ่งหนึ่งในเมืองหยางโจวให้แก่เ้า”
“ศักดินาเมืองหยางโจว… ที่ดินของข้า…”
แววตาของหลินเฟิงสั่นไหวเล็กน้อย แม้เมืองหยางโจวจะเป็เมืองเล็กๆ ที่อยู่ในอาณาจักรกว้างใหญ่อย่างอาณาจักรเสวี่ยเยว่ แต่การที่องค์ชายรองได้มอบที่ดินกึ่งหนึ่งให้แก่เขา เกรงว่าองค์ชายรองผู้นี้จะต้องมีอำนาจมากพอที่จะทำเช่นนี้ได้
สัญญาเช่นนี้ทำให้หลินเฟิงถึงกับตั้งตารอ หากเขามีสถานะเป็ถึงแม่ทัพและกลับไปที่เมืองหยางโจว เมื่อเ้าเมืองหยางโจวรวมไปถึงตระกูลหลินได้เห็นหลินเฟิงล่ะก็ ปฏิกิริยาของพวกเขาจะต้องดูตื่นเต้นอย่างแน่นอน
หลินเฟิงที่ถูกทอดทิ้งแต่กลับศักดินาของเมืองหนึ่ง หมายความว่าเขาจะสามารถควบคุมเมืองหยางโจวและอีกหลายตระกูล ถ้าหากเป็เช่นนั้นตระกูลหลินจะต้องขายหน้าและถูกเยาะเย้ย แล้วจะกลายเป็เื่ที่น่าขบขันที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมืองหยางโจว
“หลินเฟิงขอขอบคุณฝ่าายิ่งนัก” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม “ฝ่าา หากไม่มีเื่อื่นแล้ว หลินเฟิงต้องขอตัวก่อน”
“อืม เ้าไปเถอะ” ต้วนหวู่หยายิ้มพลางพยักหน้า
หลินเฟิงโค้งกายทำความเคารพ แล้วพยักหน้าให้ต้วนซินเยี่ยเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เหาะออกไปด้วยท่าทางไม่สง่างามนัก
ต้วนหวู่หยาและต้วนซินเยี่ยมองส่งแผ่นหลังของหลินเฟิงจนลับสายตาไป จากนั้นต้วนหวู่หยาพลันหันไปหาต้วนซินเยี่ยและถามนางอีกครั้งว่า “ซินเยี่ย เ้าคิดว่าหลินเฟิงเป็อย่างไร?”
“ดูเป็คนที่มีมารยาทอย่างยิ่ง” ต้วนซินเยี่ยตอบกลับ ซึ่งคำตอบดังกล่าวทำให้ต้วนหวู่หยาเผยยิ้มออกมา “ั้แ่เมื่อไรกันที่น้องสาวของข้าพยายามหัดเปลี่ยนเื่คุย ข้าว่าเ้าเข้าใจความหมายในคำถามของข้าดีกว่านี้นะ”
ต้วนซินเยี่ยเหลือบมองต้วนหวู่หยาก่อนตอบกลับไปอีกครั้ง “พละกำลังและพร์ของเขาล้วนโดดเด่นเหนือกว่าใคร และยังแข็งแกร่งกว่าคนรุ่นเยาว์ที่มาจากชนชั้นสูงเสียอีก นอกจากนี้เขาช่างเป็คนสุภาพ ถ่อมตัวและยังบ้าระห่ำ อีกทั้งหัวใจของเขายังกล้าหาญดั่งเสือและเป็คนเืร้อนอีกด้วย”
เมื่อต้วนหวู่หยาได้ยินคำตอบของต้วนซินเยี่ย เขาจึงอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาและกล่าวว่า “นี่เป็ครั้งแรกที่ได้ยินน้องสาวของข้าประเมินค่าคนอื่นไปในทางที่ดี ข้าเกรงว่าหากเ้าพูดถึงขนาดนี้แล้ว อีกหน่อยเขาจะต้องเป็อัจฉริยะอย่างแน่นอน ต้องคนเช่นเขาเท่านั้นจึงจะคู่ควรกับน้องสาวของข้า”
“พี่รองท่านอย่าแกล้งข้าเลย” ความเขินอายฉายชัดอยู่บนใบหน้าของต้วนซินเยี่ย นางกล่าวต่อว่า “พี่รอง… ข้ายังมีอีกเื่หนึ่ง แม้เขามีคุณสมบัติเหล่านี้ แต่ข้าว่ามันก็ยังไม่เพียงพอที่ท่านพี่ต้องทำเช่นนี้เพื่อเขา”
“ข้ารู้ว่าไม่มีเื่ใดๆ ที่ปิดบังเ้าได้” ต้วนหวู่หยาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด เขาเพียงยิ้มและกล่าวว่า “ผู้ที่คู่ควรกับน้องสาวของข้า แน่นอนว่าจะต้องมีสถานะพิเศษ แม้ต้นกำเนิดของหลินเฟิงจะด้อยกว่าเ้า แต่ก็นับว่าไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก”
“ต้นกำเนิด?” ต้วนซินเยี่ยถามด้วยความสงสัย “เขาไม่ได้มีสถานะอะไรที่สูงศักดิ์หรือพิเศษเลย?”
“ทำไมจะไม่มีล่ะ มันก็แค่มีไม่กี่คนที่รู้เื่นี้ต่างหาก” ต้วนหวู่หยายิ้มอย่างมีเลศนัย “เ้ารู้ไหม เพราะเหตุใดข้าถึงเลือกป่าเซียงซือเป็สถานที่จัดงานเลี้ยงในครั้งนี้?”
“เพราะเหตุใด?” ต้วนซินเยี่ยยังคงมองต้วนหวู่หยาสายตาคลุมเครือเช่นเดิม
“เพราะหลินเฟิงคือบุตรชายของนาง” ต้วนหวู่หยากล่าว ในขณะที่ทอดสายตามองออกไป
สายตาของต้วนซินเยี่ยสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่า เขาเป็บุตรชายของคนผู้นั้น!
หญิงสาวผู้เป็ตำนานของอาณาจักรเสวี่ยเยว่!
ลิ้มลองเหล้าเซียงซือรสหวานล้ำด้วยความลุ่มหลงสุดประมาณ ป่าเซียงซือแห่งนี้มีเพียงผู้ที่มีสถานะสูงศักดิ์ถึงสามารถเข้ามาที่นี่ได้ ทว่าใครจะรู้ว่าผู้สร้างมันจะเป็เพียงผู้หญิงคนหนึ่ง!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้