ไท้หยูไม่เชื่อใจทั้งยังมองว่าอันตราย เื่นี้เป็ที่เข้าใจได้
โบ๋เวินก็คาดเดาได้แต่แรกว่าประมุขพันปีจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ในสมองนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดที่หลินกงกงกล่าวไว้ โบ๋เวินพลันสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้ไท้หยูยอมรับและนับตนเองเป็ผู้อยู่ใต้อาณัติให้ได้ ดังนั้นจึงกล่าวว่า
“หากท่านประมุขไม่มั่นใจ ข้าสามารถทำสัญญาเืกับท่านประมุข”
ไท้หยูถึงกับเอียงศีรษะจ้องมองอีกฝ่าย ไม่ทราบว่าโบ๋เวินผู้นี้มีแผนการอันใด นี้ยิ่งไม่เหมือนโบ๋เวินผู้นั้น ที่แท้หลินกงกงทำอะไรกับเขากันแน่
“เ้ายอมทำถึงขั้นนี้ มีจุดประสงค์อะไร”
โบ๋เวินไม่ลีลาตอบกลับไปว่า
“ย่อมเพื่อชีวิต” กล่าวเพียงเท่านี้ก็หยุด สร้างความสงสัยยิ่งกว่าเดิมให้กับไท้หยู จากนั้นค่อยกล่าวว่า
“ท่านประมุขกำลังสืบผู้ที่อยู่เื้ัเหตุร้ายทั้งหมดนี้มิใช่หรือ ข้าสามารถเป็กำลังให้ท่านได้ ทั้งนี้ข้ายังรู้เื่ราวหนึ่ง สามารถบอกต่อท่านประมุข”
เพื่อให้ประมุขพันปีเกิดความเชื่อใจ โบ๋เวินทิ้งลักษณะเดิมออกไปจนสิ้น คำพูดนี้ของเขาทำให้ไท้หยูเกิดความสนใจขึ้นมา
โบ๋เวินคาดเดาถูกต้อง ตอนนี้ไท้หยูกำลังตามหาผู้อยู่เื้ันี้ ทว่าจนใจที่มิทราบจะคลำไปทางใด “โบ๋เวินอยู่ในสำนักเมฆั มีฐานะสูงคงทราบเื่บางประการ”
เขาครุ่นคิดอยู่ในใจ จากนั้นกล่าวว่า
“เ้ามีเื่ใดจะบอก ลองบอกมา ข้าจะพิจารณาดู”
โบ๋เวินเห็นว่าหัวข้อนี้สามารถทำให้ประมุขพันปีคลายการป้องกันลง ในใจจึงชื้นขึ้นหลายส่วนรีบกล่าวต่อทันทีว่า
“ท่านประมุขรู้จักพรรคอัปสรหรือไม่”
ไท้หยูทวนคำ” พรรคอัปสร” อยู่สองสามรอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจึงส่ายหน้า คาดว่าคงเป็พรรคไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ก็พรรคเล็กพรรคน้อยในยุทธภพ
โบ๋เวินสีหน้าเคร่งขรึมกล่าวสืบต่อว่า
“พรรคอัปสรเป็พรรคลับอยู่ในเมืองหลวง บัดนี้ข้าเองก็ยังไม่ทราบว่าผู้ที่อยู่เื้ัพรรคอัปสรคือผู้ใด ทว่าต้องเป็เื้ัที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาสามารถใช้ศิษย์พี่ของข้าและเ้าสำนักพิรุณพายุเพียงชี้นิ้วสั่ง”
โบ๋เวินนึกย้อนกลับไปเมื่อยามเที่ยงวันนี้ หลังจากเผชิญหน้ากับขันทีผมขาวที่น่าครั่นคร้ามผู้นั้น เขากลับไปยังโถงใหญ่สำนักเมฆั
ตอนนั้นเ้าของศีรษะที่ร่วงสู่พื้นเ่าั้ขอเข้าพบ โบ๋เวินให้พวกเขาเข้ามา ผู้าุโที่เหลืออยู่เ่าั้เป็ผู้าุโที่มีอายุมากแล้ว แม้นไม่แข็งแกร่งเท่าผู้าุโใหญ่ที่ติดตามศิษย์พี่ไปสังหารคน ทว่าด้านประสบการณ์เป็เลิศและเป็มันสมองของสำนักเมฆั
ตอนนั้นเหล่าผู้าุโต่างเปิดเผยต่อเขาว่า เื้ัของเื่ราวทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากพรรคอัปสร ชื่อนี้เขาไม่เคยได้ยินตอนแรกเข้าใจว่าเพราะตนเองกักตนมาหลายปี ทว่าภายหลังจึงทราบว่า พรรคอัปสรนี้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อล้มล้างประมุขพันปีและสำนักพันปีโดยเฉพาะ
พรรคอัปสรเป็ผู้มีอำนาจใหญ่อยู่เื้ั มียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย ผู้าุโเ่าั้กล่าวว่ายังน่าสะพรึงยิ่งกว่าสำนักเมฆัและสำนักพิรุณพายุรวมเข้าด้วยกันอีก
จุดประสงค์ของผู้าุโทั้งหลายก็คือ ให้เขาลอบติดต่อกับพรรคอัปสรอีกครั้ง เพื่อนำกำลังคนเข้าจู่โจมสังหารประมุขพันปีอีกครั้ง หลังจากนั้นเื่ที่รู้ก็ถูกเล่าออกมา โบ๋เวินที่ตัดสินใจไม่เก็บพวกเขาไว้แต่แรก ทันทีที่ฟังจบและทราบว่าไม่มีเื่ใดให้ล้วงอีกแล้วจึงสังหารพวกเขาทั้งหมด
โบ๋เวินเล่าเื่เกี่ยวกับพรรคอัปสรที่ตนเองได้รับมาให้ประมุขพันปีฟังหนึ่งรอบ จากนั้นเฝ้ามองปฏิกิริยาของเขา
ใบหน้าของไท้หยูนิ่งเฉยคล้ายไม่สะทกสะท้าน ทว่าทั้งหมดล้วนเป็แสร้งทำ ในใจเขากำลังเต้นอย่างรุนแรง สมองครุ่นคิดล้วงลึกเข้าไปในความทรงจำทั้งหมด เขาไม่พบว่าทั้งชีวิตของไท้หยูมีศัตรูที่ทรงอำนาจเช่นนั้น ยิ่งคิดไม่ออกว่าตนเองไปตอแยคนร้ายกาจปานนั้นั้แ่เมื่อใด
พรรคอัปสรถึงกับเป็กลุ่มอำนาจที่ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อจัดการกับเขาและสำนักพันปีโดยเฉพาะ ก่อนที่เขาจะรับตำแหน่งประมุขหลายปีก็อยู่แต่บนเขา ั้แ่อายุยี่สิบเศษ จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ออกท่องยุทธภพเลย เป็ไปไม่ได้ที่จะมีศัตรูเช่นนั้น นอกจากศิษย์พี่ของโบ๋เวิน เขาก็นึกไม่ออกว่าผู้ใดจะเคียดแค้นถึงขั้นเป็ศัตรูตัวฉกาจเช่นนี้
ตัวเขาไม่มีศัตรู เช่นนั้นเป้าหมายก็สามารถเจาะจงได้แล้ว สำนักพันปี
เป้าหมายของผู้อยู่เื้ัคือสำนักพันปี เพราะเหตุการณ์เหล่านี้เริ่มขึ้นั้แ่อาจารย์ของเขา
ศิษย์พี่ของเขา รุ่ยซวนคาดว่ามีเอี่ยวกับเื่นี้ อาจถูกชักจูงด้วยพรรคอัปสรที่ว่า จากนั้นเขาพลันเข้าใจ อาจารย์ตายเพราะผู้ที่อยู่เื้ัเหล่านี้ ยามนั้นพวกเขาคงคาดว่าอาจารย์จะต้องยกตำแหน่งประมุขสำนักให้แก่ศิษย์พี่ ทว่าสุดท้ายเื่พลิกผัน อาจารย์ยกตำแหน่งประมุขให้กับเขาแทน จึงเกิดเป็เหตุการณ์มากมายตามหลังมา
หากจะสืบมือที่อยู่เื้ัคนเหล่านี้ เช่นนั้นต้องตามหาศิษย์พี่ของเขา เื่นี้มีเหตุผล เนื่องเพราะเขามิทราบจะตามหาพรรคอัปสรที่ว่านี้จากที่ใด โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ จะให้หาพรรคที่เป็เสมือนเงามืดย่อมมิใช่เดินตลาดก็สามารถเจอบนแผงขาย
ไท้หยูครุ่นคิดและสรุปเื่โดยคร่าวๆ เงยหน้ามองบุรุษหน้าตาธรรมดาทว่าฉลาดเฉลียวเบื้องหน้า กล่าวว่า
“ตกลง เ้าจะเป็ผู้คุ้มกันของข้า”
โบ๋เวินกล่าวว่ายอมเป็ข้ารับใช้ เป็วัวเป็ม้าให้เขา ทว่าเขาไม่้ากดขี่บุรุษที่มีอนาคตผู้นี้ ส่วนหนึ่งเพราะเขาไม่มีความแค้นลึกซึ้ง มาตรว่าไม่สามารถเชื่อใจได้เต็มที่ ทว่าเมื่อทำสัญญาเือีกฝ่ายจะไม่สามารถคิดร้ายต่อเขาได้แม้แต่นิดเดียว
สัญญาเื เป็วิชาหนึ่งของสายยันต์ ผู้ทำสัญญามี เ้าสัญญาและทาสสัญญา ผู้ที่เป็ทาสสัญญาไม่ว่าเ้าสัญญาสั่งสิ่งใดด้วยต้องทำตาม หากขัดขืนยันต์จะะเิเส้นโลหิตและหัวใจเป็จุณ ยิ่งมิอาจเกิดความคิดปองร้ายต่อเ้าสัญญา
แม้นว่าไท้หยูจะไม่รู้จักมรรคาอักษรยันต์เร้น ทว่าสำนักพันปีมีรากฐานเท่าบ้านเมือง ของอย่างเช่นยันต์มีอยู่มากมาย โดยเฉพาะยันต์สัญญาเืยิ่งมีจำนวนมาก
ยามนั้นโบ๋เวินพลันกล่าวขึ้นมาพร้อมกับโบกมือให้ถุงแพรสีขาวชิ้นหนึ่งลอยมาอยู่ตรงหน้า
“สิ่งนี้ หลินกงกงฝากข้ามอบให้กับท่านประมุข”
ถุงแพรสีขาวดูคล้ายธรรมดา ทว่าไท้หยูทราบว่านี่คือถุงแพรเก็บสิ่งของ ถุงที่ดูเล็กเท่ากำปั้นซวี่ฉีนี้สามารถบรรจุของได้มากมายหลายร้อยเท่า ซึ่งสามารถบรรจุได้มากเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับระดับของวิเศษ ของวิเศษประเภทนี้ถูกสร้างด้วยฝีมือของสายผู้สร้าง
ดังนั้นผู้ที่ฝึกมรรคาศิลป์สรรค์สร้างจึงมีฐานะในสังคมสูงยิ่ง มาตรว่าไม่ได้เก่งกาจเชี่ยวชาญการต่อสู้ฆ่าฟัน ทว่าของวิเศษที่พวกเขาสร้างเป็สิ่งสำคัญที่ผู้คนนำมาฆ่าฟันกัน
ไท้หยูล้วงมือเข้าไปในถุงแพร ขณะจะสำรวจว่าสมบัติของสำนักพิรุณพายุมีมากน้อยเท่าใด พลันรู้สึกถึงความว่างเปล่า
“ถุงแพรนี้มิได้เป็ระดับสูง ไม่สมควรกว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น ทว่าเหตุใดจึงคลำไม่เจอสิ่งใดเลย” หลังจากทดลองล้วงด้วยมือเปล่า ไท้หยูพบว่าทั้งหมดเป็เพียงอากาศธาตุ จึงถ่ายทอดลมปราณเข้าไป พบว่าในถุงแพรว่างเปล่ามีเพียงกระดาษแผ่นเดียว
ไท้หยูหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน ลายมือเขียนด้วยพู่กันอักษรหวัดอย่างยิ่งแทบอ่านไม่ออก หากมิใช่ภพเก่าเป็บัณฑิตอ่านตำรามามาก เขาเชื่อว่าด้วยความสามารถของไท้หยูไม่สามารถอ่านออกได้ อักษรเขียนไว้ไม่กี่คำ
“สมบัติส่วนของท่านคือโบ๋เวินผู้นี้”
ไท้หยู
” ....”
เขาแทบหลุดก่นด่าออกมา หลินกงกงช่างสมกับเป็ขันทีหลงสมบัติจริงๆ
“ข้าเข้าใจแล้วเหตุใดโบ๋เวินจึงยอมละทิ้งศักดิ์ศรีถึงขั้นยอมก้มหัวเป็วัวเป็ม้ารับใช้ข้า มารดามันเถอะ หลินกงกง ท่านกวาดสมบัติไปทั้งหมดโดยไม่แบ่งปัน กลับผลักคนผู้นี้มาให้ข้ามาทดแทน ยังดีที่เหลือส่วนของสำนักเมฆัไว้”
ไท้หยูสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าโบ๋เวินเผชิญกับเื่ใดมา ดูจากั์ตายังแฝงความหวาดหวั่นไม่คาย
“หลังจากทำสัญญาเื เ้าไปนำสมบัติในคลังมาเติมให้กับข้า”
โบ๋เวินพลันยิ้มแย้ม ในรอยยิ้มที่ยกขึ้นไท้หยูมองเห็นความขมขื่นมากมาย ไม่ต้องกล่าววาจาก็แทบทราบได้ว่าเขาจะกล่าวอะไร
ไท้หยูขมวดคิ้วสองตาเบิกกว้างพลางถามว่า
“ไม่เหลือแล้ว?”
โบ๋เวินส่ายหน้าตอบว่า
“แม้แต่ชิ้นเดียวก็ไม่เหลือ”
“สมุนไพร โอสถเล่า?”
โบ๋เวินแย้มยิ้มราวกับตัวโง่งม ราวกับเด็กน้อยปัญญาอ่อน
“ไม่เหลือ”
“มารดามันเถอะ โลกนี้ตาเฒ่าจึงน่ารังเกียจที่สุด” ยามนี้เพิ่มตาเฒ่าน่ารังเกียจขึ้นมาอีกคนหนึ่ง ขันทีชราที่เคารพนับถือ สามารถเคารพได้ทุกเื่ยกเว้นเื่เงินทองสมบัติ
ไท้หยูพลันเข้าใจคำที่ผู้คนเคยกล่าวในโลกเก่า “สิ่งที่ขันทียึดถือมากที่สุดมิใช่ชีวิตหรือความรัก ทว่าเป็ทรัพย์สินเงินทอง” ยามนี้ได้ประสบพบเจอ นับว่าเรียนรู้จริงแล้ว เขาเข้าใจแล้วเหตุใดหลินกงกงไม่ฆ่าโบ๋เวิน เพราะโบ๋เวินคือครึ่งหนึ่งที่ตกลงกันไว้กับไท้หยู เ้าเล่ห์ยิ่งนัก
ไท้หยูพลันกล่าวว่า
“เล่าเื่ที่เกิดขึ้นกับเ้าและสำนักพิรุณพายุมาให้ข้าฟัง”
ขณะเดียวกันก็ชักนำโบ๋เวินเข้ามาในสำนักพันปี เมื่ออยู่ภายใต้มหาพยุหะเขาไม่จำเป็กังวลว่าจะมีผู้ใดลอบสังหาร เพราะนอกจากเทพปรากฏและเซียนนิรันดร์แล้วไม่มีผู้ใดสามารถทำได้ และอีกประการหนึ่งที่ทำให้ไท้หยูมั่นใจตัวเขาไม่ได้อ่อนแออีกต่อไป
โบ๋เวินเล่าพลางสาวเท้าเดินว่า
“ที่เมืองจินจุ่นผู้คนเล่าว่าพบเห็นคนผู้หนึ่งขี่กระบี่สีแดงไปยังหอพิรุณของสำนักพิรุณพายุ ยามนั้นชาวบ้านไม่เคยเห็นผู้ขี่กระบี่เหินบินมาก่อนจึงไม่กล้าจ้องมอง ต่อมาทุกคนกล่าวว่าได้ยินเสียงปานสายฟ้าผ่า เมื่อเงยหน้าขึ้นมาดูก็ไม่เห็นหอพิรุณสูงใหญ่นั้นแล้ว เมื่อทุกคนเข้าไปชมดูใกล้ๆ ก็พบว่าทุกสิ่งอย่างหายไป แม้แต่กระดาษแผ่นเดียวก็ไม่เหลือ
“ส่วนสำนักข้ายังเรียบง่ายอยู่บ้าง หลังจากพบกับหลินกงกง ข้าก็พาเขาไปยังคลังเก็บสมบัติ หลินกงกงกวาดของในคลังสมบัติทั้งหมดเสร็จสิ้นก็จากไปโดยฝากถุงแพรไว้ให้ อ้อ ข้าเกือบลืมไป ตอนนั้นหลินกงกงยังฝากข้ามาบอกว่าให้ท่านเข้าวังไปกราบฮ่องเต้สักครา”
โบ๋เวินไม่เล่ายืดยาวไม่สาธยายให้เปลืองคำ เล่าอย่างรวบรัดเข้าใจ ทว่ายามเล่าถึงเื่หลินกงกงกวาดสมบัติในคลังของตนเอง ยังปรากฏสีหน้าเ็ปจนใบหน้าเขียวคล้ำ
ทว่าไท้หยูกลับรู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง จะอย่างไรยามนี้มิใช่สำนักพันปีเท่านั้นแล้วที่คลังว่างเปล่า ยังมีสำนักเมฆัเพิ่มขึ้นมา
แต่แล้วพลันนึกถึง บัดนี้สำนักเมฆัก็คือสำนักของเขา.......ช่างยากจนยิ่งนัก