ตอนที่ 5 ร้านยาเมตตาธรรม
เส้นทางสู่เมืองชิงสุ่ยเป็ทางเดินดินที่ทอดยาวราวกับริบบิ้นสีเหลืองคดเคี้ยวไปตามทิวเขาและทุ่งนา สองข้างทางประดับด้วยต้นหลิวที่เอนลู่ลมและดอกไม้ป่าที่ไม่ปรากฏชื่อซึ่งกำลังเบ่งบานรับแสงอรุณ เป็ภาพที่งดงามและสงบสุข แต่สำหรับผู้เดินทางแล้ว ระยะทางกว่าสิบลี้ไม่ใช่เื่เล่นๆ เลย
ทว่าหลิงซีในยามนี้กลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ร่างกายที่ได้รับการบำรุงจากพลังปราณบริสุทธิ์ของหลินจือวิเศษนั้นเบาสบายและเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างน่าอัศจรรย์ ทุกย่างก้าวของนางมั่นคงและสม่ำเสมอ ลมหายใจก็ราบรื่นไม่ติดขัด แตกต่างจากมู่หลิงซีคนเดิมที่แค่เดินเร็วๆ ก็หอบจนตัวโยนราวกับจะขาดใจ
นางเดินสวนกับชาวบ้านที่หาบของเดินผ่านมาและพ่อค้าเร่ที่จูงลาบรรทุกสินค้า พวกเขามองเด็กสาวร่างผอมบางในชุดผ้าปุปะด้วยสายตาที่ต่างกันไป
‘ลูกเต้าบ้านไหนกัน ขยันขันแข็งแต่เช้าเชียว’ ชายชราหาบฟืนคิดในใจ พลางยิ้มให้อย่างเอ็นดู
‘ดูท่าทางยากจนนัก หวังว่าจะขายของได้ราคาดีนะแม่หนู’ หญิงวัยกลางคนหาบตะกร้าผักพอเห็นเธอแล้วก็นึกสงสาร
‘เฮอะ! เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวเดินทางไกลเช่นนี้ ไม่กลัวอันตรายหรือไร’ พ่อค้าหน้าตาเ้าเล่ห์เหลือบมองแวบหนึ่งก่อนจะเมินหน้าไปทางอื่น
หลิงซีรับรู้ทุกสายตา แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ นางเพียงแค่ก้มศีรษะให้เล็กน้อยตามมารยาทแล้วเดินต่อไป ในใจของนางกำลังทบทวนแผนการอย่างรอบคอบ ‘การขายของครั้งแรกสำคัญที่สุด เพราะมันจะเป็ตัวกำหนดว่าเราจะไปต่อได้ง่ายหรือยาก’ นางรู้ดีว่าโลกแห่งการค้า สภาพภายนอกที่ซอมซ่อเช่นนี้ มักจะถูกกดราคาอย่างไร้ความปรานีเสมอ
เมื่อเดินมาได้ราวสองชั่วยาม (4 ชั่วโมง) กำแพงเมืองดินอัดขนาดใหญ่ของเมืองชิงสุ่ยก็ปรากฏแก่สายตา ประตูเมืองที่เปิดกว้างต้อนรับผู้คนราวกับปากของอสูรกายที่กำลังกลืนกินทุกสิ่งเข้าไป ในที่สุดนางก็มาถึง!
ทันทีที่ก้าวผ่านประตูเมืองเข้าไป โลกใบใหม่ก็เปิดออกมาตรงหน้า!
เสียงจอแจของผู้คน เสียงร้องะโของหาบเร่แผงลอย เสียงล้อเกวียนที่บดเบียดกันบนถนนหิน เสียงม้าร้อง เสียงเด็กหัวเราะ ทุกอย่างผสมปนเปกันจนน่าเวียนหัว กลิ่นเครื่องเทศ กลิ่นซาลาเปานึ่งร้อนๆ กลิ่นเนื้อย่าง และกลิ่นเหงื่อไคลของผู้คนลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ
สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงที่เปิดเรียงราย โรงเตี๊ยมที่มีธงปลิวไสว ร้านขายผ้าไหมสีสันสดใส โรงตีเหล็กที่ส่งเสียงค้อนดังเป็จังหวะ และที่นางกำลังมองหาคือ ร้านขายยา!
หลิงซีเดินไปตามถนนสายหลักอย่างไม่เร่งร้อน สายตากวาดมองไปทั่วเพื่อหาร้านยาที่ดูใหญ่โตและน่าเชื่อถือที่สุด และไม่นานนางก็เจอมัน ร้านยาขนาดใหญ่สองชั้นตั้งตระหง่านอยู่หัวมุมถนน ป้ายไม้สีดำแกะสลักตัวอักษรสีทองอร่ามว่า "หอโอสถร้อยพฤกษา " หน้าร้านมีผู้คนเข้าออกขวักไขว่ ดูแล้วน่าจะเป็ร้านยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้
‘ร้านใหญ่ย่อมมีกำลังซื้อสูง น่าจะให้ราคาดีที่สุด’ หลิงซีคิดก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป
ภายในร้านกว้างขวางและโอ่อ่า ตู้เก็บยาสูงจรดเพดานตั้งเรียงรายส่งกลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิด บนเคาน์เตอร์มีลูกคิดทองเหลืองวางอยู่ เสี่ยวเอ้อ (พนักงาน) หลายคนกำลังวิ่งวุ่นจัดยาให้ลูกค้าอย่างแข็งขัน
หลิงซีเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ที่ว่างอยู่ มีชายหนุ่มท่าทางเ้าเล่ห์คนหนึ่งเหลือบมองนางั้แ่หัวจรดเท้าด้วยสายตาดูแคลน ก่อนจะถามเสียงห้วน "มีธุระอะไร? ถ้าจะมาขอทานไปที่อื่น ที่นี่ไม่ทำการกุศล"
คำพูดนั้นเสียดแทงราวกับน้ำกรด แต่หลิงซีกลับไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองแม้แต่น้อย นางเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้ววางตะกร้าลงบนเคาน์เตอร์อย่างแ่เบา
"ข้าไม่ได้มาขอทาน แต่ข้ามาขายของ" นางกล่าวเสียงเรียบ
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า อากุ้ย หัวเราะเยาะ "ขายของ? เ้ามีอะไรมาขาย? ผักป่าเน่าๆ ในตะกร้านั่นน่ะรึ? หอโอสถของเรารับแต่สมุนไพรชั้นเลิศเท่านั้น!"
หลิงซีไม่ตอบโต้ด้วยวาจา แต่ค่อยๆ คลี่ผ้าที่คลุมตะกร้าออก เผยให้เห็นรากสมุนไพร ตี้หวง สามรากที่ยังคงความสดใหม่และมีดินเกาะอยู่เล็กน้อย รากของมันอวบอ้วนและมีขนาดใหญ่กว่าที่พบเห็นได้ทั่วไปอย่างชัดเจน
อากุ้ยชะงักไปเล็กน้อย แววตาดูถูกเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็ความโลภในทันที แม้จะเป็แค่เสี่ยวเอ้อ แต่เขาก็พอจะดูออกว่านี่เป็ตี้หวงป่าคุณภาพดี "อืม ก็แค่ตี้หวงธรรมดาๆ" เขากล่าวพลางใช้มือจิ้มๆ ที่รากสมุนไพรอย่างไม่ใส่ใจ "ดูแล้วอายุก็ไม่เท่าไหร่ เอาเถอะ เห็นว่าเ้าเดินทางมาไกล ข้าจะให้ราคาสัก สิบอีแปะแล้วกัน ถือว่าทำบุญ"
สิบอีแปะ! ราคานี้มันคือการปล้นกันชัดๆ! ตี้หวงคุณภาพดีเช่นนี้นำไปขายในตลาดมืดยังได้ราคาอย่างน้อยก็ห้าสิบอีแปะ!
"พี่ชายท่านนี้ช่างมีเมตตาเสียจริง" หลิงซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่แววตากลับเ็า "แต่ดูเหมือนว่าท่านคงจะทำงานหนักจนตาลายไปหน่อย ถึงได้มองสมบัติล้ำค่าเป็แค่เศษดินเศษหญ้าไปได้" นางหยิบรากตี้หวงขึ้นมาหนึ่งราก "ท่านดูสีของมันสิเ้าคะ เหลืองเข้มสดใส ลองดมกลิ่นดูสิเ้าคะ หอมหวานบริสุทธิ์ นี่คือตี้หวงป่าที่เติบโตในที่ที่มีพลังดินสมบูรณ์ อายุไม่ต่ำกว่าสิบปีแน่นอน ของดีเช่นนี้ ท่านให้ราคาข้าแค่สิบอีแปะ? ท่านกำลังดูถูกหอโอสถร้อยพฤกษา หรือกำลังดูถูกสติปัญญาของข้ากันแน่?"
คำพูดที่เฉียบคมและฉะฉานของนางทำให้อากุ้ยถึงกับหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย ลูกค้าบางคนที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มหันมามองด้วยความสนใจ
"หน็อย! ยัยเด็กปากดี!" อากุ้ยเริ่มขึ้นเสียง "ข้าบอกว่าราคานี้ก็คือราคานี้! จะขายก็ขาย ไม่ขายก็ไสหัวไป! อย่ามาเกะกะหน้าร้านข้า!"
หลิงซีหัวเราะเบาๆ ในลำคอ "แน่นอนว่าข้าไม่ขาย" นางเก็บสมุนไพรใส่ตะกร้าดังเดิม "คุณภาพของโอสถย่อมสะท้อนถึงคุณภาพของร้านยา ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะมาผิดที่เสียแล้ว" นางหันหลังและเดินออกจากร้านไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้อากุ้ยยืนกำหมัดแน่นด้วยความโมโหที่โชคของเขากำลังหลุดลอยไป คิดว่าจะได้ซื้อของดีราคาถูก
นางไม่ได้เสียใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อครู่นี้ ขณะที่ยืนอยู่ในร้าน นางได้ใช้ "ดวงตาทิพย์หยก" มองสำรวจดูแล้ว สมุนไพรส่วนใหญ่ในร้านนี้มีแสงปราณที่ หมองคล้ำและอ่อนแรง อย่างน่าประหลาด มีเพียงไม่กี่ชนิดที่ดูสดใส แสดงว่าร้านนี้อาจจะย้อมแมวขาย นำของเก่าเก็บหรือของไม่มีคุณภาพมาปะปนกับของดีเป็แน่
‘ร้านใหญ่ใช่ว่าจะดีเสมอไป’ นางเดินออกมาด้วยความผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ย่อท้อ นางเริ่มเดินสำรวจไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ ใช้ดวงตาทิพย์มองหา แสงปราณของร้านยาอื่นๆ
ร้านส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างจากหอโอสถร้อยพฤกษา คือมีแสงปราณที่ขุ่นมัวปะปนกันไป จนกระทั่งนางเดินมาถึงตรอกเล็กๆ ที่ค่อนข้างเงียบสงบแห่งหนึ่ง สายตาของนางก็ไปสะดุดกับร้านยาเก่าแก่ที่ทำด้วยไม้ทั้งหลัง ป้ายร้านสีซีดจางจนแทบอ่านไม่ออกว่า "ร้านยาเมตตาธรรม "
ร้านนี้ดูเงียบเหงาและแทบไม่มีลูกค้า แต่สิ่งที่ทำให้หลิงซีต้องหยุดชะงักคือ "แสงปราณ" ที่เล็ดลอดออกมาจากร้าน!
สมุนไพรทุกชนิดที่วางอยู่ในร้าน ล้วนแต่เปล่งแสงปราณที่สว่างไสวและบริสุทธิ์! แม้ร้านจะเล็กและเก่า แต่คุณภาพของโอสถกลับสูงกว่าร้านใหญ่เมื่อครู่อย่างเทียบกันไม่ติด!
‘เจอแล้ว!’
นางเดินเข้าไปในร้านอย่างไม่ลังเล ภายในร้านมีเพียงชายชราผมขาวโพลนคนหนึ่งกำลังนั่งฝนยาอยู่หลังเคาน์เตอร์ เขาดูเหนื่อยล้าและมีริ้วรอยแห่งความกังวลเต็มใบหน้า เมื่อเห็นนางเข้ามา เขาก็เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อย
"แม่หนู ้ายาอะไรหรือ?" เขาถามเสียงเรียบ
"ท่านลุง ข้าไม่ได้มาซื้อยา แต่ข้ามีของมาขายเ้าค่ะ" หลิงซีวางตะกร้าลงบนเคาน์เตอร์อย่างนอบน้อม
ชายชราซึ่งก็คือ เถ้าแก่เฉิน มองนางด้วยสายตาประหลาดใจ ก่อนจะมองไปที่สมุนไพรในตะกร้า ดวงตาที่เคยอ่อนล้าของเขาพลันเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เขาวางแท่งฝนยาในมือลง แล้วหยิบรากตี้หวงขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด
เขาพลิกมันไปมา ดมกลิ่น แล้วใช้นิ้วบิที่ปลายรากเล็กน้อยเพื่อดูเนื้อใน
"ตี้หวงป่า อายุไม่ต่ำกว่าสิบปี เนื้อแน่น สีสด กลิ่นหอม ของดี! ของดีจริงๆ!" เถ้าแก่เฉินพยักหน้าช้าๆ สายตาที่มองหลิงซีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง "แม่หนู เ้าไปได้มันมาจากที่ใดกัน?"
"ข้าบังเอิญเจอในป่าลึกเ้าค่ะ" หลิงซีตอบตามที่เตรียมไว้ "ไม่ทราบว่าท่านลุงพอจะรับซื้อไว้หรือไม่เ้าคะ?"
เถ้าแก่เฉินถอนหายใจยาว "ของดีเช่นนี้ ข้าย่อมอยากรับซื้อไว้ แต่ร้านของลุงกำลังประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก ข้าอาจจะให้ราคาเ้าได้ไม่สูงเท่าที่ควรจะเป็" เขามองนางอย่างตรงไปตรงมา "ข้าให้เ้าได้มากที่สุด สี่สิบอีแปะ"
แม้จะเป็ราคาที่ต่ำกว่าที่นางคาดไว้เล็กน้อย แต่แววตาที่ซื่อสัตย์และจริงใจของเถ้าแก่เฉินก็ทำให้นางรู้สึกนับถือ ‘คนซื่อสัตย์ แม้จะจนแต่ก็ยังน่าคบหากว่าคนเ้าเล่ห์ที่ร่ำรวย’
"ท่านลุง" หลิงซีเอ่ยขึ้น "ข้าเห็นว่าสมุนไพรในร้านของท่านล้วนเป็ของชั้นเลิศ แต่เหตุใดร้านของท่านจึงดูเงียบเหงานัก?"
เถ้าแก่เฉินถอนหายใจอีกครั้ง "เฮ้อ ก็เพราะร้านหอโอสถร้อยพฤกษาของตระกูลจ้าวอย่างไรเล่า พวกมันกดราคารับซื้อจากชาวบ้าน แล้วนำไปขายตัดหน้าร้านเล็กๆ อย่างข้าจนหมด ลูกค้าส่วนใหญ่สนใจแต่ของถูก ไม่ได้สนใจคุณภาพที่แท้จริง อีกไม่นาน ร้านยาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของข้าคงจะต้องปิดตัวลง"
หลิงซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างออกไป
"ข้าจะขายตี้หวงนี่ให้ท่านในราคาสามสิบห้าอีแปะ"
เถ้าแก่เฉินเบิกตากว้าง "แม่หนู เ้าพูดจริงหรือ? ทำไม" เถ้าแก่ถามด้วยความแปลกใจ
"ข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่งเ้าค่ะ" หลิงซียิ้มอย่างมีเลศนัย "ข้าถือว่าเงินห้าอีแปะที่ลดให้ คือเงินที่ข้าใช้ ซื้อ สิทธิ์ในการเป็คู่ค้ากับท่านในอนาคต หากวันข้างหน้าข้ามีสมุนไพรดีๆ อีก ข้าจะนำมาขายให้ท่านเป็คนแรก และท่านต้องรับปากว่าจะรับซื้อมันไว้ ท่านลุงคิดว่าข้อเสนอนี้เป็อย่างไรเ้าคะ?"
เถ้าแก่เฉินถึงกับนิ่งอึ้งไป เขามองเด็กสาวตรงหน้าอย่างพิจารณาอีกครั้ง นางไม่ใช่แค่เด็กสาวชาวบ้านธรรมดา แต่นางคือ ‘ัที่ซ่อนกายอยู่ในหนองน้ำ’ ชัดๆ!
"ฮ่าๆๆ!" ในที่สุดเขาก็หัวเราะออกมาอย่างที่ไม่เคยทำมานาน "ตกลง! ข้าตกลง! แม่หนูเ้าช่างน่าสนใจจริงๆ!"
การเจรจาจบลงด้วยดี หลิงซีได้รับเงินมาสามสิบห้าอีแปะ มันคือเงินก้อนแรกที่นางหามาได้ด้วยตัวเองในโลกใบนี้! นางขอบคุณเถ้าแก่เฉินและสัญญาว่าจะกลับมาอีก ก่อนจะเดินออกจากร้านไปด้วยหัวใจที่พองโต
แต่สิ่งที่นางไม่รู้ คือทุกย่างก้าวของนางนับั้แ่เดินออกจากหอโอสถร้อยพฤกษา ล้วนตกอยู่ในสายตาของพรานผู้หิวกระหายคู่หนึ่ง
ณมุมตึกฝั่งตรงข้าม เงาร่างของอากุ้ย เสี่ยวเอ้อเ้าเล่ห์ หลบซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบงัน เขาสะกดรอยตามนางมาั้แ่แรกด้วยสัญชาตญาณของนักล่าที่ได้กลิ่นเหยื่ออันโอชะ
ดวงตาหรี่เล็กของมันจับจ้องไปยังร่างเล็กๆ ที่เดินออกมาจากร้านยาเมตตาธรรม ร้านยาซอมซ่อที่เปรียบเสมือนตะเกียงใกล้สิ้นน้ำมัน แต่สิ่งที่ทำให้อากุ้ยต้องขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจก็คือ ท่าทางของนาง!
นางไม่ได้เดินออกมาด้วยความผิดหวังหรือจนใจ แต่กลับเดินออกมาด้วยท่าทีที่ "พึงพอใจ" อย่างเห็นได้ชัด! มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย และแววตาคู่นั้นก็ทอประกายแห่งความสำเร็จ
‘แปลก... แปลกมาก!’ ความคิดในหัวของอากุ้ยหมุนวนอย่างรวดเร็ว
‘ยัยเด็กบ้านนอกนั่น ปฏิเสธราคาที่ข้าเสนอไปอย่างไม่ไยดี ทั้งๆ ที่ร้านของเราเป็ร้านที่ใหญ่ที่สุดและน่าจะให้ราคาดีที่สุดในเมือง แต่นางกลับยอมเดินมาจนสุดตลาดเพื่อขายของให้กับร้านยาใกล้เจ๊งของเฒ่าเฉิน แถมยังเดินออกมาด้วยท่าทางของผู้ชนะอีกต่างหาก!’
ประกายความเ้าเล่ห์วูบขึ้นมาในแววตาของมัน
‘มันมีแค่สองอย่างเท่านั้นที่เป็ไปได้ หนึ่ง คือนางโง่เง่าจนไม่รู้จักค่าของเงิน ซึ่งดูจากฝีปากของนางแล้วไม่น่าจะใช่ และสอง’
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของอากุ้ย
‘นางไม่ได้มาเพื่อขายของเพียงอย่างเดียว แต่นางกำลัง สร้างสัมพันธ์ กับเฒ่าเฉิน! นางต้องมีของดีกว่านี้ซ่อนอยู่แน่ๆ! ของดีที่ล้ำค่าเกินกว่าจะนำมาขายให้ร้านใหญ่โตที่เต็มไปด้วยสายตาอย่างร้านของเรา! นางจึงเลือกที่จะผูกมิตรกับร้านเล็กๆ ที่ไม่มีใครสนใจเพื่อใช้เป็ทางผ่านในการปล่อยของในอนาคต! ใช่แล้ว ต้องเป็เช่นนี้แน่ๆ!’
เมื่อคิดได้ดังนั้น ความโลภก็ฉายชัดขึ้นมาในแววตาของมันราวกับเปลวไฟ
‘ข้าต้องรู้ให้ได้ ว่าขุมทรัพย์ที่นางซ่อนไว้นั้นคืออะไร!’
อากุ้ยตัดสินใจแน่วแน่ เขากระชับเสื้อให้แน่น ก่อนจะเริ่มแอบสะกดรอยตามหลิงซีไปอย่างเงียบเชียบ ดุจดั่งอสรพิษที่กำลังเลื้อยตามเหยื่อเข้าไปในพงหญ้า โดยไม่รู้เลยว่า เหยื่อที่มันกำลังตามอยู่นั้น อาจจะเป็พญานาคราชจำแลงกายมาก็เป็ได้
‘ข้าต้องตามไปดูให้รู้แน่ชัด!’
อากุ้ยตัดสินใจแอบสะกดรอยตามหลิงซีไปอย่างเงียบๆ
เงาของความโลภได้เริ่มคืบคลานเข้าหาแสงสว่างแห่งความหวังดวงน้อยๆ นี้แล้ว โดยที่เ้าของแสงสว่างดวงนั้น ยังคงไม่รู้ตัว