เล่มที่ 9 บทที่ 253 ต่อสู้
“อาจารย์อาคิดจะล้อเล่นกันหรืออย่างไร ของที่ได้มาแล้ว มีหรือจะคืนกลับไปง่ายๆ...” หลินเฟยพยายามกดข่มเืลมที่พลุ่งพล่านเอาไว้ ก่อนจะคารวะจงซานอย่างที่ผู้น้อยพึงกระทำต่อผู้าุโ ส่วนรอยยิ้มก็ดูนอบน้อมเป็อย่างดี ทว่าวาจาที่เอ่ยออกไป กลับไม่ยอมโอนอ่อนลงให้แม้แต่น้อย...
“ในเมื่อเรียกข้าว่าอาจารย์อา เช่นนั้นก็ควรรู้เอาไว้ว่า เมื่อใดที่ตราหมื่นนทีธารของข้าสำแดงพลังออกมา ย่อมยากที่จะหยุดกลางคัน...”
“ต้องลองถึงจะรู้”
“โอหังนัก!”
จงซานได้ยินดังนั้นก็แค่นหัวเราะเ็าออกมา โดยไม่คิดโน้มน้าวอีกต่อไป บัดนี้ได้เริ่มบงการตราหมื่นนทีธารออกมาอีกครั้ง จากนั้นท้องฟ้าสว่างก็พลันแปรเปลี่ยนเป็มืดมิด ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับถูกตราสีดำนี้บดบัง...
ถัดมาก็มีลำแสงเจิดจ้าสว่างขึ้น ก่อนจะเกิดเป็ภาพนิมิตูเาลำธาร ทันใดนั้นเองก็มีแรงกดดันมหาศาลปกคลุมไปทั่วทั้งรัศมีร้อยลี้
ส่วนหลินเฟยเองก็ไม่น้อยหน้า หลังจากขว้างหินตงจี๋ออกไป ก้อนหินน้อยก็พลันขยายใหญ่ขึ้น กระทั่งกลายเป็ูเา และพุ่งเข้าชนตราสีดำขนาดั์ทันที...
“ตู้ม!”
เมื่อสิ้นเสียงดังสนั่น ภาพนิมิตูเาลำธารก็ปริแตกออกมา ส่วนหินตงจี๋ก็เกิดรอยแตกร้าวมากมายลามไปทั่ว ลำแสงอันเจิดจ้าก็อับแสงลงไป...
“ตู้ม!”
เพียงครู่เดียว ก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง บัดนี้ตราหมื่นนทีธารเกิดสั่นไหวเล็กน้อย ส่วนหินตงจี๋ก็อับแสงลงยิ่งกว่าเดิมราวกับกำลังจะจางหายไป ขณะเดียวกันก็เกิดเสียงแตกร้าวไม่หยุด หินตงจี๋ในตอนนี้ก็มีรอยร้าวลุกลามไปเรื่อยๆ...
“ตู้ม!”
หลังจากเสียงะเิดังขึ้นมาเป็ครั้งที่สาม ในที่สุดตราหมื่นนทีธารก็หยุดเคลื่อนที่ต่ำลง ทว่าขณะนี้หินตงจี๋กลับทนรับแรงปะทะไม่ไหวกระทั่งะเิออกมา จากนั้นอาวุธหยางฝูที่มีมนต์สะกดยี่สิบเจ็ดสายก็ถูกตราหมื่นนทีธารพุ่งชนจนแตกออกเป็เสี่ยงๆ
ลำแสงของมนต์สะกดสาดกระจายไปทั่ว และเสี้ยววินาทีที่ลำแสงกำลังจะสลายไป หลินเฟยก็บงการคัมภีร์โครงกระดูกออกมา ไม่นานลำแสงของมนต์สะกดทั้งยี่สิบเจ็ดสายก็ถูกคัมภีร์ดูดกลืนเข้าไป...
หลังจากลำแสงได้จางหายไป ก็มีหมอกควันสีดำพวยพุ่งออกมาแทน บัดนี้คัมภีร์สีดำก็เหมือนกับหลุมดำที่ไร้ก้น สามารถดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปได้เรื่อยๆ จากนั้นก็ปรากฏเป็ภาพนิมิตเจดีย์ที่เกิดจากการทับซ้อนของโครงกระดูกสูงหกชั้น ไอหยินเข้มข้นก็พลันผสานเข้ากับลำแสง ก่อนจะสาดส่องออกมา กลายเป็ทางสายน้อยซึ่งปูด้วยโครงกระดูกสีขาวมากมาย...
ทันใดนั้นก็เกิดลมกระโชกแรงขึ้น ส่วนหมอกควันดำก็พลันปกคลุมไปทั่วบริเวณ...
เหล่าโครงกระดูกบริเวณเหนือเจดีย์หกชั้นกำลังสั่นไหวและกรีดร้องโหยหวน และในที่สุดก็สามารถหยุดตราหมื่นนทีธารเอาไว้กลางอากาศได้...
เมื่อกวาดตาสำรวจดู ก็พบว่า้านั้นเป็ตราสีดำ ส่วนด้านล่างก็เป็เจดีย์โครงกระดูก โดยคิดไม่ถึงเลยว่าทั้งสองสิ่งนี้จะมีพลังที่ทัดเทียมกัน...
“คัมภีร์ของเ้าไม่เลวเลยนี่...” จงซานชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหัวเราะและส่ายหน้าออกมา
“น่าเสียดายที่ยังไม่เกิดหยวนหลิง แถมยังไม่มีมนต์สะกดเทียนกังอีก ดังนั้นเมื่อเทียบกับตราหมื่นนทีธารของข้า จึงถือว่าด้อยกว่าเล็กน้อย...”
ทว่า...
ยังไม่ทันที่จงซานจะพูดจบ ก็รู้สึกขึ้นว่าหัวัที่อยู่ด้านล่างขยับขึ้นเล็กน้อย...
ที่แท้ก็เป็เพราะเวินโหวที่อยู่ด้านล่างได้ถือโอกาสบงการเ้าปลาั์ค่อยๆลากหัวัออกไปขณะที่คัมภีร์โครงกระดูกปะทะกับตราหมื่นนทีธารนั่นเอง…
“หือ?” จงซานเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นทันที ‘เ้าหนุ่มสองคนนี้ช่างเ้าเล่ห์นัก คนหนึ่งรั้ง ส่วนอีกคนก็ขโมย…’
‘สงสัยเ้าหนุ่มพวกนี้คงจะประเมินผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันต่ำไปเสียแล้ว…’
“คิดจะหนีงั้นหรือ?” จงซานแค่นหัวเราะอำมหิต จากนั้นภาพนิมิตูเาลำธารต่างๆก็ปกคลุมไปทั่วรัศมีพันลี้ บัดนี้จงซานก็ได้สำแดงห้วงมิติแห่งความเป็ตายออกมา
‘แย่แล้ว…’
หลินเฟยหน้าถอดสีทันที เพราะห้วงมิติแห่งความเป็ตายนั้น หากผู้บำเพ็ญที่มีขั้นบำเพ็ญต่ำกว่าจิงตัน แทบไม่ต่างอะไรกับการถูกบดขยี้ชนิดไม่อาจต้านทานได้เลยทีเดียว ต่อให้มีพลังร้ายกาจขนาดไหน หากยังไม่บรรจุขั้นจิงตันแล้วต้องอยู่ในห้วงมิตินี้ขึ้นมา ย่อมไม่มีโอกาสต่อกรได้เลย…
และแล้วก็เป็เช่นนั้นจริงๆ เพียงห้วงมิติเปิดออก หลินเฟยก็เห็นจงซานถือตราสีดำลอยอยู่กลางอากาศราวกับเทพผู้ลิขิตสรรพสิ่ง ในห้วงมิตินี้เอง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็ไปตามที่จงซานบัญชา และเสี้ยววินาทีจงซานปรากฏตัวออกมา เดือนตะวันก็อับแสงลงทันที…
เพียงจงซานสะบัดมือออกไป ตราหมื่นนทีธารก็ลอยต่ำลงมาอย่างว่าง่าย สายฟ้าผ่าลงมาเป็ระยะ ลมพายุก็กระโชกรุนแรง ส่วนูเาลำธารทั่วทั้งพันลี้ก็กำลังถล่มลงมา สายน้ำก็พลันไหลทวน พริบตานั้นเองหลินเฟยรู้สึกราวกับกำลังถูกทั้งพิภพกดทับก็ว่าได้…
“ร้ายกาจ!” ขณะที่กำลังตื่นตระหนกอยู่นั้น หลินเฟยก็บงการให้ภาพนิมิตเจดีย์โครงกระดูกปรากฏขึ้นมาเหนือหัวตนเอง เพียงจิตสำนึกเดียวเท่านั้น ก็มีลำแสงมากมายพวยพุ่งเข้าต้านแรงกดทับอันรุนแรง
จากนั้นก็มีสายฟ้าผ่าลงมาระหว่างคนทั้งคู่ ไม่นานก็ตามมาด้วยเสียงดังสนั่น คลื่นพลังรอบด้านก็พลันปั่นป่วนกลายเป็วังวนขนาดใหญ่แพร่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง…
บัดนี้วังวนขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว ก็ค่อยๆลอยลงสู่พื้น จากนั้นก็เกิดเสียงดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง ฟ้าดินก็พลันสั่นะเื ก่อนที่จะมีไอิญญามากมายพวยพุ่งออกมา และกลายสภาพเป็ละอองฝนลอยสวนกลับขึ้น้า
น่าเสียดายที่คัมภีร์โครงกระดูกยังขาดหยวนหลิงอยู่ ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับตราหมื่นนทีธารซึ่งเป็หนึ่งในสิบสมบัติล้ำค่าของสำนักเชียนซาน จึงนับว่าห่างชั้นอยู่มาก เพียงครู่เดียวูเาลำธารที่ยาวนับพันลี้ก็กดทับเจดีย์โครงกระดูกกระทั่งจมลงไปเรื่อยๆ…
หลินเฟยเห็นดังนั้น ก็อดถอดถอนใจไม่ได้
“สุดท้ายก็ยังห่างชั้นอยู่ดี…”
“บ้าเอ๊ย คัมภีร์นี้ไม่ได้เื่เสียจริง ข้าสำแดงพลังออกมาไม่ได้เลย ไม่อย่างนั้นละก็ จะต้องถล่มตรานั่นให้ราบคาบเลย…” หมอกควันดำที่ลอยอยู่เหนือคัมภีร์ปั่นป่วนขึ้น ก่อนจะรวมตัวกันจนเกิดเป็อสุรกายตนหนึ่งซึ่งกำลังกางกรงเล็บและพูดออกมาด้วยใบหน้าแสนเกรี้ยวกราด
“แล้วเ้าเข้าสิงคัมภีร์มาทำไม?” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็กลอกตาขึ้น ‘ก่อนหน้านี้ก็รู้แล้วว่าหากใช้อสุรกายตนนี้แทนหยวนหลิง จะต้องเกิดปัญหาเช่นนี้…’
ถึงอย่างไรเ้าอสุรกายก็ไม่ต่างกับนกที่มาอาศัยรังคนอื่น แถมทั้งสองสิ่งยังมีวิถีการบำเพ็ญที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทางหนึ่งก็เป็วิถีการบำเพ็ญด้วยโครงกระดูกจำนวนมากกระทั่งบรรลุหนทางสูงสุด ส่วนอีกทางก็บำเพ็ญด้วยเส้นทางแห่งการเข่นฆ่า เมื่อทั้งสองมากัน และทำให้คัมภีร์โครงกระดูกสามารถสำแดงพลังออกมาได้บางส่วนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หากคิดจะให้สำแดงพลังที่แท้จริงออกมาละก็ เกรงว่าจะต้องรอให้คัมภีร์โครงกระดูกเกิดหยวนหลิงขึ้นมาเสียก่อน…
สำหรับตอนนี้นั้น…
คัมภีร์โครงกระดูกสามารถสำแดงพลังออกมาได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น จึงไม่อาจต้านพลังของตราหมื่นนทีธารของจงซานได้ เพราะจงซานฝึกเคล็ดวิชาสัจพิภพโลกา จึงสามารถหยิบยืมพลังจากธรรมชาติทั้งูเาและลำธารทั้งหลายมาใช้ได้ และนี่ก็คือพลังของฟ้าดินโดยแท้จริง บัดนี้มีตราหมื่นนทีธารในมือ มิหนำซ้ำยังอยู่ในห้วงมิติแห่งความเป็ตายอีกด้วย คู่ต่อสู้ในคราวนี้จึงถือว่าร้ายกาจกว่ามีดบินฮั่วอู๋ที่เกิดจากอสุรกายกุ่ยหวังและนักพรตเฮยซานมากทีเดียว!
“ห้วงมิติแห่งความเป็ตายของข้า เกิดขึ้นหลังจากข้าตระเวนไปทั่วูเาลำเนาไพรมากมาย เช่นนั้นข้าถึงจะเข้าใจสัจธรรมแห่งฟ้าดิน พลังของห้วงมิตินี้ต่อให้เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันเอง ก็ยากที่จะหนีรอดออกไปได้ หากพวกเ้าทั้งสองคนยังไม่คิดรามือ ก็อย่าหาว่าข้ารังแกผู้เยาว์ก็แล้วกัน…”
ขณะที่จงซานยืนท่ามกลางอากาศ อาภรณ์นักพรตสีดำที่สวมใส่ก็พลันโบกสะบัดทั้งที่ไร้ซึ่งแรงลม ส่วนด้านหลังยังมีภาพนิมิตูเาลำธารปรากฏขึ้น เมื่อมองเผินๆจึงราวกับเทพเซียนผู้บงการสรรพสิ่ง สายตาที่ก้มต่ำลงมายังหลินเฟยก็ฉายแววชื่นชม เพราะผู้บำเพ็ญหนุ่มคนนี้มีหลายอย่างที่ชวนให้ตกตะลึง…
---------------------------------------------------------------------------------------------------------