ลมนี่เองที่ทำให้สมองของอ๋าวหรานที่กำลังมึนงงอยู่ตื่นเต็มที่
เขาก้มศีรษะลง ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองยังคงแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ ชายหนุ่มที่อายุปูนนี้แล้วคิดว่าตัวเองนั้นมีประสบการณ์เยอะผ่านอะไรมามาก ตอนนี้กลับหน้าแดงขึ้นในทันใด ความโชคดีเพียงอย่างเดียวก็คือท่อนล่างเขายังมีผ้าพันไว้ ไม่ได้เปลือยไปทั้งตัว
อ๋าวหรานที่หน้าตาแดงก่ำพูดติดๆ ขัดๆ ว่า “ช่วยช่วยข้าเอาเสื้อผ้ามาที”
จิ่งฝานโค้งริมฝีปากยิ้มบาง หยิบเสื้อผ้าพร้อมผ้าขนหนูที่พาดอยู่ตรงเก้าอี้ข้างตัวส่งไปให้เขา
อ๋าวหรานบอกขอบใจอย่างกระอักกระอ่วน กลับเห็นจิ่งฝานยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนเสียที
อ๋าวหรานหัวเราะอย่างเก้อกระดากออกมาสองเสียง “รบกวนเ้าออกไปก่อนเถิด”
จิ่งฝานเลิกคิ้ว หมุนตัวจากไป
การสวมเสื้อผ้าครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็การสวมเสื้อผ้าที่เร็วที่สุดั้แ่อ๋าวหรานเกิดมา
อ๋าวหรานอ้อมฉากกันลมออกมา เห็นว่าคนทั้งสามยังไม่จากไป ยังนั่งล้อมอยู่รอบโต๊ะ จิ่งฝานในมือจับคลึงเทียนสีแดงอยู่เล่มหนึ่ง
จิ่งเซียง “อ๋าวหราน! ในที่สุดเ้าก็ออกมา”
อ๋าวหรานมองเห็นท่าทางดุร้ายของจิ่งเซียง จึงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ครั้งนี้จิ่งเซียงหายจากอาการเขินอายในตอนแรกแล้ว ความมีเหตุผลกจึงลับคืนมา แต่ยังคงมีความกระดากอายอยู่บ้าง ดังนั้นเพื่อบดบังความเก้อเขินนี้ จึงเริ่มด้วยการหาเื่คนอื่นก่อน รับบทเป็ผู้กระทำเอง ดังสำนวนที่ว่าอับอายกลายเป็โทสะ
อ๋าวหรานเองก็กระอักกระอ่วนอยู่นิดหน่อย จิ่งเซียงเป็เด็กผู้หญิง คาดว่าโตมาจนถึงตอนนี้คงเคยใกล้ชิดแต่กลับพี่ชายตัวเองบ้างเท่านั้น ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่เขามาอยู่ที่นี่ ถึงแม้จะรู้จักสนิทสนมกับจิ่งเซียงเป็อย่างดี ทำให้ใกล้ชิดกันอยู่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีช่องว่างระหว่างสตรีและบุรุษอยู่
ถึงแม้การแสดงออกภายนอกของนางจะดูดุร้าย แต่แววตาที่ดูเหมือนจะแค่แกล้งโกรธปลอมๆ นั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งนอกอ่อนในของนาง
อ๋าวหรานยิ้มอย่างอ่อนโยน “วันนี้เดินมาทั้งวัน รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย จะโทษก็ต้องโทษเด็กรับใช้ในร้านตระกูลจิ่งของพวกเ้าที่เอาใจใส่เกินไป น้ำอุ่นกำลังสบาย ทำให้ข้ารู้สึกอยากหลับไป”
จิ่งเซียงเองก็รู้ว่าตัวเองโกรธอย่างไร้เหตุผล อีกทั้งเห็นอ๋าวหรานยิ้มอย่างอ่อนโยน เอาความผิดทั้งหมดมารับไว้คนเดียว
นางหัวเราะอย่างฝืดเฝื่อน ทั้งอับอายแต่ก็ต้องคลี่คลายสถานการณ์ไปด้วย นางยืดหลังตรง “แหม อย่างไรเสียพวกเราก็ไม่ได้เห็นอะไร แล้วก็ไม่มีอะไรน่ามองด้วย”
พูดจบยังกระแอมกระไออีกสองที “ต่อไปอย่าเป็แบบนี้อีกนะ ข้าน่ะเป็ห่วงกลัวว่าเ้าจะไม่สบาย”
อ๋าวหรานยิ้มอย่างทำอะไรไม่ได้ ยื่นมือไปลูบหัวจิ่งเซียง แล้วนั่งลงร่วมวงด้วย
จิ่งจื่อเห็นจิ่งเซียงมีท่าทางเขินอายอีกแล้ว เขาส่งเสียง ฮึ หัวเราะเยาะออกมา “เ้าจะอายอันใด ไม่ว่าเ้าจะเห็นอะไร คนที่ถูกเอาเปรียบก็คืออ๋าวหรานนู่น เข้าใจหรือไม่?”
จิ่งเซียงโกรธขึ้นมาแล้ว “เ้า!”
อ๋าวหรานเห็นจิ่งเซียงหน้าแดงขึ้นมาจึงลูบหัวปลอบโยนนาง ก็จะพูดกับจิ่งจื่อว่า “เ้านี่ยังมีหน้ามาคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กผู้หญิงอีก”
จิ่งจื่อส่งเสียงเฮอะมาเสียงหนึ่ง ไม่สนเขา
จิ่งเซียงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “อ๋าวหราน เ้าก็หลับเป็ตายเกินไปแล้ว ข้าเคาะประตูตั้งหลายรอบ แล้วยังะโเรียกอีกหลายครั้ง เ้าไม่ตอบกลับข้าเลย ข้านึกว่าเ้าไม่อยู่แล้วก็กังวลว่าจะเกิดเื่ขึ้นกับเ้า”
อ๋าวหรานนวดขมับ “นั่นน่ะสิ ข้าง่วงมากเลย เลยหลับเป็ตาย”
อ๋าวหรานเพิ่งพูดจบ จิ่งฝานที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งซึ่งไม่ได้เอ่ยปากพูดอันใดเลยสักคำมานานแล้ว “เ้าน่าจะไม่ใช่เพราะง่วงเกินไปถึงได้หลับไปหรอก”
คนทั้งสามทั้งใทั้งสงสัยหันไปมองจิ่งฝาน อ๋าวหรานเห็นจิ่งฝานพลิกเทียนสีแดงในมือไปมาอยู่ตลอด “เทียนนี่มีปัญหา?”
จิ่งฝานพยักหน้า
จิ่งจื่อรับเทียนนั่นไป เอามาแตะหน้าจมูกแล้วดมกลิ่น มีกลิ่นจางๆ บางอย่างที่ระเหยไปเกือบหมดแล้ว ถ้าไม่ตั้งใจดมก็คงไม่ได้กลิ่น
อ๋าวหรานเองก็รับไปดูด้วยเช่นกัน
จิ่งฝาน “คาดว่าคงเผาไหม้ไปจนหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่กลิ่งจางๆ”
อ๋าวหรานเข้าใจในทันใด “มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ข้าถึงได้กลิ่นหอมๆ ยังคิดว่าเป็กลิ่นที่ของที่ร้านมีอยู่แล้ว”
จิ่งเซียงถามอย่างร้อนรน “ท่านพี่ มีพิษหรือเปล่า?”
จิ่งฝานส่ายหน้า “เป็ยาเสน่ห์ ไม่มีพิษ”
พูดจบก็หันไปมองหน้าต่าง “อีกทั้งหน้าต่างเปิดกว้างอยู่ตลอด ยาเองก็ระเหยออกไปเยอะแล้ว”
จิ่งจื่อ “ไม่รู้ว่าเป็ผู้ใด แล้วมีจุดมุ่งหมายอะไร?”
อันดับแรกที่อ๋าวหรานคิดถึงก็คือคนตระกูลทาง เพราะว่าในโลกใบนี้คงไม่มีใครนอกจากตระกูลทางที่จะมาสนใจตัวรับะุแทนอย่างเขาที่ไม่มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว
อ๋าวหรานมองไปทางจิ่งฝาน พอดีจิ่งฝานเองก็หันมามองเขาเช่นกัน อ๋าวหรานเดาว่า จิ่งฝานคงคิดเหมือนกันกับเขา
จิ่งจื่อที่นั่งอยู่ทางด้านขวาของอ๋าวหรานจู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “อ๋าวหราน คอเ้าเป็อะไร?”
อ๋าวหรานสงสัย เอนหัวลงมอง แต่เพราะอยู่ในจุดอับสายตา จึงมองไม่เห็นอะไร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้