ในขณะที่วิ่งออกมา ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะหันไปมองเซี่ยเจิงที่ถูกเขาจับมือเอาไว้แน่น
ผมบนหน้าผากของเขาสั่นไหวไปมา แต่ใบหน้าของเขากลับเรียบนิ่ง ราวกับว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้เป็คนทำให้ชวีจิ่งเืตกยางออก ทว่าเป็เพียงแค่การใช้มือเปล่าไปผ่าแตงโมมาเท่านั้น
ทั้งสองคนขึ้นรถไป ในสถานที่ที่ปิดอย่างมิดชิดเช่นนี้จึงทำให้ได้ยินเสียงหอบหายใจดังขึ้นมาอย่างชัดเจน เขาทั้งคู่ก็นั่งกันอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเซี่ยเจิงถามขึ้นมา :
“เขาจะเอาไปฟ้องพ่อนายหรือเปล่า? ”
เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อขึ้นมาว่า : “ถ้าเขาฟ้อง นายโยนความผิดมาให้ฉันก็ได้”
“โถ่เอ๊ย” ชวีเสี่ยวปอนึกไม่ถึงว่าเซี่ยเจิงจะคิดถึงเื่นี้ด้วย จากนั้นเขาจึงตบหลังของเซี่ยเจิงไปเบาๆ “เขาไม่บอกหรอก เื่ของพวกเราสองคน พวกเราไม่เอาไปบอกพ่อหรอก” อันที่จริงที่ชวีเสี่ยวปอพูดไปแบบนี้ก็เพื่อที่จะทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกสบายใจ เพราะถึงยังไงทั้งสองคนก็มีเื่กันในสนามของตัวเองเช่นนี้ ต่อให้ชวีจิ่งไม่บอกก็มีคนอื่นเอาไปบอกชวีอี้เจี๋ยอยู่ดี
แต่ตอนนี้ชวีเสี่ยวปอไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย ั้แ่เล็กจนโตเขากับชวีจิ่งต่อยกันนับครั้งไม่ถ้วน ที่ร้ายแรงกว่าครั้งนี้ก็มีถมเถไป แต่ไม่รู้ว่าทำไม ครั้งนี้ถึงเป็ครั้งเดียวที่ทำให้เขามีความสุขมากขนาดนี้
ทว่าสีหน้าอันเศร้าหมองของเซี่ยเจิงกลับปรากฏขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวของเขา ชวีเสี่ยวปอจึงถอนหายใจออกมา :
“จริงๆ ฉันชินแล้วละ”
เซี่ยเจิงเอียงศีรษะมามองเขาทันที ทั้งยังสายตากวาดไปมาบนใบหน้าของชวีเสี่ยวปอด้วยความแ่เบา
ชวีเสี่ยวปอลูบคลำไปที่หน้าของตัวเองอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “ชินแล้วจริงๆ ”
“นายโกหกน่ะสิ” เซี่ยเจิงยื่นมือออกมา ทำให้ชวีเสี่ยวปอต้องก้มลงไปมองอย่างอัตโนมัติ และหลังจากที่รู้สึกได้ว่าเซี่ยเจิงกำลังจะช่วยจัดคอเสื้อให้ เขาจึงโน้มตัวเข้าไป
“แบบนายน่ะเรียกว่าถูกบังคับให้ชิน” เซี่ยเจิงลูบคอเสื้อตรงส่วนที่ถูกจับเอาไว้ให้เรียบ พร้อมทั้งถอนหายใจออกมาเบาๆ “ฉันมั่นใจ”
“อะไร? ” ชวีเสี่ยวปอถาม ในขณะนั้นนิ้วมือของเซี่ยเจิงก็เกี่ยวไปบนคอของเขาเบาๆ จึงทำให้รู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมานิดนึงแล้ว
“ความแรงแค่นั้น” เซี่ยเจิงอธิบาย “อย่างมากก็แค่ทำเขาจมูกเืไหล ไม่เป็อะไรมากไปกว่านั้นแน่นอน”
“สุดยอด” ชวีเสี่ยวปออึ้งไปครู่หนึ่ง พร้อมทั้งทำท่าทางถูกใจออกมา “นี่ เซี่ยเจิง ไม่ว่านายจะทำเื่อะไรนายก็จะมั่นใจมากเลยใช่หรือเปล่า แบบว่าต้องคำนวณเอาหมดแล้ว”
“ก็ไม่ทั้งหมดนะ ทำไมเหรอ? ”
ชวีเสี่ยวปอวางมือลงไปบนพวงมาลัย “คงจะเป็เพราะว่าฉันไม่ค่อยมั่นใจละมั้ง? ฉันรู้สึกแบบนี้เป็ครั้งแรกเลย นายเป็อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน คำนั้นเรียกว่าอะไรแล้วนะ... ”
“รู้สึกปลอดภัยเหรอ? ” เซี่ยเจิงบีบต้นขาตัวเองอย่างแรงในส่วนที่ชวีเสี่ยวปอมองไม่เห็น พยายามทำให้หัวใจของตัวเองที่เต้นขึ้นมาอย่างแรงสงบลง
“ประมาณนั้น !” ชวีเสี่ยวปอหัวเราพร้อมทั้งดีดนิ้วขึ้นมา “ยังไงซะมันก็ดีมาก รู้สึกไม่เหมือนทุกที”
“นายมีความสุขจนเหมือนคนสติไม่ดีเลยอะ” เซี่ยเจิงจึงหัวเราตามไปด้วย ่นี้เขารู้สึกว่าชวีเสี่ยวปอมีผลต่ออารมณ์ของเขาได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับพอใจเป็อย่างมาก
“ได้ได้ได้” ชวีเสี่ยวปอสตาร์ทรถ “คนสติไม่ดีคนนี้จะเลี้ยงข้าวนายเอง ฉันหิวจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
เนื่องจากไม่มีใบขับขี่ ชวีเสี่ยวปอจึงไม่กล้าไปใกล้ๆ กับสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านสักเท่าไหร่ ประกอบกับแถวนี้ก็มีร้านอาหารยูนนานอยู่ร้านหนึ่งพอดี ชวีเสี่ยวปอเคยมากินแล้วรู้สึกว่าพอใช้ได้ จึงขับตรงไปยังร้านนั้นเลย
แม้จะยังไม่ถึงเวลาทานข้าว แต่คนในร้านก็ไม่น้อยเลยทีเดียว พนักงานจึงเดินนำพวกเขาไปหาที่นั่งพร้อมทั้งยื่นเมนูไปให้
ชวีเสี่ยวปอยื่นเมนูไปให้เซี่ยเจิง
“นายสั่งเลย” เซี่ยเจิงเทน้ำใส่แก้ว จากนั้นก็ยกขึ้นมาจิบไปนิดหน่อย
“ไก่อบจานหนึ่งครับ” ชวีเสี่ยวปอพูดขึ้นมาเสียงดัง เนื่องจากคนเยอะมาก ในร้านจึงมีเสียงดังจ๊อกแจ๊ะจอแจเต็มไปหมด เขาเลยกลัวว่าพนักงานจะไม่ได้ยิน “เนื้อผัดหน่อไม้เปรี้ยวครับ”
“เอาเต้าหู้ทอดจานหนึ่งด้วยครับ” ชวีเสี่ยวปอพลิกหน้าเมนูอาหาร “แล้วก็เอาปลานิลย่างตะไคร้ครับ”
“พอแล้วละ” เซี่ยเจิงเตือนออกไป
“ได้ไง เอาก๋วยเตี๋ยวอีกชามหนึ่งครับ แล้วก็ข้าวผัดเฮยซานตั้วครับ” ชวีเสี่ยวปอส่งเมนูอาหารคืนให้พนักงาน แล้วหันกลับมาถามเซี่ยเจิงว่า : “กินเหล้าด้วยไหม? ”
เซี่ยเจิงส่ายหัว
“วันนี้เบียร์ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งนะคะ” พนักงานมองเขาสองคนอย่างยิ้มแย้ม “พวกเรายังมีเหล้าข้าวที่กลั่นเองด้วยนะคะ จะลองชิมดูหน่อยไหมคะ? ”
“ไม่เป็ไรแล้วครับ” ชวีเสี่ยวปอเลียริมฝีปากล่างของเขา พร้อมทั้งพูดออกมาอย่างเสียดาย : “เอาเป็น้ำผลไม้คั้นสดสองแก้วก็พอครับ”
“ได้เลยค่ะ งั้นก็เท่านี้นะคะ” พนักงานจิ้มลงไปบนเครื่องสั่งอาหารอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง “วันนี้พวกเรามีจัดกิจกรรมเปิดร้านครบสามปี อีกเดี๋ยวบนเวทีจะมีการแสดง มีเกมให้เล่น แล้วก็ยังมีการจับฉลากด้วยค่ะ ถ้าจับได้รางวัลที่หนึ่งก็จะได้รับประทานอาหารมื้อนี้ฟรีไปเลยค่ะ”
หลังจากที่พนักงานเดินออกไปแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงถอดเสื้อคลุมออกและพาดไปยังพนักพิงของเก้าอี้ “ถึงว่าทำไมวันนี้คนถึงได้เยอะขนาดนี้ ที่แท้ก็วันครบรอบสามปีนี่เอง”
“อาหารก็คงจะมาเสิร์ฟช้าด้วย” เซี่ยเจิงดันขนมบนโต๊ะไปอีกฝั่งหนึ่ง “เอาไปรองท้องสักหน่อยเถอะ”
“แค่นี้ไม่พอฉันกินหรอก” ชวีเสี่ยวปอหยิบขนมข้าวพองอบกรอบยัดเข้าปากไป จากนั้นจึงเคี้ยวเสียงดังกรอบๆ พลางมองเซี่ยเจิงไปด้วย
เซี่ยเจิงทำเช่นเดียวกัน ในปากของเขาเคี้ยวไปมา พลางมองเขาไปด้วยเช่นกัน
จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“ติ๊งต๊องทั้งคู่” ชวีเสี่ยวปอเอนตัวพิงไปด้านหลัง “นี่ นายว่าพรหมลิขิตเื่แบบนี้มันแปลกไหม”
“หมายความว่ายังไง? ” เซี่ยเจิงเลิกคิ้ว
“ก็บังเอิญแหละมั้ง” ชวีเสี่ยวปอค่อยๆ แยกเื่ั้แ่ต้นเื่จนมาถึงตอนนี้ให้เซี่ยเจิงฟัง “ถ้าฉันไม่ได้ส่งจดหมายรักให้เซี่ยเจิง ก็จะไม่ได้ต่อยกับนาย ไม่ได้เลือกสายศิลป์ แล้วก็จะไม่ได้ถูกแบ่งห้องให้มาอยู่ห้องเดียวกับนาย”
“เพราะงั้นแล้วฉันควรต้องขอบคุณการจัดสรรของโชคชะตาด้วยใช่ไหม” เซี่ยเจิงยิ้มออกมาจนตาหยี “หรือว่าต้องขอบคุณนายที่ส่งจดหมายรักมาให้ผิดคน”
“ขอบคุณโชคชะตามันก็ได้อยู่ แต่ขอบคุณจดหมายรักช่างมันดีกว่านะ” พอพูดถึงจดหมายรักชวีเสี่ยวปอก็เริ่มอายขึ้นมานิดนึงแล้ว “จริงๆ แล้วนายรู้ไหม วันนั้นตอนที่ฉันไปเจอกับต้วนเหล่ย” เมื่อชวีเสี่ยวปอพูดถึงตรงนี้ เขาก็เอนตัวเข้าไปติดกับโต๊ะ ท่าทางเช่นนี้มันทำให้เขาเข้าใกล้กับเซี่ยเจิงได้มากขึ้นอีกนิด เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เขาเพียงแค่รู้สึกว่าคำพูดที่เขากำลังจะพูดต่อจากนี้ควรที่จะเข้าไปพูดใกล้ๆ “ตอนที่นายยืนอยู่ข้างๆ ฉันก็มีความคิดแบบนี้ขึ้นมา”
“แบบที่ว่า...ตอนแรกเป็ศัตรูกัน แล้วจู่ๆ ต่อจากนั้นก็กลายเป็...ร่วมกัน...เผชิญหน้า...เอ่อ ความยากลำบากด้วยกัน”
“พอแล้ว พอแล้ว” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมา ขัดจังหวะในการพูดของเขา
“ถึงยังไงมันก็เป็ความรู้สึกแบบนั้นนั่นแหละ ! ความรู้สึกที่มีคนคอยอยู่ด้วยกันกับนายน่ะ”
“สอบภาษาจีนครั้งที่แล้วนายได้คะแนนเท่าไหร่? ” เซี่ยเจิงถาม
ชวีเสี่ยวปอผงะไปชั่วขณะ “ลืมไปแล้ว ถึงยังไงมันก็ไม่ผ่าน”
เซี่ยเจิงทำเสียงจิ๊ปาก : “ความสามารถในเรียบเรียงประโยคของนายนี่นะ ช่างไม่ไหวเอาซะเลย”
“อันนั้นเป็เพราะว่าฉันี้เีเขียนเรียงความมันเลยไม่ผ่านหรอกน่า คะแนนภาษาจีนของฉันดีที่สุดแล้ว !” ชวีเสี่ยวปอแก้ตัวให้ตัวเองอย่างหน้าไม่อาย “นายแค่บอกว่านายเข้าใจหรือเปล่าก็พอ !”
“พอเข้าใจได้อยู่” เซี่ยเจิงพยักหน้า “แต่ว่าซือจวิ้นก็อยู่กับนายมาตลอดเหมือนกันไม่ใช่เหรอ แล้วมันต่างกับฉันยังไงอะ? ”
“เขาเป็แบบว่า......” ชวีเสี่ยวปอกำลังจะตอบออกมา แต่แล้วเขาก็ได้ยินพนักงานเสิร์ฟพูดขึ้นมาว่า “ระวังร้อนนะคะ” และไก่อบหม้อใหญ่ที่มีไอร้อนพวยพุ่งออกมาก็ถูกยกมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะเป็อย่างแรก
เนื่องจากทั้งสองคนรอจนหิวไส้กิ่วแล้ว คำที่ชวีเสี่ยวปอกำลังจะพูดจึงไม่ได้พูดต่อ ในขณะนั้นอาหารก็ค่อยๆ ยกเข้ามาเสิร์ฟจนเต็มโต๊ะ ส่วนทั้งสองคนก็ทานกันอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จากันเลยสักคำ หลังจากเวลาผ่านไปเพียงครู่หนึ่งทุกอย่างก็สลายหายไปภายในพริบตา ชวีเสี่ยวปอวางตะเกียบลง จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาลูบตรงหน้าท้องที่ป่องออกมา “ให้ตายเถอะ กินอย่างมีความสุขเกิน อิ่มจนท้องจะแตกแล้วเนี่ย”