เมื่อเดินมาถึงที่หมาย ิหยวนเคาะประตูสามครั้ง รอจนได้ยินเสียงอนุญาตจึงเดินเข้าไป “ชุดน้ำชาของท่านอาจารย์ขอรับ”
โหวอิงกำลังจดจ่ออยู่กับม้วนตำราในมือ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง “รายได้ดีหรือไม่?”
ิหยวนใเกือบทิ้งชุดน้ำชาในอ้อมแขนที่ตนอุตส่าห์ถือมาอย่างระมัดระวัง
“ไม่เห็นต้องใถึงเพียงนั้น” โหวอิงยังคงไม่เงยหน้าขึ้น น้ำเสียงสงบราวกับน้ำเย็น เขาเอียงคางไปทางขวา
“เก็บไว้ในชั้นที่สองของตู้ลิ้นชักที่อยู่ข้างกำแพง”
ิหยวนหอบของไปเก็บไว้ในที่ของมัน ก่อนจะหันกลับมาทิ้งตัวคุกเข่าบนพื้น “ศิษย์ผิดไปแล้ว...”
“เ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า วันนี้รายได้เ้าดีหรือไม่?” โหวอิงหรี่ตามองไปที่เด็กหนุ่ม
“ได้ทั้งหมดยี่สิบหกเหวินขอรับ” ิหยวนเอ่ยเสียงแ่
“ก็ไม่ถือว่ามาก”
“เรียนท่านอาจารย์ เดิมทีมีประมาณสามสิบเหวิน แต่เพราะถูกหลิวเปียวชน เงินจึงตกกระจายไปทั่ว บางส่วนจึงหาไม่พบขอรับ”
“หืม อยากให้ข้าคืนความยุติธรรมให้เ้าหรือไม่?”
ที่ผ่านมาิหยวนพูดจาฉะฉาน ไม่เคยประหม่า แต่วันนี้เสียงของเขาเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยิน “...ศิษย์ไม่กล้า”
“ยังมีสิ่งใดที่เ้าไม่กล้าอยู่อีกหรือ?” ไม่รู้ตอนนี้ในใจโหวอิงคิดสิ่งใดอยู่ แทนที่จะพยายามไล่ถามต่อ เขากลับหยิบยกเื่อื่นขึ้นมาแทน “เ้าอ่านตำราที่ยืมไปจบแล้วหรือ?”
“อ่านจบแล้วขอรับ”
“อ่านแล้วเข้าใจหรือไม่?”
“กลืนพุทราทั้งลูก [1] เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ตรงไหนที่ไม่เข้าใจ ศิษย์จดบันทึกไว้แล้ว” ิหยวนเอ่ยจบก็ถอนหายใจ เริ่มกลับมาพูดจาฉะฉานตามเดิม หากเป็เื่เล่าเรียน เขาไม่เคยกลัว
“จำได้ทั้งหมดเลยหรือ?” โหวอิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ขอรับ ศิษย์เกิดมาพร้อมกับความจำที่ดีกว่าผู้อื่น” ิหยวนกล่าวอย่างนั้นแต่ก็เกาท้ายทอยอายๆ นานแล้วที่ท่านอาจารย์เฝ้าอบรมสั่งสอน แต่เขารู้สึกว่าวันเวลาช่างผ่านไปเร็วเหมือนพริบตาเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้อยู่เลย
โหวอิงอบรมสั่งสอนศิษย์คนนี้มานาน รู้ดีว่าเขาไม่ได้โกหก อีกทั้งไม่จำเป็ต้องพิสูจน์ ผู้เป็อาจารย์จึงพยักหน้าเบาๆ ให้ศิษย์ “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เ้าไปหยิบตำราที่ห้องตำราของข้าอีกสักสองสามเล่มกลับไปอ่านด้วยก็แล้วกัน อ่านแล้วตรงไหนไม่เข้าใจให้ถามข้า”
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์!”
......
ิหยวนไม่รู้หรอกว่าห้องตำราของนักปราชญ์คนอื่นๆ ในยุคนี้หน้าตาเป็อย่างไร แต่ห้องตำราของคุณชายตงเลี่ยงเป็เช่นนี้
ห้องตำราของโหวอิงใหญ่โตกว้างขวาง แต่ไม่มีการตกแต่งใดๆ ไม่มีโต๊ะ เก้าอี้ หรือภาพวาดแขวน มีเพียงเบาะรองนั่งกับชั้นวางตำราที่สูงั้แ่พื้นจรดเพดาน ล้อมรอบผนังทั้งสี่ด้าน ทั้งชั้นเต็มไปด้วยตำรา มีทั้งแบบม้วนไม้ไผ่ แบบม้วนกระดาษ ตำราแบบเล่ม มีเยอะเสียจนเรียกว่าโรงเก็บตำราถึงจะถูก
ตำราบนชั้นวางไม่เป็ระเบียบ ไม่มีการแยกหมวดหมู่ใดๆ ทั้งสิ้น ยามสอนตำราโหวอิงจะเริ่มั้แ่เนื้อหาพื้นฐานไปจนถึงเนื้อหาที่ซับซ้อน แบ่งเป็ความรู้ทั่วไป ปราชญ์ ประวัติศาสตร์ และคัมภีร์ ตามลำดับ แต่ตำราในห้องนี้ ถัดจากกวีนิพนธ์หลุนอวี่คือตำราภูมิศาสตร์ ถัดจากคัมภีร์มหาบุรุษเป็คัมภีร์เสินหนงเปิ๋นเฉ่าจิง ้าของตำราประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นเป็ตำรายุทธพิชัยาซุนปิน ตำราโหราศาสตร์และยังมีตำราวิธีการกลั่นผงห้าศิลาอันหนึ่งอยู่บนชั้นทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และอีกอันวางอยู่บนชั้นทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ห้าดอกไม้แปดประตู [2]
นับั้แ่โหวอิงรู้ว่าิหยวนเรียนรู้เร็ว ก้าวหน้ากว่าสหายร่วมชั้นหลายๆ คน จึงให้ยืมหนังสือจาก “คลังสมบัติ” ของเขากลับไปศึกษาด้วยตัวเอง แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งคือห้ามเลือกอ่าน ต้องเริ่มั้แ่ตำราเล่มแรกของชั้นหนังสือชั้นแรก ไม่ว่าจะหนึ่งเล่มหรือสิบเล่ม ก็ต้องอ่านตามลำดับ ิหยวนมีภูมิหลังที่ต่ำต้อย ไม่สามารถอ่านบทกวี ซึ่งหลายปีมานี้เขาโชคดีที่ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ย่อมต้องเป็เด็กดีเชื่อฟังอาจารย์
ิหยวนใช้ชีวิตเป็ชนชั้นสูงมานาน เคยชินกับการควบคุมทุกสิ่ง จึงเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความสับสน แม้แต่ประวัติศาสตร์การผลัดเปลี่ยนราชวงศ์ก็ยังอ่านไม่เข้าใจ ทั้งไม่คุ้นเคยกับชีวิตใหม่ ทั้งรู้สึกไม่ปลอยภัย เขา้าทำความเข้าใจชาติภพใหม่นี้ให้เร็วที่สุด วิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุดก็คือการอ่าน เขาจึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนสิ่งที่โหวอิงพร่ำสอน ยืมตำรากลับไปอ่านอย่างกระตือรือร้น เก็บเกี่ยวความรู้และซึมซับเข้าหัวอย่างรวดเร็วราวกับฟองน้ำ
อีกทั้งยังเกิดในครอบครัวยากจน แม้เป็เด็กก็ต้องทำงานหลายอย่าง ทั้งเลี้ยงไก่ ตัดหญ้า จับปลา และดูแลน้อง แม้พี่สาวคนโตจะพยายามทำงานบ้านหนักขึ้น และเอาแต่บอกให้เขาเอาเวลาไปตั้งใจเรียนให้สมกับที่ได้รับโอกาส แต่พอเห็นพี่สาวต้องทำงานหนัก ก็พลันหวนนึกถึงพี่สาวในชาติก่อน เสด็จพี่ถูกเสด็จพ่อตัดสินโทษอย่างไม่ยุติธรรมก็เพราะเขา มาเสียใจยามนี้ก็สายเกินไปแล้ว ฉะนั้นแล้วเกิดมาชาตินี้ เขาจะปล่อยให้พี่สาวลำบากเพื่อเขาอีกได้อย่างไร
นอกจากนั้นเขายังได้ศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายบ้านเมืองด้วย มันทำให้เขารู้ว่าไม่ว่ายุคไหน ผู้คนรากหญ้า ไร้อำนาจและเงินตรา แม้ทำผิดเพียงน้อยนิดก็อาจหัวขาดทั้งครอบครัว เขาย่อมเกิดความหวาดกลัวและความกังวลเป็ธรรมดา จึงใช้ทุกโอกาสที่เขามีหาเงินมาเจือจุนครอบครัว
ยิ่งชาติที่แล้วเขามีทุกอย่างไม่เคยขาด ชีวิตนี้ยิ่งทำให้เขาเข้าใจความยากลำบาก เสื้อผ้าอาหารขาดแคลน พ่อแม่พี่น้องทำงานหนักโดยไม่ปริปากบ่น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย เสียงร้องไห้คร่ำครวญจากเพื่อนบ้านดังขึ้นเป็ครั้งคราว ใจเขายิ่งหดหู่จนเกิดความเครียดสะสม มีเพียงยามเขาได้ศึกษาเล่าเรียนกับโหวอิง และรายล้อมด้วยตำรามากมายเท่านั้นที่ทำให้เขาลืมความยากจนไปชั่วขณะ และได้ผ่อนคลายจิตใจบ้าง
ดังนั้นนอกจากตั้งใจเรียนในชั้นเรียนแล้ว ิหยวนยังอ่านตำรามากมายเพื่อเพิ่มพูนความรู้ บางเล่มอ่านได้เข้าใจง่าย บางเล่มอ่านยากไม่ค่อยเข้าใจ บางเล่มเนื้อหาคุ้นเคย แต่อักษรที่ใช้เขียนนั้นช่างแปลกตา บางเล่มเขารู้จักทุกตัวอักษร แต่เขียนเป็ประโยคแฝงความนัยความหมายซับซ้อนเกินทำความเข้าใจ หากเจอปัญหาเช่นนี้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแข็งใจท่องจำให้ขึ้นใจก่อนนำมาถามอาจารย์
วันนี้เขาหยิบตำรากลับไปห้าเล่ม พลิกไปพลิกมาพบว่ามีตำราสองเล่มมีภาพชายหญิงเปลือยเปล่า ชาตินี้เขายังเป็เด็ก ใบหน้าจึงแดงก่ำทันทีที่เห็นภาพพวกนั้น ลังเลอยู่นานสุดท้ายก็แทรกพวกมันไว้ในตำราเล่มอื่น ห่อด้วยใบบัวแล้วซ่อนไว้ในอ้อมแขน เดินกลับมาหาผู้เป็อาจารย์เพื่อกล่าวขอบคุณ
“หยุดอยู่ตรงนั้น” โหวอิงนั่งเอนหลังมือซ้ายถือม้วนตำรา มือขวาจับพู่กัน เขียนบางอย่างลงบนตำรา “วิชาดาบของเ้าฝึกไปถึงไหนแล้ว?”
ใต้หล้าเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ขุนนางและนักปราชญ์ส่วนใหญ่มาจากตระกูลที่มีอำนาจ มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ ต่อให้เสเพลเมาหัวราน้ำอย่างไรก็ยังรำเพลงดาบป้องกันตัวได้อย่างน้อยก็สองกระบวนท่า น้อยนักที่จะอ่อนแอเหมือนเว่ยเจี้ย [3] โชคดีที่สำนักศึกษาตระกูลิมีโหวอิงเป็เ้าสำนัก นอกจากสอนประวัติศาสตร์แล้ว เขายังสอนวิชาดาบ ขี่ม้า และยิงธนูด้วย
“เอ่อ...” ิหยวนอึกอัก เขาใช้เวลาครึ่งวันอยู่ที่สำนักศึกษา อีกครึ่งวันอยู่บ้านดูแลน้อง ช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถ่นา หากมีเวลาว่างก็อ่านตำราที่ยืมไป เวลาจะอ่านตำรายังแทบไม่มี จะเอาเวลาที่ไหนไปฝึกดาบ แม้ชาติที่แล้วตัวเขาจะพอรู้วรยุทธ์ แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเท่าด้านวิชาการ ร่างกายมันไม่ไหว ฝืนฝึกไปก็ไร้ประโยชน์
“ไปรอข้าที่ลานด้านหลัง เอาไม้ไผ่ไปด้วยสองลำ” โหวอิงพึมพำกับตนเอง “ในเมื่อความรู้ในตำราล้วนเรียนแล้ว ต่อไปก็ควรฝึกวรยุทธ์”
“ห้ะ?”
……
ิหยวนเริ่มขยับตัวแสดงชั้นเชิงโยนหินถามทาง [4] ซึ่งเป็การเคลื่อนไหวที่ดูธรรมดามากสำหรับผู้เป็อาจารย์
โหวอิงยืนถือลำไม้ไผ่ด้วยท่าทางสบายๆ
ิหยวนเพิ่งพุ่งไม้ในมือออกไปข้างหน้า ปลายไม้ไผ่ยังอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นก็มีเสียงลำไม้ไผ่วาดผ่านอากาศ ก่อนจะฟาดลงบนหลังิหยวน ทั้งเจ็บทั้งแสบ ิหยวนพ่นลมออกมาทางปาก พยายามกลั้นเสียงร้องแห่งความเ็ปเอาไว้
ิหยวนโน้มตัวกวัดแกว่งลำไม้ไผ่ ทว่ามันกลับฟาดลงบนไหล่เขาอีกครั้ง
“ลองใหม่!” โหวอิงเอ่ยเสียงดุ ิหยวนได้แต่เงียบและกัดฟันสู้อีกครั้ง
เพลงดาบหนึ่งชุดมียี่สิบสี่กระบวนท่า ิหยวนตั้งรับไปทั้งหมดสี่สิบแปดครั้ง
แขน ต้นแขน ต้นขา น่อง หลัง สะบัก สะโพก และไหล่ถูกลำไม้ไผ่ร่วงหล่นลงมากระทบราวกับหยาดน้ำฝน แม้ไม่ได้ฟาดแรงมาก ถ้าเทียบกับเรี่ยวแรงที่หวังหม่าเอ๋อร์ใช้ทุบตีเขาแทบไม่ติด ทว่าลำไม้ไผ่นั้นอ่อนตัวและยาวกว่า โหวอิงใช้แรงเพียงปลายนิ้ว แต่เน้นฟาดลงบนิัส่วนที่อ่อนที่สุด ทำให้ทุกครั้งที่ถูกฟาดเขาจึงเจ็บมาก ถึงตอนนี้ิหยวนจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าโหวอิงกำลังลงโทษเขาที่อวดดีใช้ความรู้ช่วยผู้อื่นโกงบททดสอบ ตนทำผิดจริงจึงไม่คิดจะร้องขอความเมตตา ได้แต่กัดฟันยอมรับชะตากรรม
------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] กลืนพุทราทั้งลูก (囫囵吞枣) หมายถึง ไม่ได้เข้าใจถ่องแท้ แต่ก็หลับหูหลับตาทำความเข้าใจด้วยตนเอง
[2] ห้าดอกไม้แปดประตู (五花八门) หมายถึง มีหลากหลายไม่ซ้ำ
[3] เว่ยเจี้ย (卫玠) หมายถึง หนึ่งในสี่บุรุษหนุ่มรูปงามในประวัติศาสตร์จีน และมีฉายาว่าเทพบุตรหนุ่มหน้าหยกขี้โรค
[4] โยนหินถามทาง (投石问路) หมายถึง ทดลองทำเพื่อหยั่งเชิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้