“นี่คือยาพลังปราณหิมะระดับสูงสิบกระปุก ระดับคุณภาพเหมือนกับครั้งที่แล้ว” เสว่อู๋เหินยังไม่ได้บอกว่าธุระอะไร เพียงแต่หยิบกระปุกหยกสีขาวออกมาสิบกระปุกวางไว้บนโต๊ะ
“ไม่ดีกระมังนายน้อยเสว่ ธุระครั้งที่แล้วยังทำให้ไม่สำเร็จเลย” เย่ชิงขวงปากพูดออกมาอย่างนั้นแต่ภายในดวงตากลับเต็มไปด้วยความปรารถนา นี่มันยาล้ำค่าหายากระดับสูงเชียวนะ ครั้งที่แล้วที่แบ่งให้เย่หรงไปสี่กระปุกทำเอาเขาปวดใจอยู่หลายวันเลยทีเดียว
ต้องเข้าใจว่าผู้ฝึกยุทธ์หลังจากที่เลื่อนขึ้นสู่ระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ต้องสะสมพลังปราณรบเป็ปริมาณมหาศาลถึงจะเลื่อนขึ้นสู่ระดับขั้นขอบเขตที่สูงขึ้นไปได้ พลังปราณรบได้มาจากการดูดซับพลังฟ้าดินและยาต่างๆ ตระกูลเย่แม้จะมียาพวกนี้อยู่แต่ก็ดีไม่เท่าของตระกูลเสว่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่เหมือนเสว่อู๋เหินที่ถูกแต่งตั้งให้เป็ผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไป นายนายใหญ่กับหัวหน้าตระกูลคนต่อไปแตกต่างกันมาก
เสว่อู๋เหินแกล้งทำเป็ไม่เห็นความปรารถนาในสายตาของเย่ชิงขวง เขาแสร้งพูดออกมาอย่างเคอะเขินว่า “ไม่กลัวนายน้อยขวงจะหัวเราะเยาะ นางเด็กคนนั้นเหมือนกับผู้หญิงที่เป็รักแรกของข้ามาก รักแรกของข้าถูกคนของตระกูลทำให้ตาย ดังนั้น...เมื่อสักครู่ข้าเพิ่งจะได้รับข่าวให้รีบกลับตระกูลโดยเร็ว จะเป็ไปได้ไหมว่าพรุ่งนี้เช้าข้าอยากพานางเด็กคนนั้นกลับไปด้วย”
“เอ่ออ...” เย่ชิงขวงขมวดคิ้วเบาๆ สายตาจับจ้องไปที่กระปุกหยกสีขาวบนโต๊ะ มีอาการอึดอัดขึ้นมา “ข้าเข้าใจความรู้สึกของนายน้อยเสว่ดี เพียงแต่ว่า...เื่นี้จัดการยาก ที่สำคัญคือนิสัยของนางเด็กคนนั้นแข็งกร้าวมาก ข้ากลัวว่านางจะฆ่าตัวตาย”
เสว่อู๋เหินมองดูสีหน้าของเย่ชิงขวง เขายิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบเอากระปุกหยกสีเหลืองออกมาแล้วพูดขึ้น “นี่คือสามราตรีเมามาย ไม่มีสีไม่มีกลิ่นไม่มีรส เื่อีกสามวันให้หลังนายน้อยขวงไม่ต้องกังวล ข้ารับประกันว่าจะปฏิบัติต่อนางเด็กคนนั้นอย่างดี ส่วนเื่ทางตระกูลเย่ก็ต้องรบกวนให้นายน้อยขวงช่วยจัดการให้เรียบร้อยเป็พอ
“อย่างอื่นข้าไม่กังวล มีเพียงไอ้ขยะเย่ชิงหานนั่นหรือก็คือพี่ชายของเย่ชิงอวี่ นิสัยก้าวร้าวดุดันเหมือนม้าป่า ครั้งที่แล้วที่ถนนหนิวหลันท่านก็คงเห็นแล้ว ถึงเวลานั้นข้ากลัวว่ามันจะไปหาเื่ที่หอผู้าุโน่ะสิ”
“นี่คือเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับจักรพรรดิเล่มหนึ่ง แต่ว่าเป็เล่มที่ไม่สมบูรณ์ ถือโอกาสมอบให้นายน้อยขวงด้วยเลยแล้วกัน” เสว่อู๋เหินหัวเราะออกมาในใจ โยนสมุดเล่มสีเหลืองเก่าคร่ำครึออกไป เขาไม่เพียงรู้ว่าเย่ชิงหานเป็พี่ชายของเย่ชิงอวี่ เขายังรู้อีกว่าเย่ชิงหานไม่เพียงนิสัยกร้าวร้าวดุดันราวกับม้าป่า แต่พลังฝีมือยังดุดันกว่าม้าป่าเสียอีก ถ้าหากไม่ใช่เพราะเย่ชิงหานมีหรือที่เขาจะตัดใจเอาเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับจักรพรรดิที่ประเมินมูลค่าไม่ได้เช่นนี้ให้เย่ชิงขวง
“อ้อ? เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิ?” ดวงตาของเย่ชิงขวงถูกสมุดเล่มสีเหลืองเก่าคร่ำครึนั้นดึงดูดไป ภายในใจของเขาตื่นเต้นดีใจราวกับคลื่นซัดโหมกระหน่ำ เคล็ดวิชาต่อสู้แบ่งเป็ ระดับมนุษย์ ระดับาา ระดับจักรพรรดิ และระดับศักดิ์สิทธิ์ เย่ชิงขวงแม้จะเป็นายน้อยใหญ่ของตระกูลแต่ไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับจักรพรรดิใดๆ เลย วันนี้ได้รับโดยไม่คาดคิดและถึงแม้จะเป็เล่มที่ไม่สมบูรณ์ แต่ก็เป็ของที่ประเมินค่ามิได้อยู่ดี
พลิกดูอย่างรวดเร็วอยู่รอบหนึ่ง เย่ชิงขวงพลันลุกขึ้นในทันทีพร้อมกับพูดออกมาด้วยสีหน้าที่จริงจัง “พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่ประตูใหญ่ทางทิศเหนือ”
เสว่อู๋เหินยิ้มออกมาด้วยความยินดี นึกถึงคำโบราณบางประโยคขึ้น "จิตใจที่ยังคงซื่อสัตย์นั้นเป็เพราะค่าตอบแทนที่ยังไม่มากพอ" ประโยคนี้ช่างเหมาะกับเย่ชิงขวงในตอนนี้อย่างที่สุด
เย่ชิงเสลุกขึ้นมาั้แ่เช้าตรู่ เช้ายิ่งกว่าไก่ที่ชาวไร่ชาวนาเลี้ยงไว้ที่อยู่นอกเมืองเสียอีก แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะไม่มีนิสัยตื่นเช้าเป็ปกติ แต่วันนี้ต่างออกไป เพราะว่าวันนี้เ้านายของเขาเป็ผู้เรียกเขาให้ตื่นเอง
เ้านายของเขามีชื่อว่าเย่ชิงขวง เย่ชิงเสเป็ลูกชายของจ้าวเมืองเล็กแห่งหนึ่ง ลูกหลานสายเืบ้านเล็กของตระกูล เนื่องจากพร์ในการฝึกพลังยุทธ์ค่อนข้างดี อายุสิบห้าได้เข้าร่วมเป็ศิษย์สายในของตระกูล จากนั้นจึงมาอยู่ภายใต้อาณัติของเย่ชิงขวงและได้รับความไว้วางใจจากเย่ชิงขวงอย่างรวดเร็วจนกลายมาเป็มือขวาของเขา ฐานะและตำแหน่งภายในตระกูลเรียกได้ว่าอยู่สูงกว่าพ่อของเขาที่เป็จ้าวเมืองเมืองเล็กเสียอีก
เย่ชิงเสเข้าใจดีว่าทั้งฐานะและตำแหน่งที่ได้รับล้วนมาจากเย่ชิงขวง ดังนั้นเขาจะต้องพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อรับใช้ตามที่เย่ชิงขวงสั่ง วันนี้ก็เช่นกันจึงจำเป็ต้องตื่นให้เช้ากว่าไก่
เขาพาลูกสมุนมาด้วยสองคนพร้อมกับกระปุกหยกสีเหลืองเดินออกมาจากสวนเมามาย ลูกสมุนเป็คนที่บิดาของเขาส่งมาให้ กระปุกหยกเป็ของที่เ้านายกำชับว่าต้องเอามาด้วย จุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้คือลานที่พักตระกูลเย่ฝั่งตะวันออกที่อยู่ห่างไกลหลังหนึ่ง
พวกเขามาถึงลานที่พักเล็กๆ ที่คุ้นเคยแห่งนี้อย่างเงียบเชียบ ที่บอกว่าคุ้นเคยเพราะเมื่อไม่นานมานี้เขาถูกต้อนจนมุม ณ ที่แห่งนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง เด็กสาวแสนสวยที่ดูภายนอกอ่อนแอและบอบบางนั้นปฏิเสธเขาอย่างเด็ดเดี่ยว ทำให้เขาถูกเ้านายด่าไปยกใหญ่ สร้างความอับอายขายขี้หน้าเป็อย่างยิ่ง ครั้งนี้เขาไม่อยากจะถูกด่าน้ำลายรดหัวเหมือนครั้งที่แล้วอีก ดังนั้นเขานำลูกสมุนมาด้วยสองคนให้ยืนรออยู่ด้านนอก ส่วนตนเองะโขึ้นกำแพงปีนเข้าไป
เขาหยิบมีดสั้นออกมาจากอกแล้วสะเดาะไปที่สลักไม้ที่ประตูเบาๆ จากนั้นจึงมุดเข้าไป ห้องนี้ไม่ใช่ห้องของหญิงสาวแต่เป็ห้องครัว เขารู้ดีว่าเด็กสาวที่อ่อนแอและบอบบางคนนี้ชอบตื่นขึ้นมาหุงหาอาหารในทุกๆ เช้าจนเป็นิสัย ดังนั้นเขาจึงหยดของเหลวใสจากกระปุกหยกสีเหลืองลงไปยังที่ต่างๆ เช่น น้ำมัน น้ำ จากนั้นจึงหลบกลับออกไปแล้วนั่งรวมกับสมุนอีกสองคนคอยอยู่อย่างเงียบๆ
เขาทำเช่นนี้กลายเป็ว่าทำเื่ง่ายให้กลายเป็เื่ยุ่งยาก แทนที่จะบุกเข้าไปในห้องของหญิงสาวตีให้สลบแล้วกรอกด้วยสามราตรีเมามายก็น่าจะง่ายดายกว่า ที่ทำเช่นนี้ส่วนหนึ่งเพราะเ้านายสั่งกำชับมาว่าต้องทำให้รอบคอบ และตัวเขาเองคิดว่าวิธีการเช่นนี้ค่อยเหมือนที่พวกคนถ่อยที่เขาทำกัน
เอี๊ยด
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ฟ้าเริ่มสาง เด็กสาวเปิดประตูเดินออกมาอย่างตรงเวลา เดินตรงเข้าไปภายในห้องครัว
เย่ชิงเสก็มีอาการตื่นเต้นอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่ากลัวคนเห็นเพราะอย่างไรที่แห่งนี้ก็ห่างไกลจากผู้คน เช้าขนาดนี้ยังไม่มีผู้คนผ่านไปมา แต่ที่ตื่นเต้นคือเพิ่งเคยทำเื่เช่นนี้เป็ครั้งแรก ใช้วิธีการที่เลวทรามเช่นนี้ภายในใจบังเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้น
.................................
เย่ชิงอวี่มองขึ้นไปยังท้องฟ้าด้วยความระทมทุกข์ คิดถึงพี่ชายผู้ที่อยู่ห่างไกลออกไป เมื่อก่อนงานซื้อข้าวสารล้วนเป็พี่ชายที่ทำตลอด ข้าวถังใหญ่กินใกล้จะหมดแล้ว ทำไมพี่ชายยังไม่กลับมาเสียที? เขาไม่รู้หรือว่าน้องสาวคนนี้ยกกระสอบข้าวหนักขนาดนั้นไม่ไหว?
ลูบดูมีดเล่มเล็กที่อยู่ภายในอกเสื้อ แม้จะเป็เพียงมีดปลอกผลไม้แต่เมื่อเดือนก่อนก็ขู่เ้าพวกสุนัขรับใช้ที่น่ารังเกียจเ่าั้ได้สำเร็จ มีดยังอยู่ในอกเสื้อก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาหน่อย จากนั้นนางจึงทำการหวีผมและล้างหน้า สายตาเหลือบมองไปที่ขนมปังที่ทำจากแป้งหมี่ข้าวโพดที่อยู่ภายในตู้ คิดภายในใจ ท่านพี่หากวันนี้ท่านยังไม่กลับมาอีกข้าคงต้องกินขนมปังพวกนี้ไปตลอดแล้ว
.................................
“ใคร!”
ยามเฝ้าประตูทั้งแปดที่สวมใส่ชุดเกราะหนายืนอยู่หน้าประตูจวนจ้าวเมือง ต่างพากันอยู่ในอาการหนังตาหย่อนจนเกือบจะหลับ แต่ว่าเสียงฝีเท้าของม้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ทั้งแปดสะตุ้งใตื่นขึ้นมาจากอาการง่วงเหงาหาวนอนสมองปลอดโปร่งขึ้นมาทันที จากนั้นจึงร้องออกไปด้วยเสียงอันดัง
“ข้าเอง เปิดประตู!”
เย่ชิงหานใบหน้าดูซีดขาวเล็กน้อยหลังจากเดินทางติดต่อกันหลายวันโดยไม่ได้หยุดพัก แต่เมื่อคิดว่าอีกไม่นานก็จะได้พบกับเ้าของร่างที่บอบบางนั้น เขากลับมีกำลังขึ้นมาอีกครั้งแล้วะโลงจากรถม้า
เย่ชิงหานหยิบถุงก้อนผลึกพลังสีม่วงออกมาจากอกโยนให้องครักษ์คุ้มกันทั้งสี่คนที่ติดตามมากับรถม้า พร้อมกับพูดขึ้น “ลำบากพี่ชายทั้งหลายแล้ว นี่เป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้พี่ชายทั้งหลายไว้ดื่มเหล้าอบอุ่นร่างกาย”
“นายน้อยอย่าได้เกรงใจ” หนึ่งในสี่องครักษ์คุ้มกันพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา คำพูดเต็มไปด้วยความเกรงใจและนอบน้อม จากนั้นจึงหมุนตัวจากไป
ยามเฝ้าประตูทั้งแปดเบิกตากว้างอ้าปากค้างมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า พวกเขาฝึกการพิจารณาคำพูดและสังเกตสีหน้าของคนมาเป็เวลานานหลายปี รู้ได้ทันทีว่ารถม้าที่หรูหราโอ่อ่าคันนั้นราคาสูงมากแค่ไหน และยังมีน้ำเสียงเคารพนอบน้อมที่แสดงออกมาจากองครักษ์ระดับสูงเมื่อสักครู่ มองดูนายน้อยลำดับเจ็ดที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้าคนนี้ รู้สึกราวกับว่าเขามีอะไรที่เปลี่ยนไป เพียงแต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามีอะไรที่แตกต่างออกไป ท้องฟ้าที่อยู่บนหัวของนายน้อยลำดับเจ็ดคล้ายกับว่ากำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว
“อรุณสวัสดิ์นายน้อยลำดับเจ็ด” ยามคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนอย่างเกรงอกเกรงใจ ส่วนอีกคนที่อยู่ข้างๆ รีบเร่งเปิดประตูในทันที
“อืม” เย่ชิงหานพยักหน้าตอบรับเบาๆ รู้สึกไม่คุ้นเคยกับท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของพวกยาม แต่ทว่าจังหวะฝีเท้าก็ไม่ได้หยุดชะงักลงแต่อย่างใด ยังคงมุ่งหน้าไปยังลานที่พักเล็กๆ ของตนเองอย่างรวดเร็ว