บทที่ 34 เทพไท่เสวียน
“ฮ่าๆ ในเมื่อสหายน้อยพูดเช่นนี้ ข้าคงต้องขอี้เีเสียหน่อยแล้ว!” ตู้เสวียนเฉิงอยู่มาพันกว่าปีแล้ว มีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของลู่อวี่ แต่ก็ไม่ถามให้มากความ แล้วพลันหายตัวกลับไปเข้าฌานนั่งสมาธิต่อที่ห้องพักอีกครั้ง
ยอดฝีมือจากทั่วทุกสารทิศที่มาสอดแนมพวกนั้น เป็ไปตามที่ลู่อวี่ว่าไว้ พวกเขาแค่มาสอดส่องดูอยู่ไกลๆ เท่านั้น ถึงไม่รู้ว่าเป็ใครและฝึกฝนพลังยุทธ์อยู่ขั้นใด ด้วยพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง พวกเขาจึงไม่อาจระบุตัวตนได้ว่าคนปรุงโอสถขั้นห้าเป็ใคร เพียงแต่เวลาผ่านไปนานแล้ว ก็ยังไม่เห็นตระกูลลู่มีท่าที หรือลงมือทำอะไร และยังคงแยกย้ายกันทำงานอย่างมีแบบแผน ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้พวกเขาเกิดข้อสงสัยขึ้นมาในใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผียายแก่ตระกูลเมิ่งและเซินหยวนชิงที่ซ่อนตัวอยู่ในศาลาแห่งหนึ่ง ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ลี้ เมื่อฟังที่ผู้ใต้บังคับบัญชาส่งข่าวรายงานมา ก็ถึงกับขมวดคิ้วแน่น และคาดเดากันไปต่างๆ นานา
หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ผียายแก่ตระกูลเมิ่งก็พูดขึ้นมาอย่างทนไม่ได้ “เหตุใดถึงต้องสนใจว่าตระกูลลู่ยังซ่อนยอดฝีมืออะไรไว้อีก ตราบใดที่เรามียอดฝีมือมากกว่า จะจัดการกับพวกเขาย่อมไม่นับว่าเป็อะไร แต่เขาหนิงชุยเฟิงของพวกเ้าก็เอาแต่ลังเลไม่เด็ดขาด”
“หากบุกเข้าไปหาทันทีตามที่ข้าเคยบอกไว้ ฆ่าก็ฆ่า จับก็จับ เช่นนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้หรือไม่เล่า หากลงมือแล้วจะทำให้ตำหนักมหาเทพขุ่นเคืองใจ เหตุใดต้องสนใจ มหาเทพไม่ได้ปรากฏตัวมาหลายร้อยปีแล้ว ยังอยู่หรือไม่ก็สุดที่จะหยั่งถึง ต่อให้ผู้เฒ่าสูงสุดของเทียนตูจะมีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่อาจกวาดล้างทั่วทั้งเทียนตูได้!”
เซินหยวนชิงแสดงสีหน้าเหยียดหยาม ในใจเต็มไปด้วยความดูถูกและไม่พอใจ แต่ก็ไม่อยากเปลืองน้ำลายมาอธิบายให้ผียายแก่ตระกูลเมิ่งฟัง จึงพูดเพียงว่า “ตราบใดที่เรายังไม่ได้ลงมือ ต่อให้ตระกูลลู่รู้ว่าพวกเรา้าจัดการกับพวกเขา แต่ก็ไม่อาจหาเหตุผลมาโต้แย้งได้ หากลงมือโดยไม่สนใจอะไรตามที่ท่านว่ามา หากสำเร็จก็เป็เื่น่ายินดี แต่หากล้มเหลวเล่า ย่อมต้องตกเป็เป้าให้สาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์ ตระกูลเมิ่งของท่านจะทนไหวเช่นนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นผียายแก่ตระกูลเมิ่งคล้อยตาม ถึงได้พูดต่อไปว่า “คนตระกูลลู่สามารถเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าได้ แม้ว่าตามข่าวกรองที่ได้มา อาจมีความเป็ไปได้มากที่จะเป็นายน้อยลู่อวี่ แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อหลายสิบปีก่อนจนถึงตอนนี้ ผู้เฒ่าห้าของตระกูลลู่ก็เป็คนปรุงโอสถขั้นเจ็ดผู้หนึ่ง หากมียอดฝีมืออะไรมาคอยชี้แนะหรือให้โอกาส เื่ที่คนตระกูลลู่จะกลายมาเป็คนปรุงโอสถขั้นห้า ก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้ เช่นนั้นไม่สู้ให้พวกเราอดทนกันอีกสักหน่อยเล่า!”
เมื่อมีตู้เสวียนเฉิงคอยสนับสนุนอยู่เื้ัแล้ว ลู่อวี่ก็คลายความกังวลลงไปมาก ถึงแม้จะรู้ว่าภายนอกมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดไม่ดีกับตระกูลลู่และตนเอง อันที่จริงเขาก็อยากชิงตัดหน้าจัดการเื่นี้เสีย แต่ก็้าเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่านี้เสียก่อน ดังนั้นจึงเรียกลู่เสียงและคนอื่นๆ อีกสองสามคนมาสั่งกำชับ ถึงกลับไปฝึกบำเพ็ญเพียรในห้องของตัวเองอย่างสงบใจ
สิบวันต่อมา ก็มีข่าวแพร่สะพัดจากตระกูลลู่ ที่สร้างความสั่นะเืไปทั่วทั้งโลกบำเพ็ญเพียรในเทียนตู นายน้อยลู่อวี่ได้ปรุงยาอายุวัฒนะขั้นห้า จากผลิญญาหยกเขียว และยาวิเศษล้ำค่าอีกสิบกว่าชนิดออกมาได้เจ็ดเม็ด สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า คนปรุงโอสถขั้นห้าของตระกูลลู่ ที่หลายฝ่ายคาดเดากันไปต่างๆ นานา คือนายน้อยลู่อวี่นั่นเอง!
และยิ่งทำให้ผู้คนใจนแทบบ้าก็คือ ยาอายุวัฒนะเจ็ดเม็ดที่นายน้อยตระกูลลู่ปรุงออกมา คือ ‘ยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาว’ ซึ่งเป็ยาอายุวัฒนะขั้นเทพ ที่ผู้รอบรู้ในขั้นตงซวนเท่านั้นจะเข้าใจและรู้แจ้งถึงความลึกลับของ์และโลก จนก้าวไปสู่เส้นทางแห่งการเป็เทพเ้า
ทันทีที่กินยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาวเข้าไป ก็เหมือนได้ก้าวสู่ความมหัศจรรย์ และัักับความเร้นลับของ์และโลกได้อย่างชัดแจ้ง หากไม่ใช่นักพรตที่มีพลังยุทธ์สะสมเข้าขั้นแย่ หรือมีความตระหนักรู้ต่ำเกินไป พลังยุทธ์ก็จะบรรลุขั้นขึ้นในระดับที่แตกต่างกันหลังจากกินยาอายุวัฒนะนี้เข้าไป
แม้ว่าพลังยุทธ์จะไม่ได้ก้าวสู่่ปลายของขั้นตงซวน แต่ยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาว สามารถเพิ่มพลังยุทธ์ให้สูงขึ้นได้ และแน่นอนว่าสำหรับยอดฝีมือขั้นตงซวนที่มีอายุไม่ยืนยาว และน้อยนักที่จะมีโอกาสเข้าใจความเร้นลับของ์และโลกเ่าั้แล้ว การมียาอายุวัฒนะนี้ไว้ใน ก็เหมือนกับมีชีวิตใหม่ และไม่ใช่แค่ว่ามีอายุยืนยาวเพิ่มขึ้น หรือบรรลุขั้นพลังยุทธ์เ่าั้แล้วจะมาเทียบได้
แต่ยามหัศจรรย์ทำลายล้างเจ็ดดาวนี้ หายสาบสูญไปจากโลกบำเพ็ญเพียรเทียนตูมานานแล้ว ทั้งยังเป็เพียงยาอายุวัฒนะประเภทหนึ่งที่อยู่ในคัมภีร์เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ นายน้อยตระกูลลู่จะปรุงยาออกมาได้ด้วยตนเอง ทั้งยังปรุงออกมาทีเดียวถึงเจ็ดเม็ด แล้วจะไม่ให้บรรดาผู้รอบรู้ขั้นตงซวนจำนวนนับไม่ถ้วน ที่ติดอยู่ในขั้นตงซวนและที่มีอายุไม่ยืนยาวบ้าคลั่งได้อย่างไร?
เมื่อยอดฝีมือผู้ทรงพลังจำนวนไม่น้อย ที่แยกตัวไปฝึกฝนอย่างสันโดษยังที่ฝึกวิชาของตนเอง ในโลกบำเพ็ญเพียรทราบข่าว ต่างก็เงยหน้าะโขึ้นฟ้าด้วยความตื่นเต้นดีใจ โอกาสเช่นนี้ ไม่ว่าจะต้องลงทุนทุ่มเทเท่าไร ก็ต้องได้มาอย่างน้อยสักเม็ดหนึ่ง เพียงเท่านี้ ก็ไม่มีอะไรมาขัดขวางความเป็ตัวของตัวเองได้อีกแล้ว
คนตระกูลเมิ่งและคนจากเขาหนิงชุยเฟิง ถึงกับลนลานนั่งไม่ติดกันแล้วเมื่อรู้ข่าว หากพวกเขายังคิดที่จะจัดการตระกูลลู่ เช่นนั้นก็เหมือนต้องเป็ศัตรูกับยอดฝีมือขั้นตงซวนทั้งหมดเลยไม่ใช่หรือ?
จะชิงลงมือฆ่าทิ้งก่อนที่ตระกูลลู่จะผงาดขึ้น อย่างนั้นหรือ? รอให้ตระกูลลู่ผงาดขึ้นมาก่อนแล้วค่อยฆ่าทำลายล้างทั้งตระกูล? ช่างเป็ตัวเลือกที่น่าเ็ปเสียจริง
ตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ดและสำนักใหญ่ทั้งเก้าถึงกับตกตะลึงจนมึนงง กับทักษะความสามารถในการปรุงยาของลู่อวี่ นี่แหละหนา คนเก่งแต่ไม่เปิดเผยเคล็ดวิชา แต่หากคนได้เห็นได้รู้ รับรองต้องตะลึงงันโดยแท้! นายน้อยของตระกูลลู่ผู้มีชื่อเสียงดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเทียนตูมานานกว่าสิบปี เป็อัจฉริยะด้านปรุงยาอย่างนั้นหรือ? เขาไม่ใช่คนไร้ค่า!? ไม่ใช่คนเสเพลเ้าสำราญ!?
แม้ว่าถึงอย่างไรมันก็ยากที่จะทำให้คนหลงเชื่อ แต่ความจริงย่อมเป็ความจริง อย่างไม่ต้องสงสัย! เช่นนั้นแล้ว จะต้องเริ่มใช้ความพยายามทุกวิถีทาง เพื่อผูกมิตรกับตระกูลลู่ในยามนี้ หรือต้องเตรียมรวมตัวกันเพื่อสังหารตระกูลลู่ให้สิ้นซากเล่า เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมื่อใดที่ตระกูลลู่ผงาดขึ้นมาได้ ย่อมต้องทำลายสมดุลขั้วอำนาจทั้งหมดของโลกบำเพ็ญเพียรในเทียนตูเป็แน่แท้
ในเวลาเดียวกัน จวนของตระกูลลู่ในเมืองเทียนตู ก็พลันคึกคักขึ้นมาทันใดกับผู้คนมากหน้าหลายตา กองกำลังต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่ ต่างพากันส่งบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ ให้มาสร้างความสัมพันธ์และเชื่อมไมตรี ในขณะเดียวกันก็ใช้ทุกวิถีทาง เพื่อสอดแนม เื่น่ายินดีต่างๆ ของตระกูลลู่ แต่คนส่วนใหญ่ที่มากลับมาขอให้ลู่อวี่ปรุงยาให้ และแน่นอนว่าคนเ่าั้ไม่กล้าตั้งความหวังไว้สูงมาก
สำหรับนักพรตแล้ว การปรุงยาก็เพื่อใช้เป็ตัวช่วยเสริมในการฝึกฝนเท่านั้น แม้แต่าาโอสถของเขาหนิงชุยเฟิง หากรวมระยะเวลาปรุงยาในทุกปีแล้ว ก็ไม่เกินสามเดือน เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนบำเพ็ญเพียร
ใน่พลบค่ำ ลู่อวี่และตู้เสวียนเฉิงที่พอจะมีเวลาว่าง กำลังดื่มชาและพูดคุยกันอยู่ในศาลาเล็กๆ ภายในสวนหลังบ้านของตระกูลลู่ แม้ว่าพลังยุทธ์ของลู่อวี่ในชาติก่อนหน้านี้ จะสูงกว่าของตู้เสวียนเฉิงไปขั้นพลังใหญ่ๆ กว่าหนึ่งขั้น แต่ในแง่ประสบการณ์การต่อสู้และความรอบรู้ ยังถือว่าด้อยกว่ามาก เพราะอย่างไรเสียตู้เสวียนเฉิงก็มีชีวิตยืนยาวมานับพันปีแล้ว แต่อายุของลู่อวี่ทั้งสองภพรวมกัน ก็เพิ่งจะสองร้อยกว่าปีเท่านั้น ทั้งต้องฝึกฝนและศึกษาการปรุงยา เช่นนั้นแล้วจึงไม่มีเวลาศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
ดังนั้นเมื่อลู่อวี่และตู้เสวียนเฉิงพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ ไม่นานก็ได้แลกเปลี่ยนความรู้มากมาย และตู้เสวียนเฉิงเพิ่งค้นพบว่า แม้ว่าระดับพลังยุทธ์ของลู่อวี่จะต่ำมาก แต่ในแง่ความรู้ ยังกว้างขวางกว่านักพรตส่วนใหญ่ไม่น้อย อีกทั้งยังมีข้อคิดเห็นต่อเื่ราวมากมายอย่างมีเอกลักษณ์และลึกซึ้ง ไม่เหมือนประสบการณ์ของชายหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีพึงมี
เดิมทีเพราะสถานะของคนปรุงโอสถขั้นห้าของลู่อวี่ ทำให้ตู้เสวียนเฉิงมองลู่อวี่อย่างเคารพ และพยายามรักษาสถานะให้เท่าเทียมกัน แต่หลังจากได้พูดคุยกับลู่อวี่ในครั้งนี้แล้ว เขาก็ค้นพบว่ามีเื่ราวมากมายที่ตัวเขายังไม่เข้าใจ แต่ลู่อวี่กลับให้คำตอบได้ใกล้เคียงไม่น้อย จึงทำให้เขามีความคาดเดาใหม่เกี่ยวกับสถานะของลู่อวี่ผู้นี้
แต่ก่อนนี้แค่คิดว่าลู่อวี่เป็เพียงคนที่มีพร์ในการปรุงยามากผู้หนึ่ง และเป็เด็กหนุ่มที่จัดการเื่ราวหรือปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างมีแผนการลึกซึ้งและฉลาดหลักแหลม ยากจะคาดเดา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะมีเบื้องลึกเื้ัความเป็มาที่ลึกลับกว่านี้ไม่น้อย
มิเช่นนั้นคงไม่สามารถอธิบายประวัติความเป็มาของสูตรยา ที่หายสาบสูญไปนานแล้วพวกนั้นได้ อีกทั้งลู่อวี่ใน่อายุที่ยังไม่ถึงยี่สิบปีดี ได้กลายมาเป็คนปรุงโอสถขั้นห้าอันน่ามหัศจรรย์และแปลกประหลาด สิ่งต่างๆ เหล่านี้ย่อมพิสูจน์ได้ว่า เื้ัของลู่อวี่ อย่างน้อยต้องมีปรมาจารย์ปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ ที่แม้แต่ตู้เสวียนเฉิงก็ไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงได้ คอยสนับสนุนอยู่อย่างแน่นอน
“แล้วจากนี้สหายน้อยวางแผนทำอย่างไรต่อ?” ตู้เสวียนเฉิงใจลอยไปถึงไหนต่อไหน จึงเผลอเอ่ยปากถามออกมา
เปลวไฟสีน้ำเงินกลุ่มก้อนหนึ่งของลู่อวี่ เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปตามความคิดของเขา และทันใดนั้นก็กลายร่างเป็นก ดอกไม้ และหญ้าอย่างรวดเร็ว แล้วจู่ๆ ก็กลายร่างเป็มีด ปืน ดาบ และง้าว มันช่างน่ามหัศจรรย์และประหลาดยิ่งนัก “วางแผน?” เขาไม่ได้วางแผนอะไร สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว การฝึกฝนไม่มีเวลาเป็ตัวกำหนด เป็ปกติที่จะต้องฝึกฝนต่อไป สู้ต่อไปไม่หยุด ต่อสู้กับลิขิตฟ้าเพื่อโชคชะตา!”
ตู้เสวียนเฉิงเองก็สังเกตเห็นเปลวไฟในมือของลู่อวี่เช่นเดียวกัน และรู้สึกประหลาดใจเป็อย่างยิ่ง คุณสมบัติของสหายน้อยผู้นี้มันช่างน่าทึ่งจริงๆ “ไฟแท้หนิงคง” คิดไม่ถึงว่าจะใช้พลังปราณให้มันก่อตัวรวมกันออกมาผ่านเคล็ดวิชาลับได้ ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ทรงพลังมากนัก แต่ในภายภาคหน้าก็เพียงพอให้ตั้งตารอ
สิ่งที่เกินจริงยิ่งกว่านั้น คือการมีพลังยุทธ์ในขั้นนี้ แต่สามารถควบคุมเปลวไฟให้ก่อตัวกลายเป็รูปร่างเหมือนจริงตามจินตนาการได้แล้ว นี่ถือเป็ความสามารถของนักพรตขั้นตงซวนหรือขั้นเกิดเทพเ้าแล้ว พร์ราวกับปีศาจเช่นนี้ และในอดีตไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็จอมเสเพลเ้าสำราญคนแรกในเทียนตู มันยากที่จะให้คนเชื่อจริงๆ
ตู้เสวียนเฉิงยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “นี่คือชะตาชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียร หนีไม่พ้น ความหมายของข้าคือ ในเมื่อวันนี้สหายน้อยมีความสามารถของคนปรุงโอสถขั้นห้าแล้ว จะบรรลุขั้นขึ้นมาเป็ขั้นสี่ในภายภาคหน้าก็คงอีกไม่นานเกินรอ เช่นนั้นแล้วเ้าไม่คิดอยากจะก้าวหน้าบนหนทางแห่งการปรุงโอสถมากขึ้นหรือ?”
ลู่อวี่มองเปลวไฟที่เปลี่ยนรูปร่างบนฝ่ามือ และกล่าวว่า”การปรุงโอสถเป็เพียงหนึ่งในหกศาสตร์แห่งการฝึกตน แม้ว่าหนังสือของลัทธิเต๋าจะบอกว่า เส้นทางทั้งสามพันสาย สามารถนำไปสู่การตรัสรู้และเป็ะได้ แต่เส้นทางทั้งสามพันสายนั้น กลับมีทั้งเส้นทางที่ถูกต้อง เส้นทางที่ผิด และเส้นทางเล็กๆ ที่แยกออกไปเช่นกัน เส้นทางของยาอายุวัฒนะนั้น เป็เส้นทางคับแคบและไม่ราบเรียบอย่างไม่ต้องสงสัย จึงเป็เพียงตัวช่วยเสริม แต่มันไม่อาจทำให้บรรลุความเป็ะสำเร็จได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ยอมแพ้ในเส้นทางแห่งยาอายุวัฒนะ แต่จะให้มันเป็ตัวช่วยอย่างหนึ่ง และหากมีเวลาพอ ข้าก็อยากจะฝึกฝนอีกห้าศาสตร์จากหกศาสตร์ฝึกตนด้วย แม้ว่าศาสตร์ฝึกตนทั้งหกไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องในการบำเพ็ญเพียร แต่ก็มีเหตุผลของตัวเองอยู่นับั้แ่สมัยโบราณ ที่ร่ำลือกันมาจนถึงปัจจุบัน และเป็วิธีช่วยเสริมที่จำเป็ เพื่อให้บรรลุความเป็ะ”
ตู้เสวียนเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็แอบถอนหายใจ เดิมทีเขารู้ว่าลู่อวี่มีพร์ในทางยาอายุวัฒนะและยังเข้าใจว่าเขาจะเดินทางสายนี้เสียอีก จึงเตรียมคำพูดโน้มน้าวไว้มากมายเพื่อป้องกันไม่ให้เขาเดินทางผิด แต่คิดไม่ถึงว่าเป็ตนเองที่กังวลไปเองโดยเปล่าประโยชน์ และไม่คาดคิดว่าลู่อวี่จะอยากศึกษาศาสตร์อื่นๆ ของศาสตร์ทั้งหกอีก จึงแอบส่ายหน้าในใจไม่ได้ ศาสตร์การฝึกตนทั้งหกนั้นไม่ใช่คุณธรรมทั้งหก การจะเชี่ยวชาญได้สักอย่างก็นับว่ายากมากแล้ว หากคิดจะฝึกฝนศาสตร์ทั้งหกพร้อมกัน ขนาดเขาที่มีชีวิตมานับพันปีแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นปีศาจจิตวิปลาสเช่นนี้มาก่อน
“ศาสตร์ฝึกตนทั้งหก ยาอายุวัฒนะ อาวุธ ยันต์ ค่ายกล การป้องกัน และิญญา! หากสหายน้อยฝึกฝนศาสตร์ทั้งหลายพร้อมกัน ไม่รู้ว่าต้องสิ้นเปลืองเวลานานเท่าไร และจำเป็ต้องมีกำลังทรัพย์มหาศาล ที่สำคัญไปกว่านั้น ต้องมีการสืบทอดต่อ มิเช่นนั้นไม่ว่าทางไหนก็ยากที่จะบรรลุประตูสู่เต๋าได้ มันได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ! และมันยากจะควบคุม เพราะมัวแต่หมกมุ่น และลุ่มหลงอยู่กับสิ่งที่ชื่นชอบ จนลืมแสวงหาความก้าวหน้า!”
ทันทีที่ลู่อวี่โบกมือขึ้น ‘ไฟหนิงคง’ ก็สลายหายไป พร้อมกับกล่าวว่า”จะเป็เช่นนั้นได้อย่างไร ตอนนี้ข้ามุ่งเน้นไปที่ขั้นพลังยุทธ์และพลังวิเศษต่างๆ เพื่อจัดการกับศัตรูเป็หลัก หากคิดจะศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ทั้งห้า อย่างน้อยก็ต้องรอข้าถึงขั้นฟันฝ่าก่อนถึงจะทำได้”
หลังจากหยุดไปสักพักหนึ่ง ก็เหมือนจะคิดอะไรออก จากนั้นก็ขมวดคิ้วและกล่าวว่า “อีกอย่างข้าก็จากบ้านมานานแล้ว ทั้งยังก่อเื่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเมืองเทียนตูเซียน หากยังเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหน แล้วศัตรูจะกล้าโผล่หน้าออกมาได้อย่างไร? อันตรายที่หลบซ่อนอยู่นั้น จำต้องชิงลงมือจัดการก่อนถึงจะดี แม้ว่าจะสังหารทิ้งไม่ได้ ก็ต้องพยายามกำจัดทิ้ง เช่นนั้นแล้ว ข้าวางแผนที่จะกลับตระกูลลู่ บนูเาเทียนฉยงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ระหว่างการเดินทาง คงต้องมอบหมายให้ท่านผู้เฒ่าตู้ช่วยคุ้มกันความปลอดภัยให้ข้าแล้ว”
ตู้เสวียนเฉิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เื่นี้ข้าจะพยายามสุดความสามารถ!”