“พรุ่งนี้ข้าจะนำปลาไปขายในเมือง แล้วจะซื้อข้าวเหนียวกลับมาให้เ้า” จางเจิ้นอันเอ่ยเสียงเรียบ แต่ดวงตากลับฉายแววอ่อนโยนที่ยากจะสังเกตเห็น
“ท่านจะเข้าเมืองไปขายปลาพรุ่งนี้หรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้น สีหน้าพลันหมองลง
จางเจิ้นอันสังเกตเห็นความผิดหวังของนาง จึงหันมาถาม “เป็อะไรไปรึ? มีเื่ไม่สะดวกอันใดหรือไม่?”
อันซิ่วเอ๋อร์กำลังจะเอ่ยปาก แต่พลันรู้สึกแสบร้อนที่ปลายจมูกขึ้นมาก่อน นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “พรุ่งนี้...เป็วันกลับไปเยี่ยมบ้านของข้านะเ้าคะ”
“อ้อ” จางเจิ้นอันเพิ่งนึกขึ้นได้ เขามองนางที่ก้มหน้าลง ขนตางอนยาวชื้นน้ำเล็กน้อย คล้ายกับจะร้องไห้ออกมา จึงเอ่ยปลอบ “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่ไปขายปลาแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปเป็เพื่อนเ้าก็แล้วกัน”
“แต่ถ้าท่านไม่ไปขายปลา ข้าวสารในบ้านเราก็จะหมดในเร็ววันนี้ แล้วพวกเราจะเอาอะไรกินกันเล่าเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก การกลับไปเยี่ยมบ้านตามธรรมเนียมเป็เื่สำคัญ แต่นางก็ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้เขาั้แ่เพิ่งแต่งงานเข้ามา นางเป็ภาระให้เขามากพอแล้ว เฮ้อ...ทำไมวันตลาดนัดต้องมาตรงกับวันพรุ่งนี้ด้วยนะ
เห็นใบหน้าเล็กๆ ของนางฉายแววทั้งร้อนรนทั้งลำบากใจ ดูทำอะไรไม่ถูก จางเจิ้นอันก็รู้สึกจนใจระคนขบขันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนัก เอ่ยอย่างไม่ใคร่แยแสว่า “แค่เื่เล็กน้อยแค่นี้ เ้าก็ร้อนใจถึงเพียงนี้เชียวรึ? พรุ่งนี้ข้าจะออกไปั้แ่เช้ามืด อย่างไรข้าก็พายเรือเร็วอยู่แล้ว ่สายๆ ก็น่าจะกลับมาทัน”
“แต่...ท่านจะไม่เหนื่อยเกินไปหรือเ้าคะ” นางมองเขาอย่างระมัดระวัง ดวงตากลมโตเป็ประกายใสกระจ่าง ที่จริงแล้วนางก็แอบหวังให้เป็เช่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่กลัวว่าเขาจะไม่เต็มใจ
จางเจิ้นอันไม่รู้ความคิดซับซ้อนในใจนาง แต่กลับรู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกสายตาใสซื่อคู่นั้นจับจ้อง จึงหันหน้าหนีไป เอ่ยว่า “ไม่เป็ไรหรอก”
“เช่นนั้นก็ดีเลยเ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านใจดีที่สุด” อันซิ่วเอ๋อร์ไม่หวงคำชม ใบหน้าเล็กๆ เปี่ยมด้วยความยินดี ดวงตาเป็ประกายระริก ความสุขแทบจะเอ่อล้นออกมา นางคีบผักใส่ชามให้เขาอีก ทั้งยังเล่าเื่ที่ยายหวงมาขอแลกปลาเมื่อตอนกลางวันให้ฟัง
จางเจิ้นอันไม่ได้สนใจเื่หยุมหยิมของชาวบ้านเหล่านี้ แต่อันซิ่วเอ๋อร์กลับเล่าเจื้อยแจ้วไม่หยุด เสียงของนางนุ่มนวลน่าฟัง เขาจึงเผลอตั้งใจฟังไปหลายประโยค
หลังจากเล่าเื่นี้จบ นางก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยอย่างภูมิใจนิดๆ “ฮึ ยายหวงคนนั้น ก็แค่เห็นว่าข้ายังเด็ก คิดจะเอาหน่อไม้เล็กๆ สองหน่อมาแลกปลาของข้า ข้าไม่ใช่คนโง่นะเ้าคะ!”
จางเจิ้นอันเห็นท่าทางหยิ่งผยองระคนภาคภูมิใจเล็กๆ ของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะเจือความเอ็นดูในน้ำเสียง “ใช่ เ้าจัดการเื่ในบ้านได้เก่งที่สุดแล้ว”
“จริงๆ แล้วการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ข้าก็ขาดทุนนิดหน่อยนะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินเขาชม ก็สารภาพออกมาตามตรง “ข้าให้ปลาตัวค่อนข้างใหญ่ไป ไม่ใช่ปลาตัวเล็กๆ ตามหลักแล้ว ของที่ยายหวงนำมาแลกนั้น ไม่น่าจะพอแลกปลาตัวขนาดนี้ได้หรอก”
เห็นจางเจิ้นอันไม่ได้ว่าอะไร นางก็อธิบายเสียงเบา “ยายหวงคนนั้นขึ้นชื่อเื่ขี้เหนียวที่สุดในหมู่บ้าน แต่ลูกสะใภ้ของแกกลับเป็คนดี น่าสงสารที่ต้องทนอยู่ใต้อำนาจแม่สามีใจร้าย ถ้าข้าไม่ยอมแลก นางก็คงไม่ยอมเอาของดีๆ ออกมาอีก แต่ถ้าข้าให้ปลาตัวเล็กเกินไป บางทีนางอาจจะเก็บไว้กินเอง เพราะเสียดาย แต่ถ้าให้ปลาขนาดกลางๆ ไป นางถึงจะยอมแบ่งน้ำแกงให้ลูกสะใภ้ได้กินสักชามก็ยังดี”
เื่ราวชีวิตประจำวันของคนในหมู่บ้านเหล่านี้ จางเจิ้นอันไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว เขาแทบไม่ได้ติดต่อกับคนในหมู่บ้านเลย แต่ก็พอจะจำภาพของยายหวงได้รางๆ นางเคยมาหาเขาเพื่อขอแลกปลาอยู่หลายครั้ง แต่ละครั้งก็จะพร่ำพรรณนาว่าตนเองยากจนข้นแค้น น่าสงสารเพียงใด แต่เขาไม่เคยพูดอะไรมาก ไม่แลกก็คือไม่แลก!
ภรรยาตัวน้อยของเขานี่ ถึงจะดูอ่อนหวานนุ่มนวล แต่พอได้ฟังความคิดของนางแล้ว ก็รู้ว่านางเป็คนมีหลักการและเหตุผล
“เ้าทำได้ดีมาก” จางเจิ้นอันกล่าวชมนาง แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะยังคงราบเรียบ สีหน้าก็ดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าคำพูดนั้นเป็การชมเชยจริงๆ หรือเพียงแค่พูดไปตามมารยาท
แต่ไม่ว่าอย่างไร อันซิ่วเอ๋อร์ก็ถือว่าเขาชมเชยนาง นางเผยสีหน้าผ่อนคลายออกมา กล่าวว่า “ข้ากลัวว่าท่านจะตำหนิข้าเสียอีก แต่ท่านกลับเห็นด้วยกับการกระทำของข้า แสดงว่าท่านก็เป็คนใจดีมีเมตตา”
“อืม” จางเจิ้นอันรับสมอ้างบทคนดีไปอย่างง่ายดาย แต่เขารู้ดีแก่ใจว่าตนเองห่างไกลจากคำว่าคนดีนัก
“ใช่ไหมล่ะเ้าคะ ที่ข้าแลกปลากับนางไป ถึงดูเหมือนข้าจะขาดทุน แต่จริงๆ แล้วเราก็กำลังไม่มีผักกินพอดี ก็ถือว่าต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “อีกไม่กี่วันถ้าพอมีเวลา ข้าก็จะลองขึ้นเขาไปขุดหน่อไม้มาเพิ่ม เอามาตากแห้งเก็บไว้ พอถึงฤดูหนาว จะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีผักกิน”
“อืม” จางเจิ้นอันรู้สึกว่าภรรยาตัวน้อยของเขาช่างพูดเก่งเสียจริง เื่เล็กๆ น้อยๆ ในบ้านก็เก็บมาเล่าให้เขาฟังเสียหมด เขาสนใจเื่พวกนี้น้อยมาก ได้แต่กล่าวตัดบทว่า “ต่อไปเื่เล็กน้อยในบ้านเช่นนี้ เ้าตัดสินใจเองได้เลยก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นก็ได้เ้าค่ะ” รู้ว่าเขาไม่ชอบฟังเื่จุกจิก อันซิ่วเอ๋อร์ก็หน้าจ๋อยลงเล็กน้อย
“อืม” จางเจิ้นอันพยักหน้า แล้วรีบก้มหน้าก้มตากินข้าวคำสุดท้ายในชามให้หมด ปกติแล้วเขากินข้าวเร็วมาก แต่วันนี้กลับต้องนั่งฟังนางเล่าเื่ต่างๆ เกือบครึ่งชั่วยาม เสียเวลาของเขาไปไม่น้อย
“ข้าไปที่เรือก่อนนะ” จางเจิ้นอันลุกขึ้น คว้าหมวกงอบใบลานที่แขวนอยู่บนผนังมาสวม สวมผ้าคลุมหน้าสีดำตามเดิม แล้วกำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อนเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์กลับร้องเรียกเขาไว้ รอจนเขาหันกลับมา นางก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย เอ่ยเพียงว่า “ตอนนี้เป็ตอนกลางวัน แดดแรงมาก ท่านระวังตัวด้วยนะเ้าคะ”
เมื่อครู่นี้เหมือนนางจะมีเื่อื่นจะพูดอีก แต่ในเมื่อนางไม่พูด เขาก็จะไม่ถาม ได้แต่กล่าวว่า “ข้าจะระวัง เ้าก็ดูแลตัวเองอยู่ที่บ้านให้ดีก็แล้วกัน”
“เ้าค่ะ” พอได้ยินคำพูดที่แสดงความเป็ห่วงของเขา นางก็ดีใจจนยิ้มกว้าง ดวงตาใสกระจ่างราวกับน้ำเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส แม้แต่ริมฝีปากก็โค้งมนเป็รูปสวย
จางเจิ้นอันรู้สึกว่านางยิ้มแล้วดูดีมากจริงๆ จึงอดไม่ได้ที่จะมองนางเพิ่มอีกสองสามวินาที ถึงได้ดึงสติกลับมา รีบก้าวเท้าออกจากประตูไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นจางเจิ้นอันออกไปแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ที่จริงเมื่อกี้นี้ นางอยากจะบอกให้เขาช่วยจัดการกับแปลงผักหลังบ้าน แต่คิดไปคิดมา ช่างเถอะ เขาต้องออกไปหาปลา นางทำเองก็ได้
นางลองค้นหาดูทั่วบ้าน ในที่สุดก็เจอจอบเก่าๆ เล่มหนึ่งวางทิ้งไว้ที่มุมห้อง ใบจอบขึ้นสนิมอยู่บ้าง ดูท่าเขาคงไม่ค่อยได้ใช้งานมันเท่าใดนัก ใช่สิ ในบ้านไม่มีที่ดินทำกินสักแปลง จะมีจอบก็ดีเท่าไหร่แล้ว ปกติแล้วเขาคงจะใช้จอบนี้ขุดหญ้าในสวนเท่านั้นกระมัง
อันซิ่วเอ๋อร์หาหินลับมีดมาได้ก้อนหนึ่ง ถือหินเริ่มลับคมจอบ ในฐานะคนชนบท หากจะหวังพึ่งแต่การหาปลาเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีที่ดินทำกินสักผืนติดตัวเลย จะได้อย่างไร ถ้าถึงฤดูหนาวผิวน้ำกลายเป็น้ำแข็ง หาปลาไม่ได้ หรือฤดูใบไม้ผลิเกิดน้ำท่วมใหญ่ ออกเรือไปหาปลาไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรดี
ยังไงก็ต้องมีที่ดินสักแปลง ปลูกผักกินเอง พอหาเงินได้มากกว่านี้ ค่อยหาซื้อที่ดินเพิ่ม แม้แต่จะซื้อไว้ให้คนอื่นเช่าเก็บค่าเช่า ก็ยังดีกว่าการพึ่งพาการหาปลาเพียงอย่างเดียว
ต้องพยายามให้มากขึ้น ขยันและประหยัด!
อันซิ่วเอ๋อร์ให้กำลังใจตัวเองในใจ ขณะเดียวกันก็นึกขึ้นได้ว่าสองวันนี้พวกตนกินดีอยู่ดีเกินไป จางเจิ้นอันภายนอกอาจจะไม่ได้พูดอะไร คงเป็เพราะนางเพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ๆ เขาจึงยังเกรงใจอยู่บ้าง แต่พอถึงวันหน้า เขาคงจะเริ่มบ่นว่านางเป็แน่ นางคิดว่าั้แ่คืนนี้เป็ต้นไป คงต้องลดทอนเื่อาหารการกินลงบ้าง
อืม...รอให้หาเงินได้มากกว่านี้ก่อน แล้วค่อยกลับมากินดีอยู่ดีอีกครั้ง!
นางลงมือลับคมจอบ มือที่ไม่ค่อยได้ทำงานหนัก ก็เริ่มแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว แถมยังแสบๆ คันๆ แต่ใบจอบก็ยังไม่คืนสู่สภาพเดิม นางคิดดูแล้ว ก็เดินกลับเข้าไปในห้อง หยิบผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งออกมา เอาผ้ารองไว้ใต้ก้อนหินแล้วลับต่อ จนกระทั่งคมจอบเริ่มขึ้นเงาแวววาว นางถึงได้หยุดมือ
เมื่อเห็นคมจอบที่แวววาวขึ้น อันซิ่วเอ๋อร์ก็เผยรอยยิ้มออกมา รู้สึกว่าความเหนื่อยยากของนางไม่สูญเปล่า นางวางหินลับมีดลง ถือจอบเดินมุ่งหน้าไปยังลานหลังบ้าน
ก็แค่การขุดดินพรวนดินไม่ใช่หรือ นางอาจจะไม่ค่อยได้ทำ แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่เป็ เพียงแต่ดินที่นี่มันแข็งเกินไปจริงๆ พอฟันจอบลงไปครั้งแรก นางถึงได้รู้ซึ้งว่าการทำไร่ทำนานั้นมันลำบากยากเข็ญเพียงใด
เพิ่งจะขุดดินไปได้เพียงแปลงเล็กๆ อันซิ่วเอ๋อร์ก็เหนื่อยจนหอบ สองมือแสบร้อนราวกับถูกไฟลวก ทั้งยังพองและถลอกปอกเปิก นางจำต้องหยุดพัก
“ท่านอา......” เพิ่งจะนั่งพักลงไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงคนเรียกนาง เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหลานสาวสองคน ต้ายาและเอ้อร์ยา กำลังเรียกนางอยู่ตรงทางเดินเล็กๆ นอกรั้ว นางรีบกวักมือเรียกพวกนาง “ต้ายา เอ้อร์ยา เข้ามาเล่นที่นี่สิ”
หลานสาวทั้งสองคนถือตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ เดินลัดทุ่งหญ้ารกร้างหลังบ้านเข้ามา พอเห็นอันซิ่วเอ๋อร์กำลังขุดดินอยู่ ก็ใจนร้องออกมาว่า “ท่านอา! ท่านอากำลังทำนาหรือเ้าคะ?”
“มันน่าแปลกตรงไหนกันรึ?” อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้ามองหลานสาวทั้งสอง เห็นเด็กน้อยทั้งสองทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ก็รีบลุกขึ้นเดินไปโอบไหล่ทั้งสอง แล้วกล่าวว่า “เข้าไปนั่งพักในบ้านก่อนเถอะ”
ทุ่งรกร้างนั้นอยู่ติดกับหลังบ้านของนางพอดี เปิดประตูหลังบ้านออกไป เดินเพียงสองก้าวก็ถึงห้องโถง นางเปิดประตู จัดแจงให้เด็กน้อยทั้งสองนั่งลง แล้วนางก็เดินเข้าไปในครัว ใช้ก้อนอิฐสองก้อนก่อเป็เตาเล็กๆ ชั่วคราว ตั้งหม้อใบเล็ก ต้มน้ำตาลใส่ไข่ให้พวกนางกิน
เด็กน้อยทั้งสองเพิ่งเคยมาบ้านใหม่ของท่านอาเป็ครั้งแรก ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจอยู่บ้าง ตอนแรกยังนั่งตัวลีบด้วยความเกร็ง แต่พอเห็นว่าจางเจิ้นอันไม่ได้อยู่ในบ้าน ความกล้าของพวกนางก็เพิ่มมากขึ้น เดินตามเข้าไปในครัว ยืนดูอันซิ่วเอ๋อร์ก่อไฟ
ต้ายาเดินเข้าไปใกล้ๆ กล่าวว่า “ท่านอากำลังทำอะไรหรือเ้าคะ ให้ข้าช่วยท่านก่อไฟดีหรือไม่?”
“ไม่เป็ไรๆ ก่อไฟเองมันอันตราย เดี๋ยวพวกเ้านั่งรอเฉยๆ ก็พอ” อันซิ่วเอ๋อร์ส่งยิ้มใจดีให้หลานสาว
เด็กน้อยทั้งสองจึงหาเก้าอี้เตี้ยๆ มานั่งลงไม่ไกลจากนาง เห็นอันซิ่วเอ๋อร์เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจุดไฟ ไม่พูดไม่จา ต้ายาจึงเม้มปาก เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านอาคงลำบากน่าดูเลยนะเ้าคะ ตอนอยู่บ้าน ท่านอาไม่เคยต้องทำงานหนักเช่นนี้เลย”
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าท่านอาเขยดุมาก เขาดุท่านอาหรือไม่เ้าคะ? เขาทำร้ายท่านอาหรือเปล่า?” เอ้อร์ยาก็เงยหน้าขึ้นถามอย่างเป็ห่วง
“ไม่หรอกๆ ท่านอาเขยของพวกเ้าเป็คนดีมาก” อันซิ่วเอ๋อร์รีบลุกขึ้นไปหยิบไข่ไก่มาสองฟอง ตอกใส่ลงไปในหม้อน้ำอุ่นๆ นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจหยิบมาเพิ่มอีกสองฟอง ไข่ไก่พวกนี้ล้วนเป็ของที่ญาติๆ ให้มาตอนนางแต่งงาน อย่างไรเสียจางเจิ้นอันก็ไม่รู้ว่าเดิมทีมีอยู่เท่าไหร่ นางมีหลานสาวเพียงสองคนนี้เท่านั้น แถมเด็กๆ ก็ไม่ค่อยได้รับความรักความเอ็นดูจากทางบ้านเท่าใดนัก นางจึงต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่พวกนางให้มากๆ
พอไข่ไก่ถูกตอกใส่ลงไปในน้ำร้อน กลิ่นหอมหวานก็ฟุ้งกระจายออกมาทันที อันซิ่วเอ๋อร์เติมน้ำตาลลงไปอีกเล็กน้อย กลิ่นหอมหวานนั้นก็ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้องครัว เด็กน้อยทั้งสองได้แต่ลอบกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่
“อยากกินแล้วล่ะสิ เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว” อันซิ่วเอ๋อร์พูด พลันก็นึกถึงจางเจิ้นอันขึ้นมา เช่นนั้นก็ทำเผื่อให้เขาสักสองฟองด้วยเลยก็แล้วกัน
ดังนั้น นางจึงหยิบไข่ไก่มาเพิ่มอีกสองฟอง ไข่ไก่ในตะกร้าดูลดไปมากทีเดียว แต่อันซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่ได้ใส่ใจ อย่างไรเสียไข่ไก่พวกนี้เก็บไว้นานๆ ก็จะเสียเปล่าๆ แบ่งให้หลานสาวกับสามีกินก็สมควรแล้ว
