เฉียวเยว่ได้ยินว่าบิดาของนางถูกท่านย่าเรียกตัวไป ก็บอกกับไท่ไท่สามด้วยท่าทางจริงจัง "น่าจะเป็เพราะป้าสะใภ้รอง เมื่อสองวันก่อน ท่านลุงรองมาขอยืมเงินท่านพ่อ ต้องมีเื่อะไรแน่ๆ"
ไท่ไท่สามหัวเราะเยาะ แล้วเอ่ยว่า "บิดาเ้ามีเงินให้ผู้อื่นยืมที่ไหน วางใจเถอะ ไม่เดือดร้อนมาถึงบิดาเ้าหรอก"
เห็นบุตรสาวจ้องตนเองตาปริบๆ ไท่ไท่สามก็เขกศีรษะน้อยๆ ของนาง "ไม่ต้องเป็ห่วงบิดาเ้า"
เฉียวเยว่ตบพุงน้อยๆ ของตนเองยิ้มตาหยี เอ่ยอย่างสบายใจ "ท่านพ่อไม่เดือดร้อนเพราะนางก็ดีแล้ว ป้าสะใภ้รองน่ารำคาญที่สุด"
นางไม่ซ่อนเร้นความชิงชังของตนเองแม้แต่น้อย แท้จริงแล้วนางก็พอคาดคะเนในใจได้รางๆ มักรู้สึกว่าป้าสะใภ้รองมีความรู้สึกบางอย่างที่คลุมเครือต่อบิดาของนาง มิเช่นนั้นเหตุใดต้องริษยามารดาของนางด้วย
นี่เป็สิ่งที่พูดออกไปไม่ได้
ไท่ไท่สามเกลี้ยกล่อมบุตรสาวว่าอย่าเอ่ยวาจาเหลวไหล วันหนึ่งต้องปากเปียกปากแฉะกำชับกับนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็แปดร้อยรอบ ไม่เพียงแค่นาง ยังมีฉีอันอีกคน สองพี่น้องคู่นี้อยู่ในวัยแมวสุนัขขยาด [1] จริงๆ
นึกถึงชีวิตที่จะต้องดำเนินต่อไป นางรู้สึกวิตกกังวลจริงๆ
ไม่ช้าซูซานหลางก็กลับมาตามคาด เฉียวเยว่รีบเข้าไปถามทันที "เื่เป็อย่างไรบ้าง ท่านลุงรองแอบเลี้ยงคนอยู่ข้างนอกอีกแล้วหรือ?"
ก้นน้อยๆ ถูกฟาดหนึ่งผัวะ
ไม่ว่าซูซานหลางกับไท่ไท่สามจะอบรมสั่งสอนอย่างไร เฉียวเยว่ก็ยังคงเป็ลูกลิงชอบสอดรู้สอดเห็นเหมือนเดิม ไม่มีความเป็กุลสตรีเยี่ยงผู้ดีมีสกุลแม้แต่กระผีกริ้น
"ข้าว่าเ้าวอนถูกตี"
เฉียวเยว่ไม่ร้องไห้งอแง ยังพลิกก้นน้อยๆ อีกข้างหันมาให้ เต็มไปด้วยความเ้าเล่ห์แสนกล "ยังปิดบังข้าอีกหรือ ข้ารู้หมดแล้ว"
ท่าทางแบบนี้ชวนให้คนทั้งฉิวทั้งขัน
ไท่ไท่สามเรียกหมัวมัวให้อุ้มเฉียวเยว่กลับไปนอน สั่งการว่า "อย่าสนทนากับนาง มิเช่นนั้นเ้าจะถูกรั้งให้อยู่คุยเป็ครึ่งค่อนคืน เ้าซุกเงินไว้ส่วนไหนของบ้านนางก็จะถามออกมาหมด"
หมัวมัวหัวเราะพรืด
เฉียวเยว่ชูกำปั้นน้อยๆ อย่างลำพองใจ "ไม่นึกว่าข้าจะมีทักษะร้ายกาจถึงเพียงนี้"
แม้จะพูดแบบนี้แต่ก็ซบไหล่ของหมัวมัวอย่างเชื่อฟัง วันนี้นางเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกทั้งวัน รู้สึกเพลียอยู่บ้าง
"หมัวมัว พวกเราไปเยี่ยมเสี่ยวชุ่ยกันก่อน ค่อยกลับไปนอน"
...
ไท่ไท่สามต้องเข้าไปเคาะห้องดูบุตรสาวก่อนทุกคืน เฉียวเยว่หลับไปนานแล้วดังคาด นางสวมชุดเอี๊ยมสีชมพูตัวน้อย แขนขาขาวอวบราวกับรากบัวทั้งสี่ยื่นโผล่ออกมานอกผ้าห่ม นอนเป็รูปอักษร 大
เด็กคนนี้ไม่เคยนอนเรียบร้อยมาแต่ไหนแต่ไร จุดนี้นางรู้ดี ทอดถอนใจก่อนดึงผ้าห่มผืนน้อยมาคลุมให้
แม่หนูน้อยงึมงำออกมาประโยคหนึ่งแล้วพลิกตัวหลับต่อ ครานี้เปลี่ยนเป็ก้นน้อยๆ โผล่ออกมาข้างนอกบ้าง
ไท่ไท่สามยิ้มพลางส่ายหน้า "เป็ลิงน้อยตัวหนึ่งจริงๆ"
อวิ๋นเอ๋อร์เอ่ย "วันนี้คุณหนูเจ็ดดูเหมือนจะอ่อนเพลีย หลับไปนานแล้วเ้าค่ะ"
ไท่ไท่สามพยักหน้า "ดูแลให้ดี เด็กคนนี้ซุกซนยิ่งนัก คงต้องเอาใจใส่มากหน่อย"
อวิ๋นเอ๋อร์รับคำทันที "บ่าวทราบแล้วเ้าค่ะ"
ไท่ไท่สามพึงพอใจ กลับไปถึงห้อง แต่ไม่เห็นซูซานหลาง ก็เอ่ยถามขึ้น "ซานหลางเล่า?"
หลันหมัวมัวตอบ "เมื่อครู่ลู่เจี้ยนมาพบ นายท่านสามออกไปห้องหนังสือพร้อมเขาเ้าค่ะ"
ไท่ไท่สามไม่ยุ่งกับธุระภายนอกของสามี เพียงแสดงว่าตนรู้แล้ว
บัดนี้สีหน้าของซูซานหลางค่อนข้างย่ำแย่ เขาถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ "คนตายแล้วจริงหรือ?"
ลู่เจี้ยนตอบ "ตอนข้าน้อยเจอตัวเขาก็ถูกลอบสังหารสองสามวันแล้ว คิดว่าคงถูกสังหารหลังจากเกิดเื่ที่จวนของพวกเราไม่นาน ข้าน้อยให้นักชันสูตรตรวจสอบเวลาเสียชีวิต เห็นว่าเป็เวลาเดียวกับที่พวกเราจัดให้คุณหนูเจ็ดตรวจสอบคน ดูท่าในจวนยังมีหนอนบ่อนไส้คนอื่นอีกขอรับ"
จุดนี้มีเหตุผลชัดเจนไม่ต้องสงสัย
อันที่จริงตลอดหลายปีมานี้มีเื่ราวเกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งสามารถมองออกได้ว่าจะต้องมีคนที่มีปัญหาภายในจวนแน่นอน แม้ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่ผู้ที่คิดหมายเอาชีวิตไท่ไท่สาม แม้มิใช่คนในจวน ก็ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนในจวน ลงมือกับคนกันเอง บ่าวไพร่อย่างพวกเขายังรู้สึกสลดใจแทน นับประสาอันใดกับนายท่านสาม
"พวกเราลอบตรวจสอบอยู่ลับๆ มาตลอดหลายปีแต่กลับไม่เคยมีเบาะแสแม้แต่ส่วนเสี้ยว มีดแขวนอยู่เหนือศีรษะของข้า ข้าจะไม่กังวลได้อย่างไร?" ซูซานหลางกล่าว "เอาเถอะ ตอนนี้นอกเหนือจากสืบสาวผู้บงการเื้ั พวกเราก็ต้องปกป้องคนในครอบครัวอย่างดี เ้าทำงานของตนเองต่อไป ต้องจัดการให้ข้าอย่างเหมาะสม"
ลู่เจี้ยนตอบ "ขอรับ"
แม้จะเป็ฤดูร้อน แต่ขณะกลับห้อง ซูซานหลางยังคงหนาวสะท้านไปทั้งตัว คนในจวนเป็ผู้ลงมือ จะไม่ให้เขารู้สึกเหน็บหนาวในหัวใจได้อย่างไร
แสงตะเกียงยังสว่างอยู่ เขาถอดเสื้อคลุมออก ไท่ไท่สามเข้ามารับเสื้อคลุมไปแขวนทันที หลังจากนั้นก็กุมมือเขา ถามเสียงเบา "เหตุใดตัวเย็นเช่นนี้?"
ซูซานหลางยิ้มน้อยๆ แต่กลับสงวนวาจา
ไท่ไท่สามเป็คนฉลาด เอ่ยว่า "เื่ที่ข้าต้องพิษน่ะหรือ?"
ซูซานหลางตอบช้าๆ "ร่างกายเ้าไม่มีปัญหา จุดนี้วางใจได้ แต่ถึงแม้เฉียวเยว่จะนึกได้ว่าคนผู้นั้นเป็ใคร เบาะแสกลับถูกตัดขาดไปแล้ว ในใจข้ารู้สึกวิตกกังวล"
ไท่ไท่สามเข้าใจ นางปลอบประโลมซูซานหลาง "เบาะแสขาดหายไป วันหลังค่อยๆ ตรวจสอบอีกก็ได้ เพียงแค่คนไม่มีปัญหาก็พอแล้ว จะว่าไป ข้ามักรู้สึกว่าเฉียวเยว่เป็ดาวนำโชคของข้า"
ไท่ไท่สามกล่าวเสียงเบา "ปีที่ข้าคลอดบุตร ได้ยินเสียงคนแว่วๆ บอกว่าหมอหญิงคนนั้นจะสังหารข้า เสียงนั้นยังติดหูข้ามาถึงทุกวันนี้ และด้วยเหตุนี้เองข้าถึงไม่เชื่อใจ แล้วนางก็มีปัญหาจริงๆ จะว่าข้าคิดไปเองหรือเปล่าก็สุดรู้ หลังหมอหญิงถูกควบคุมตัวไป เฉียวเยว่ของข้าก็คลอดอย่างปลอดภัย ข้ามักคิดเสมอว่านางเป็ดาวนำโชคของข้า ไม่แน่เสียงนั้นอาจเป็เฉียวเยว่ที่เตือนข้าก็ได้ เตือนมารดาของตนเองว่ามีอันตราย"
ซูซานหลางหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินถ้อยคำน่าอัศจรรย์เช่นนี้ เขาเอ่ยว่า "เฉียวเยว่ต้องเป็ดาวนำโชคของเ้าอยู่แล้ว"
ถ้อยคำแฝงแววหยอกเย้าอยู่หลายส่วน
ไท่ไท่สามเอ่ยเสียงดุ "ท่านไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ดูอย่างครานี้สิ อยู่ดีๆ เฉียวเยว่ก็ไปพบคนร้ายคนนั้นเข้า"
นางเข้ามาซบในอ้อมแขนของซูซานหลาง แล้วเอ่ยเสียงเบา "ซานหลาง ข้าหวังเพียงครอบครัวของพวกเราอยู่อย่างสงบสุข แท้จริงแล้วจะหาคนบงการพบหรือไม่กลับไม่สำคัญเลย! มีเบาะแสก็สืบต่อ ไม่มีเบาะแสก็อยู่อย่างระมัดระวัง ไยต้องทำให้ตนเองลำบากเกินไปด้วยเล่า"
ซูซานหลางก้มศีรษะลงมามองนาง สีหน้าของไท่ไท่สามมีแต่ความผ่อนคลาย "ข้าไม่ชอบที่ซานหลางกดดันตนเองเช่นนี้"
ซูซานหลางทอยิ้มก้มศีรษะลงมา จากนั้นบทสนทนาทั้งหลายก็กลืนหายไปจากริมฝีปากของทั้งสองคน
"ล้วนฟังเ้า"
...
วันนี้ไท่ไท่สามอารมณ์ดี ขณะที่ช่วยแต่งตัวให้เฉียวเยว่ก็ยังฮัมเพลงเบาๆ เฉียวเยว่ลอบมองมารดาของตนเอง เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนระบายอยู่บนสีหน้าและแววตา
เฉียวเยว่ถามด้วยความประหลาดใจ "ท่านแม่ มีเื่อะไรดีๆ หรือ?"
นางกอดเอวของมารดา "เล่าให้ข้าฟังหน่อยนะ"
ไท่ไท่สามดึงมือน้อยๆ ของนางออก แล้วเอ่ยว่า "เ้าสำรวมหน่อย"
วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจัดงานเลี้ยง มีคุณชายคุณหนูจากจวนอื่นมาไม่น้อย นางย่อมแต่งตัวให้บุตรสาวสวยเป็พิเศษ
ดวงหน้าซาลาเปาน้อยป่องออกมา เอ่ยอย่างจริงจังว่า "ข้าสวยสะคราญอยู่แล้ว ถึงแต่งตัวเรียบง่ายก็ยังทำให้ผู้คนชมชอบได้เหมือนกัน"
วันนี้ไท่ไท่สามอารมณ์ดีจึงไม่ถลึงตาใส่บุตรสาว แต่กลับทอยิ้มเอ่ยว่า "ได้ๆๆ เ้าบอกว่าตนเองเป็คนสวยสะคราญ เช่นนั้นคนสวยสะคราญอยากเปลี่ยนร่างเป็งดงามเพริศพริ้งยิ่งกว่าเดิมหรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้าตอบทันควัน "อยากเ้าค่ะ"
เสียงกระหืดกระหอบแว่วมา คนที่กำลังวิ่งเข้ามาก็คือฉีอัน เขาเห็นเฉียวเยว่ยังแต่งตัวไม่เสร็จ ก็ถอนหายใจ "พวกผู้หญิงนี่วุ่นวายเสียจริง"
แต่พอสิ้นคำกล่าว ก็ถูกไท่ไท่สามดึงหู "ใครสอนให้เ้าพูดจาเช่นนี้ ข้าว่าเ้าคงอยากถูกตีใช่หรือไม่?"
ฉีอันร้องโอ๊ยๆๆ ไม่หยุด กล่าวขออภัยออกมาเป็ชุด ในที่สุดก็ได้รับการปล่อยตัว เขากุมใบหูของตนเองแล้วนั่งลงด้านข้าง พลางบ่นพึมพำ "มารดาข้าร้ายกาจยิ่งนัก"
เฉียวเยว่หัวเราะเอิ๊กอ๊าก รู้สึกว่าตนเองได้ชมเื่สนุกแล้ว
ซูซานหลางกับไท่ไท่สามมักวางตัวบริสุทธิ์สูงส่งราวกับไม่ใช่ปุถุชนที่เกลือกกลั้วโลกียวิสัย แต่พอกลับไปเรือนของตนเองเท่านั้น
คิกๆๆ
ก็จ้องแต่จะตีบุตร ไม่ห่วงภาพลักษณ์ของตนเองบ้างเลย
ผู้อื่นต่างอิจฉาพวกเขาว่ามีบิดามารดาที่แสนจะอ่อนโยน แต่แท้จริงแล้ว... เฉียวเยว่รู้สึกว่า ตอนนี้มีแต่ฉีอันที่เข้าใจความขื่นขมของนาง
"ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าท่านย่าให้พวกเ้าสองคนทำสิ่งใด แต่พวกเ้าจำไว้ อย่าทำตัวเหลวไหล เข้าใจหรือไม่?" ไท่ไท่สามกำชับเป็มั่นเหมาะ
เฉียวเยว่รับคำ แล้วตอบอย่างจริงจัง "ก็ไม่มีอันใดมากมาย เพียงอาศัยความเป็เด็ก เข้าไปแทรกซึมอยู่ในกลุ่มพี่ชายพี่สาว แล้วคอยดูว่าใครเป็คนดี ใครเป็คนไม่ดี"
ไท่ไท่สามพอจะคาดคะเนได้ แต่พอนึกว่ามารดาเชื่อมั่นในเ้าตัวเล็กสองคนของพวกเขาถึงเพียงนี้ นางก็รู้สึกกดดันมาก
นางกำชับอีกครั้ง "พวกเ้าทำสิ่งใดต้องตรึกตรอง จำไว้ว่าอย่าพูดจาเหลวไหล หากทำ... เอาเป็ว่า หากทำงานใหญ่เสียหาย แม่จะไม่ยุ่ง แต่จะให้บิดาตีก้นน้อยๆ ของพวกเ้าให้ลายไปเลย"
นี่... คือการข่มขู่ชัดๆ!
"ท่านแม่อย่าได้กังวล ท่านเห็นว่าข้าดูเหมือนคนพึ่งพาไม่ได้เลยหรือ?"
ไท่ไท่สามหัวเราะเยาะ "เหมือนมาก"
ศีรษะน้อยๆ พับตกลงมาทันควัน
ฉีอันหัวเราะเอิ๊กอ๊าก จึงได้สายตาราวกับคมมีดจากไท่ไท่สามหนึ่งดอก "เ้าก็เหมือนกัน"
ฉีอันหดคอเข้ามาทันใด
สองพี่น้องลอบชำเลืองมองกันและกัน ั์ตาของทั้งสองฉายแววลำบากใจราวกับมองเห็นสิงโตเหอตง
วันนี้เฉียวเยว่ถูกแต่งตัวด้วยชุดสีชมพู ผมจุกทั้งสองข้างผูกกระดิ่งน้อยๆ ข้างละอัน เมื่อเดินไปไหนก็จะมีเสียงกรุ๊งกริ๊งเบาๆ น่ารักเป็อย่างยิ่ง
ส่วนฉีอันก็แต่งชุดสีฟ้าดูสว่างสดใส
สองพี่น้องราวกับคู่ตุ๊กตานำโชค จูงมือกันเดินออกจากเรือน
เพียงแต่สิ่งที่ทั้งสองคุยกันไม่ค่อยจะน่าฟังเท่าไร
ฉีอัน "เฉียวเฉียว เ้าว่าเพราะอะไรท่านพ่อถึงแต่งงานกับท่านแม่ เห็นอยู่ว่าท่านแม่ไม่อ่อนโยนสักนิด จะถูกหลอกเอาหรือเปล่า?" นี่คือสิ่งที่เขาคลางแคลงอย่างล้ำลึก
เฉียวเยว่แค่นเสียงเยาะ ถามว่า "ท่านพ่อกับท่านแม่ใครชอบตีกว่ากัน?"
ฉีอันตอบโดยไม่ต้องคิด "ต้องเป็ท่านพ่ออยู่แล้ว"
เฉียวเฉียวกล่าวอย่างมีเหตุมีผล "เ้าเห็นแล้วใช่ไหม ท่านพ่อชอบตีคนมากกว่า ดังนั้นท่านพ่อต่างหากที่เป็คนหลอกลวงให้แต่งงาน"
ฉีอันพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก รู้สึกว่าคำกล่าวของเฉียวเฉียวถูกต้อง
ไม่ช้าเฉียวเยว่ก็พูดต่อ "แต่พวกเขาก็พอๆ กันนั่นแหละ เบื้องหน้าดูบริสุทธิ์สูงส่ง แต่ลับหลังก็เป็คนไม่ดีชอบตีเด็ก พวกเขาแต่งงานกันถูกคู่จริงๆ ไม่มีใครแย่กว่าใคร"
"ก็จริง"
"พรืด" ในที่สุดชายหนุ่มซึ่งยืนชมทิวทัศน์อยู่ด้านหนึ่งของสวนดอกไม้ก็อดกลั้นไม่ไหวหัวเราะออกมา
...
[1] วัยแมวสุนัขขยาด หมายถึงเด็กที่อยู่ใน่วัยซุกซน ทำตามอำเภอใจ สุนัขกับแมวยังขยาด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้