หลินลั่วหรานไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังตามหาเธอจนแทบบ้าในขณะเดียวกันคนที่กำลังจะบ้าอย่างมู่เทียนหนานก็ไม่ได้รู้เลยเช่นกันว่าเขาได้พบกับคนที่พยายามตามหาอยู่ และได้ผ่านเลยกันไปแล้วอีกครั้ง
ร้านขายอัญมณีไม่ได้มีระบบทำงานแปดชั่วโมงอะไรแบบนั้นในขณะที่หลินลั่วหรานเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยดวงไฟบนถนนใหญ่ต่างก็พากันส่องสว่างเจิดจ้า
“นี่เธอยังมีก้อนแร่อยู่ที่ฉันก้อนหนึ่งนี่ ไม่กลัวฉันจะยักยอกไปบ้างหรือไง?” เป่าเจียขับรถออกไปพร้อมเอ่ยถามหลินลั่วหราน
ยืนมาตลอดทั้งวัน ต่อให้มีร่างกายแบบหลินลั่วหรานก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าเธอหลับตาลงรวมสติอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ “ยังไงก็ต้องรอให้ฉันย้ายบ้านเสร็จก่อนถึงจะเอากลับมาได้ ที่ที่พักอยู่ตอนนี้ ไม่ค่อยปลอดภัยแล้วล่ะ”
เื่ที่หลี่อันผิงแอบเข้ามาในห้องของเธอนั้นเป่าเจียรู้ดีแต่อย่างไรผู้ชายคนนั้นก็เคยคบกับหลินลั่วหรานหลินลั่วหรานสามารถคิดว่าอย่างไรก็ได้แต่เธอที่เป็เพียงเพื่อนของหลินลั่วหรานเท่านั้นไม่รู้ว่าจะออกความเห็นออกมาแบบไหนดี
“งั้นเราไปดูห้องกันให้ไวหน่อยไหมหลังจากย้ายแล้ว ก็อยู่ให้ห่างๆ พวกเขาเอาไว้หน่อย จะได้ไม่ต้องวุ่นวาย”
หลินลั่วหรานพยักหน้าตกลงทั้งสองตกลงกันว่าจะไปดูตึกในวันหยุดของพวกเธอ จะได้รีบๆ ย้ายแต่เธอก็กังวลถึงพ่อและแม่ที่ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหลี่เช่นกัน
ตอนแรกเป่าเจียบอกว่าอยากจะไปกินหม้อไฟแต่หลินลั่วหรานที่ก้าวเท้าเข้าสู่เส้นทางธรรมไปแล้วกว่าครึ่ง่นี้ไม่ค่อยอยากจะกินของพวกนั้นสักเท่าไรอีกทั้งยังรู้สึกว่าผักในพื้นที่ลึกลับของตัวเองนั้นอร่อยกว่า เมื่อคิดไปคิดมาแล้วจึงตัดสินใจจะไปร้านอาหารญี่ปุ่นกันแทน
ลูกค้ามากมายแน่นอนว่ารสชาติไม่อาจจะดั้งเดิมได้ การทำอาหารที่ดีที่สุดจริงๆต่างก็ถูกซ่อนเอาไว้เป็ความลับ ผู้คนธรรมดาต่อให้มีเงินมากมายก็ยังไม่อาจจะหาทางได้เจอ
หลินลั่วหรานรู้สึกไม่ดีกับอาหารจานเล็กเหล่านี้นักแม้แต่คนที่ชอบอาหารญี่ปุ่นอย่างเป่าเจีย ก็ยังรู้สึกว่าเนื้อปลาแซลมอนไม่ได้สดใหม่เหมือนแต่ก่อนแม้ว่าซาซิมิที่เธอสั่งมาจะถือได้ว่าค่อนข้างสดใหม่ แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วเธอกลับรู้สึกว่าััไม่เหมือนเดิม
“เธอทำให้ฉันกลายเป็คนกินยากแล้วล่ะชดใช้ฉันด้วยการส่งผักให้ตลอดชีวิตด้วยนะ” เป่าเจียมองซ้ายมองขวาก่อนจะตามหาเหตุผลที่ทำให้วันนี้ปลาแซลมอนไม่อร่อยเหมือนอย่างเคยได้เจอ
ดวงตาของหลินลั่วหรานขยับเบาๆก่อนจะเช็ดปากให้เรียบร้อย “ฉันว่าเรากลับไปหาไรกินกันต่อเถอะไปบ้านเธอหรือบ้านฉัน?”
เป่าเจียวางตะเกียบลงย่างไร้อารมณ์ก่อนจะพ่นคำพูดสองคำออกมาจากปาก
“บ้านเธอ!”
......
ทั้งสองจ่ายเงินให้เรียบร้อยก่อนจะกลับบ้านไปด้วยกัน
ถนนแถวบ้านของหลินลั่วหราน เป็ถนนขนาดเลนเดียวหากเจอรถสวนมาจะลำบากมาก อีกทั้งแสงไฟก็มืดเป่าเจียจึงต้องขับรถอย่างระมัดระวังเป็พิเศษ
แต่ว่าวันนี้บนท้องถนนกลับดูไม่เหมือนอย่างปกติหลินลั่วหรานที่หูไวตาไว กำลังได้ยินเสียงว่าด่าดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ
“เด็กน้อย ไม่ต้องมาแกล้งตายลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงหยาบๆ ถูกส่งออกมาฟังดูแล้วเหมือนกับชายวัยกลางคน
รออยู่สักพัก เสียงที่ตอบกลับน้ำเสียงดุดันนั้นกลับเป็เพียงเสียงเล็กๆ
ในบริเวณที่เป็มุมอับของเมืองย่อมเป็ที่เหมาะแก่การกระทำอะไรผิดๆ เมือง R เป็เพียงเมืองรองในประเทศดังนั้นก็เป็เื่ที่เลี่ยงไม่ได้ รถยังคงขับผ่านไปหลินลั่วหรานคิดว่าเป็เพียงการทะเลาะกันทั่วไปจึงไม่คิดจะสนใจเื่ไร้สาระมากนัก
“ลูกพี่ เหมือนเขาจะตายแล้ว...”
เมื่อได้ยินคำว่า “ตาย” ชีวิตของคนหนึ่งชีวิตดวงตาเหนื่อยล้าของหลินลั่วหรานก็ขยับขึ้นก่อนจะบอกให้เป่าเจียกลับรถกลับไปอย่างช่วยไม่ได้
ไฟรถสีขาวสว่าง สาดส่องไปยังท้องถนนแคบร่างสูงต่ำต่างกันไปต่างพากันใช้มือบังแสงไฟด้วยความใ
คนนำคือชายวัยกลางคนที่มีรอยบากบนใบหน้าขาวๆอ้วนๆ รอยบากที่ดูคล้ายกับตะขาบทำให้ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดน่ากลัวนอกจากนั้นคนอื่น ที่มีหน้าตาน่ากลัวเ่าั้กลับเป็เพียงเด็กวัยรุ่นอายุราวสิบกว่าปีเท่านั้น!
คนที่ “จะตาย” ที่พวกเขาพูดถึงนั้น ตอนนี้นอนกลิ้งอยู่บริเวณมุมกำแพงเป็ก้อนกลมเท้าของชายผู้มีรอยบากบนหน้าเหยียบย่ำอยู่บนตัวของเขา โดยไม่ขยับเขยื้อนสถานการณ์ท่าจะไม่ดีเท่าไร
เมื่อเห็นดังนั้นเป่าเจียก็เอื้อมมือไปจับเข้าที่แขนของหลินลั่วหรานกลัวว่าเพื่อนรักจะไม่เข้าใจสถานการณ์มากนัก แล้วอยากจะลงไปช่วยเหลือ
หลินลั่วหรานแสดงท่าทางออกมาเป็เชิงว่าเธอไม่ได้จะลงไปจากรถ และบอกไม่ให้เป่าเจียส่งเสียง ทั้งสองจ้องตากัน ก่อนที่อยู่ๆเป่าเจียจะกดแตรรถลง!
“ปรี้นนนน...”
ไฟรถฉายสว่าง รวมเข้ากับเสียงแตรแสบหูชายหน้าบากจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคนในรถ้าเรียกให้คนมาเขาหันมาถ่มน้ำลายลงบนพื้น ก่อนจะพากลุ่มเด็กวัยรุ่นหมุนตัวเดินหนีไป
เสียงแตรแสบหูเรียกให้ตำรวจเข้ามาเห็นดังนั้นเป่าเจียถึงได้ยอมปล่อยมือของหลินลั่วหราน ทั้งสองลงจากรถมาด้วยกันหลินลั่วหรานอยากจพูดเหลือเกิน ว่าตัวเธอในตอนนี้นอกจากบินไม่ได้แล้วพละกำลังก็เหมือนกับซูเปอร์วูแมน แต่ถ้าพูดไปคงจะโดนเป่าเจียหัวเราะตาย อีกทั้งถ้าเป่าเจียอยู่บนรถก็กลัวว่าอาจจะโดนดักทำร้าย กลายเป็ตกหลุมพรางเข้าไม่กี่ปีมานี้เื่แบบนี้มีออกข่าวอยู่ไม่น้อย จึงสงบนิ่งอยู่บนรถ
“เกิดอะไรขึ้น?” ตำรวจตรวจตราพบร่างที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นแล้ว รู้สึกผิดปกติเมื่อเห็นว่าคนที่ลงรถมาเป็หญิงสาวสองคน จึงพูดจาสุภาพนุ่มนวลขึ้น
หลินลั่วหรานส่ายหัว “พวกเราเห็นว่ามีคนทำร้ายกันก็เลยบีบแตรรถ ทำให้คนพวกนั้นใหนีไปแล้ว แต่เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ตำรวจรู้สึกแปลกใจสงสัยว่าคำพูดของหลินลั่วหรานเป็ความจริงหรือไม่แต่เขาก็ขยับตัวเดินเข้าไปพลิกตัวของร่างที่นอนกลิ้งอยู่กลับมา
เมื่อเห็นร่างที่นอนกลิ้งบนพื้นได้ชัดแล้วทั้งสามต่างพากันใ นั่นคือเด็กชายที่น่าจะมีอายุราวๆเจ็ดแปดขวบเท่านั้น
ใอยู่เพียงไม่กี่วินาทีก็ต่างเปลี่ยนเป็ความโมโห!
ร่างที่ปรากฏอยู่ภายหน้าหลินลั่วหรานคือเด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบ เนื้อตัวถูกปกคลุมไปด้วยผ้าฝ้ายขาดๆ สีซีดถูกไฟรถฉายจนเห็นรอยคราบสกปรกได้ชัด ช่างไม่เหมาะกับการแต่งกายในฤดูแบบนี้เอาเสียเลย
และที่สำคัญเด็กชายคนนี้ผอมแห้งจนมีเพียงเนื้อติดกระดูก บนใบหน้ายังมีรอยแผลทับซ้อนกันมีทั้งที่เป็รอยแผลเป็ ทั้งที่เป็รอยแดงเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่สิ่งที่จะทำขึ้นมาได้ในวันเดียว...หลินลั่วหรานและเป่าเจียหันหน้าสบตากันพระเ้า นี่มันทารุณกรรมเด็กเหรอ?!
ตำรวจตรวจตราเองก็ยังเด็กเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็สับสนอยู่สักพัก ก่อนจะกดโทรหา 120 พร้อมทั้งตัดความน่าจะเป็เื่โดนสองสาวที่ขับรถ BMW มาชนออกไป รอยแผลทับซ้อนกันเหล่านี้ และสีหน้าที่ดูไม่เหมือนปกติทั่วไปมองอย่างไรก็ไม่เหมือนโดนรถชน
เด็กชายลูบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแดง ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าทั้งสาม ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนรู้จักถ้าไม่รู้จักก็น่าจะไม่ใช่พวกคนเลวพวกนั้นใช่ไหม? เดิมทีเขาก็เป็เพียงแค่เด็กอายุน้อยคนหนึ่งยิ่งในเวลานี้สติของเขากำลังพร่าเลือน ปากก็เอาแต่พร่ำบอกบางอย่าง
ด้วยความสามารถทางการได้ยินของหลินลั่วหรานได้ยินทั้งสองคำที่ถูกพูดออกมาซ้ำๆ อย่างชัดเจน
“ช่วยผมด้วย...ช่วยผมด้วย...” เสียงเบาสั่นไหว ทำให้ผู้คนทั้งรู้สึกสงสารและเ็ปใจ
ดวงตาของเป่าเจียแดงก่ำก่อนที่หลินลั่วหรานจะย่อตัวนั่งลง จับมือเล็กของเขาขึ้นมาพร้อมบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ต้องกลัวนะ เธอได้รับการช่วยเหลือแล้ว!”
แผ่นหลังของหลินลั่วหรานถูกสาดส่องด้วยแสงไฟเมื่อมองจากมุมมองของเด็กชาย กลับมองเห็นเป็เพียงโครงพร่ามัวเท่านั้นเขารู้ว่าคนที่จับมือเขาอยู่ คือผู้หญิงคนหนึ่งแต่กลับมองเห็นไม่ชัดว่าหน้าตาเป็อย่างไร เพียงแต่รู้สึกว่าดวงตาที่ส่องประกายของเธอนั้นช่างดูเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า...ช่างเหมือนกับคุณแม่ในความทรงจำ