ณ ห้องทำงานนนท์ภัทร
แกร๊ก!
“รอสักห้านาที ขอปั๊มเอกสารพวกนี้ก่อน” นนท์ภัทรบอกโดยไม่ได้หันไปมองคู่สนทนาด้วยซ้ำ
“รู้ได้ยังไงว่าเป็ผม พี่ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองด้วยซ้ำ” นภัทรถามด้วยความแปลกใจ
เขายังไม่ทันเอ่ยปากอะไรออกไป ทำไมถึงมั่นใจนักว่าเป็ใคร หรือนี่จะเป็ความสามารถพิเศษของคนที่อายุมากกว่า ไม่เกี่ยวกับความฉลาดแต่เป็ความสุขุมของวัย
“ฉันไม่รู้หรอกว่าเป็แก”
“แต่ว่าคนที่กล้าเปิดประตูห้องทำงานของฉันโดยไม่ขออนุญาตนั้น ในบ้านหลังนี้มีแค่สามคนเท่านั้น คือพ่อ แม่ และแกไง ไอ้น้องชายตัวดี”
“มันก็จริง คนอื่นไม่มีใครกล้าทำแบบนี้อยู่แล้ว” นภัทรยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
“สรุปว่ามีเื่อะไรล่ะ ปกติถ้าไม่ใช่่เวลาอาหารหรือเลิกงานก็แทบไม่เข้าห้องฉันไม่ใช่หรือไง พูดมาสิ”
เขาถึงกับสะดุ้งโหยงทันทีที่อีกฝ่ายรู้ทัน แบบนี้เรียกว่าสมกับเป็พี่ชายคนโตมากกว่าความสุขุมที่คาดเดาไปในตอนแรก
“อยากปรึกษาเื่เลขาที่บริษัท ผมควรจ้างกี่คนดีถึงจะเหมาะสมกับงาน ยังไงั้แ่ผมสิบเจ็ดก็เริ่มเข้าไปช่วยงานเหมือนกันแต่ว่าตอนนี้เหมือนน่าจะต้องทำอะไรมากขึ้น ผมอยากรู้ว่าตอนนี้ในมือพี่มีเลขาทั้งหมดกี่คน ไม่นับคนที่อยู่เคียงข้างพวกเรามาั้แ่เด็ก อยากรู้ว่าเลือกจากอะไร มีเกณฑ์อะไรในการตัดสินใจ”
“...”
ดวงตากลมโตมองเอกสารเป็ปึกของพี่ชายด้วยความใจเย็น เนื่องจากอีกฝ่ายยังคงปั๊มเอกสารงานอยู่อีกมากมาย เพราะฉะนั้นพูดค้างไว้ให้เวลาอีกฝ่ายคิดสักหน่อย น่าจะได้รับคำตอบ
“ถ้าเป็เลขาที่บริษัท ฉันเลือกเอาไว้ทั้งหมดสิบคน ไม่นับรวมคนที่สนิทที่บ้านอีกสองคน อาจจะดูเหมือนฟุ่มเฟือยไปหน่อยในสายตาคนอื่น แต่ว่าฉัน้ามาอุดวันเวลาที่มีคนพักผ่อนไปหรือพูดให้เข้าใจง่ายกว่านั้น
้าคนมาช่วยงานตลอดเวลาไม่มีหยุดพัก แต่ยังไงคนเราก็ต้องพักอยู่ดี เพราะฉะนั้นเลยจ้างจำนวนเยอะหน่อย ฉันทำงานวันละสิบหกชั่วโมง พักผ่อนห้าชั่วโมง ออกกำลังกายสองชั่วโมง เวลาอิสระอีกหนึ่งชั่วโมง นี่คือตารางชีวิตของฉัน”
“หมายความว่าที่เหลือผมต้องไปจัดการ และตัดสินใจเอาเองถูกไหม”
“แน่นอนสิ แต่บางอย่างยังต้องจัดการอีกหลายเื่ ไว้เคลียร์เสร็จแล้วค่อยเข้ามาช่วยเต็มตัวก็ได้นะ เพราะว่าถ้าแกเข้ามาช่วยงานของฉัน ฉันจะได้นอนวันละแปดชั่วโมงสักที”
“ได้ ที่เหลือผมจัดการเอง”
“เก่งมาก ไอ้น้องชาย”
นนท์ภัทร ภูทนินทร์ อายุยี่สิบสี่ปี บุตรคนโต ระดับการศึกษา จบปริญญาตรีและปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ กำลังศึกษาต่อระดับชั้นปริญญาเอก สถานะ สอบผ่านระดับชั้นมัธยมต้นได้ทั้งสามชั้นปี ว่าที่ผู้นำตระกูลภูทนินทร์คนถัดไป ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยการจัดการแผนการตลาดทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นภัทร ภูทนินทร์ อายุยี่สิบปี บุตรคนเล็ก ระดับการศึกษาจบปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก คณะบริหารธุรกิจ กำลังศึกษาต่อระดับชั้นปริญญาโท สาขาบัญชี สถานะ สอบผ่านระดับชั้นประถมปลายและระดับชั้นมัธยมต้น ผู้ช่วยผู้สืบทอดตระกูลคนต่อไป ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยการดูแลและวางแผนการเงินตลาดทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
5 มกราคม พ.ศ. 3610
จักรวรรดิบริติช
สหราชอาณาจักร
ลอนดอน
ทายาทลำดับที่ห้าของตระกูลอลัน นามว่า อลัน เลอร์ มอร์ซิน หายจากอาการป่วยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ รวมถึงสามารถกลับมาเรียนต่อได้ตามปกติ
อลัน เลอร์ มอร์ซิน อายุยี่สิบห้าปี บุตรคนเล็ก ทายาทลำดับที่ห้าของตระกูล ระดับการศึกษาจบปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจ สถานะ สอบผ่านระดับมัธยมปลายได้หนึ่งชั้นปี
“พร้อมเผชิญหน้ากับเด็กคนนั้นไหม” เชนเนสถามด้วยความเป็ห่วงลูกชาย
“ผมไม่เป็ไรครับแม่ อีกฝ่ายไม่ได้อยู่กับผมนานขนาดนั้น แถมไม่ใช่ความทรงจำที่ดีเท่าไหร่ด้วย การเดินทางไปครั้งนี้คือการไปพูดคุยว่าตกลงจะเอายังไงกันต่อไป” มอร์ซินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาไม่อยากคาดเดาหรือจินตนาการอะไรไปเองทั้งนั้น เพราะว่าสำหรับเด็กคนนั้นแล้ว ตัวตนของเขาอาจจะน่ารำคาญ วุ่นวายหรืออะไรก็ตามที่ไม่อยากยุ่งด้วย คงต้องกลับไปรื้อฟื้นความทรงจำก่อน และเื่ราวหลังจากนั้นค่อยว่ากันต่อไป
“คิดจะไปอยู่ไทยสักกี่เดือน มีกำหนดกลับแน่นอนไหม ยังไงการหมั้นครั้งนี้มันแค่พันธะสัญญาชั่วคราวในการคุ้มครองพวกแกสองคนมากกว่าความรัก” มากาเร็ตถามพลางมองด้วยความเป็ห่วง
“จนกว่าจะรื้อฟื้นความทรงจำกลับมาได้ และพูดคุยเื่ข้อตกลงกันอีกครั้ง คาดว่าไม่เกินหนึ่งปีจะกลับมาอังกฤษครับ”
“ถ้านานขนาดนั้นทำเื่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่นั่นเลยแล้วกันจะได้ไม่เสียเวลา ไม่อยากบังคับเรียนเยอะหรอก แต่อย่างน้อยก็เอาปริญญาโทให้เท่าพี่น้องคนอื่น คนนอกจะได้ไม่มาประสาทใส่แกเข้าใจที่ฉันพูดไหม”มากาเร็ต บอกพลางถอนหายใจ
“เฮ้อ...เข้าใจครับ เดี๋ยวผมทำเื่เรียนต่อภาคอินเตอร์ที่ไทยเลย กลับมาที่นี่คือเรียนจบพอดี”
มอร์ซินรับปากพลางถอนหายใจยาวเหมือนคนปลงกับชีวิต เพราะสิ่งที่พ่อของเขาพูดนั้นมันเป็ความจริง สังคมขุนนางที่นี่ชอบเปรียบเทียบลูกในตระกูลว่าใคร ทำอะไร มีความเจริญกันยังไง ซึ่งถ้าว่างขนาดนั้นล่ะก็...ใส่ใจชีวิตตัวเองบ้างก็ดีนะ
“ถ้าถอนหมั้นแล้วจะหมั้นใหม่ไหม มีเหล่าเลดี้รอลูกเยอะเลยนะ”
“รอผมเรียนจบปริญญาโทแล้วค่อยว่ากันอีกทีครับ”
ยังไม่ทันจะถอนหมั้นกับคนเก่าเลย จะให้หมั้นกับคนใหม่แล้วเหรอ ขอเวลาปรับตัวกับอะไรเหล่านี้ไปก่อนแล้วกัน กว่าจะเรียนจบก็ปวดหัวจะแย่
“จะให้จัดการอะไรดีต่อดีครับ คุณชาย” อดัมถามพลางรอจดบันทึก
“จัดกระเป๋าเลือกเฉพาะของที่จำเป็เท่านั้น และไปซื้อใหม่เอาที่ประเทศไทย พวกเราจะไปอยู่ที่นั่นเกือบสองปี ทำเื่ทุกอย่างให้เรียบร้อยล่ะ รวมถึงเอกสารการเรียนด้วย”
“หมายความว่าจะต่อปริญญาโทที่ไทยใช่ไหมครับ ภาคอินเตอร์หรือเปล่า”
“ภาคอินเตอร์สิ จัดกระเป๋าของนายด้วยล่ะ ส่วนคนอื่นจะตามมาด้วยก็ได้ ยังไงเื่การต่อสู้กับพวกไม่หวังดีมันน่าจะมีอีกอยู่แล้ว มันอาจจะอาศัยจังหวะนี้ก็ได้”
“ครับ ผมจะเตรียมคนตามไปด้วยจำนวนเดิมให้พร้อม”
“เข้าเรียนด้วยกันเลยสิ จะได้ปกป้องง่ายขึ้นกว่าเดิม”
“ต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอครับ คุณชาย” อดัมถามด้วยความงุนงง
“เตรียมพร้อมไว้ก็ไม่เสียหายอะไรหรอก ถือซะว่าไปเรียนเป็เพื่อนฉัน”
“นายจะพาคนคุ้มกันไปกี่คน”
“ชุดเดิมครับคุณชาย สิบคนกับคราวเมื่อห้าปีก่อนที่ไปปกป้องคุณชายเล็กบ้านนั้น”
“อืม...งั้นก็พากันทำเื่เรียนให้มันหมดทุกคนเลย ไปทั้งคณะและสาขาเดียวกัน ดูแลกันแบบครอบคลุม”
“ทั้งหมดเลยเหรอครับ! ค่าใช้จ่ายจะเยอะมากเลยนะ!” อดัมถามด้วยความใ
ถึงแม้ว่าค่าเงินบาทไทยจะถูกกว่าค่าเงินปอนด์ที่นี่อยู่มาก แต่เมื่อเทียบกับพันปีก่อนกับพันปีต่อมา บางสิ่งบางอย่างก็มีความแตกต่างในแบบของมันอยู่พอสมควร
เพราะในเวลานี้ประเทศไทยคือหนึ่งในมหาอำนาจทางแดนตะวันออก ค่าเงินของประเทศนั้นสูงพอสมควรเมื่อก้าวขึ้นมาอยู่แนวหน้าของภาคพื้นทวีป
“ฉันไม่พูดซ้ำ ทำตามที่บอก”
“ครับ คุณชาย”
มีเงินเยอะก็ไว้เพื่อทำแบบนี้ต่างหาก ตราบใดที่เหล่าชนชั้นคนมีเงินเป็จำนวนมากยังคงไม่มีความปลอดภัยในเื่การลอบสังหารนับครั้งไม่ถ้วนอยู่ จะให้วางใจด้วยการไปเรียนคนเดียวมันดูเกินไปหน่อย ข่าวที่ได้ยินล่าสุดคือเมื่อห้าปีก่อนมีเหตุครั้งใหญ่ในการไล่ฆ่าคนและมีคนเสียชีวิตที่ส่วนใหญ่เป็ลูกนอกสมรสอีก
แม้ว่าในระหว่างระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมาจะไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง แต่เขาได้ข่าวั้แ่วันที่ฟื้นขึ้นมาไม่กี่เดือน เื่เหตุการณ์ลอบสังหารครั้งใหญ่บนเรือสำราญในอ่าวไทย คนที่มีความสามารถโดดเด่นเห็นชัดกับวงการธุรกิจคือบ้านภูทนินทร์ เก่งทั้งพี่คนโตและน้องคนเล็ก ความสามารถโดดจากคนอื่นมากทีเดียว ขนาดพี่น้องของเขาเข้าร่วมด้วย
ยังไม่ถูกพูดถึงมากขนาดนี้ ความสามารถในการเอาตัวรอด การต่อสู้ ยังคงยอดเยี่ยมไม่เคยเปลี่ยน ขนาดความทรงจำขาดหายนะ ถ้าความทรงจำกลับมาไม่เก่งกว่านี้เหรอเนี่ย
7 มกราคม พ.ศ. 3610
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ดูไบ
ในที่สุดมอร์ซินและเหล่าอัศวินคนสนิททั้งหมดก็เดินทางมาถึงที่นี่เพื่อนั่งต่อไปยังประเทศไทย คิดไม่ผิดที่เลือกหยิบบัตรมาทุกใบและไม่พกเงินสดมาเลย
เพราะไม่ว่าจะซื้ออะไรก็ต้องใช้บัตรเครดิตทั้งหมด ระหว่างนั่งรอเพราะเกิดเหตุการณ์ขัดข้องจากสภาพอากาศ จึงตัดสินใจหาของกินแทน เพราะไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน
