บนหน้าผาสูงเป็พื้นที่ราบ เมื่อหิมะโปรยปรายลงมาที่แห่งนี้จึงกลายเป็ลานหิมะสีขาว
ไม่มีกระดูกมนุษย์ให้เห็น กระดูกเ่าั้ล้วนโดนหิมะปกคลุมไว้หมดแล้ว มีเพียงกระท่อมไม้ที่ปลูกเรียงอย่างเป็ระเบียบ และเสียงเด็กเล็กร้องจ้า บนยอดหลังคากระท่อมยังเห็นควันร้อนลอยสูงอยู่ ใกล้กับกระท่อมมีแม่ไก่ออกหากิน ยามที่ฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงไปบนผืนหิมะก็จะทิ้งรอยเท้าจมลึกไว้เป็รอยๆ รอยพวกนั้นดูแล้วคล้ายกับดอกเหมยดอกโตก็ไม่ปาน
สิ่งที่เหล่าคนที่เพิ่งจะรอดพ้นจากเคราะห์ร้ายมาเห็นก็เป็ภาพบรรยากาศเช่นนี้ ท่านนายอำเภอใจนอ้าปากค้าง ภาพเมืองที่หลีกเร้นจากโลกที่แสนวุ่นวายในจินตนาการของเขาก็เป็เช่นนี้ ทั้งเรือนตรงหน้าเขายังมีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง เป็ต้นอู๋ถงสูงตระหง่านอยู่ในเรือน บนต้นไม่มีใบเหลือแล้ว ทว่าแต่ละกิ่งก้านของมันกลับประดับด้วยหิมะสีขาวที่โปรยปรายลงมา ดูแล้วช่างงดงามนัก
หมู่บ้านชนบทที่แสนจะเงียบสงบ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรั้นจะเรียกที่นี่ด้วยชื่อหมู่บ้านไป๋กู่ที่ฟังแล้วแสนจะเ็า
ท่านนายอำเภอเพิ่งจะคารวะเสร็จ ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านไป๋กู่หรือก็คือนายท่านสามก็เดินออกมาต้อนรับพอดี ชายหนุ่มได้ยินท่านอาจารย์กัวกล่าวั้แ่เช้าว่ารู้สึกมิชอบมาพากล จึงได้ให้พวกหนุ่มๆ ลงไปดูสักหน่อย ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ ด้วยมิคาดคิดว่าจะเกิดเื่อันตรายเช่นนี้ขึ้น ถึงกระนั้นก็ยังช่วยท่านนายอำเภอน่าตายที่อยากมาชมหิมะ และเหล่าศิษย์ผู้แสนน่ารังเกียจของเขาเอาไว้ได้
ยามนี้เพียงแค่คิดเขาก็ยังมีเหงื่อเย็นโทรมกาย
หากว่าท่านอาจารย์กัวไม่ได้ส่งคนลงจากเขา ในสภาพอากาศเช่นนี้ย่อมไม่มีคนในหมู่บ้านคนใดจะยินยอมลงจากเขา อีกทั้งท่านนายอำเภอเฉินก็คงจะตายอยู่หน้าูเากระดูก และพวกเขาคงจะกลายเป็แพะรับบาป นอกจากนี้ยังมีบัณฑิตและขุนนางอีกกลุ่มหนึ่ง
เพียงครู่เดียวความคิดของนายท่านสามก็ล่องลอยไปแสนไกล ทันใดเขาก็พลันเข้าใจแผนร้ายนี้ ย่อมต้องมีคนประสงค์ร้ายต่อพวกเขาอย่างแน่นอน
สิ่งที่เขาคาดคิดย่อมถูกต้องถึงแปดเก้าส่วนอย่างแน่นอน
“มิรู้ว่าท่านนายอำเภอจะมาชมหิมะ เหล่าผู้น้อยจึงไม่ได้ตั้งใจตระเตรียมอันใดไว้ ได้แต่ขอเชิญท่านนายอำเภอไปนั่งพักในกระท่อมสักครู่ก่อน” นายท่านสามเป็คนมีวาทศิลป์ แม้สภาพคนกลุ่มนี้จะดูจนตรอกเหลือทน ทว่ายามเขาเอ่ยปากขึ้นก็กล่าวว่าพวกเขามาเที่ยวเล่นเสียได้
แม้คนกลุ่มนี้เพิ่งจะถูกช่วยชีวิตกลับมา ทว่าคำพูดของนายท่านสามก็นับว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ จากนั้นจึงเห็นคนแถวหนึ่งที่นำด้วยใต้เท้าเฉินกำลังเดินเข้าไปในเรือน
ตลอดทางที่เดินมาใต้เท้าเฉินสังเกตเห็นเหล่าชายหนุ่มที่กำลังทำงานอยู่ด้านข้างมีลักษณะบางอย่างที่เหมือนกันอยู่ สิ่งนั้นก็คืออวัยวะบนร่างที่หายไป บ้างก็ปากแหว่งไปกว่าครึ่ง บ้างก็ขาพิการ บ้างก็ไม่มีแขน ทว่าคนเหล่านี้ก็ตั้งใจทำงานนัก ทั้งกวาดหิมะ ทำความสะอาดถนน และแขวนโคมไฟ โดยเฉพาะชายชราที่เหลือขาเพียงข้างเดียวคนนั้นที่กำลังช่วยจับเก้าอี้ให้ชายอีกคนที่มีแขนเพียงข้างเดียวปีนขึ้นแขวนโคมไฟ ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับกำลังทำเื่สนุก ไร้ซึ่งแววขมขื่น หรือกระทั่งความขุ่นข้องใดๆ
ใต้เท้าเฉินเห็นแล้วก็นึกประหลาดใจนัก
“ท่านผู้ใหญ่บ้านหวัง เหตุใดหมู่บ้านของท่านจึงไม่ให้คนปกติมาทำงานเล่า ไฉนจึงให้คนพิการเหล่านี้มาทำงาน นี่จะไม่ไร้ความปรานีไปหน่อยหรือ” ใต้เท้าเฉินเป็ขุนนางซื่อสัตย์คนหนึ่ง ยามเห็นอะไรไม่ถูกต้องก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้น ทว่าเหล่าบัณฑิตที่เดินตามหลังอยู่เมื่อได้ยินท่านนายอำเภอกล่าวเช่นนี้ ก็รู้สึกเป็เดือดเป็ร้อนขึ้นมาเช่นกัน
มีที่ไหนกันที่คนมือเท้าดีเอาแต่นั่งอาบแดดอยู่หน้าเรือน ส่วนคนที่แขนหายบ้างขาหายบ้างกลับต้องมาทำงาน ทว่าเหล่าขุนนางที่ตามหลังอยู่นั้นกลับไม่ได้กล่าวอันใด พวกเขาไม่คิดจะวุ่นวายใจกับเื่เหล่านี้
นายท่านสามเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้ขุ่นเคือง กลับหัวเราะแล้วตอบขึ้น “หมู่บ้านของเราล้วนไม่มีใครว่างงาน ไม่ว่าจะเป็คนปกติมือเท้าดี หรือคนพิการแขนขาขาด ทุกคนก็ล้วนมีหน้าที่ของตนเอง ทั้งยังล้วนแต่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยม หากกล่าวว่าพวกเขาเป็คนพิการจึงไม่ต้องทำงาน เกรงว่าเพราะเหตุผลนั้นต่างหากที่จะทำให้พวกเขากังวลใจ”
ด้วยครั้งที่นายท่านใหญ่ยังอยู่ก็เป็เช่นนี้ หากเกิดพิการขึ้นมาก็เพียงนำไปโยนทิ้งไว้ที่ถ้ำเชลย แน่นอนว่ายามอยู่ที่นั่นไม่ว่างานอะไรก็ล้วนไม่ต้องทำ ทว่าก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะการให้ไปอยู่ในถ้ำเชลยก็ไม่ต่างอะไรกับการโดนทอดทิ้ง
ท่านนายอำเภอเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ชายขาเดียวที่กำลังช่วยพยุงเก้าอี้ ยามนี้กำลังยกเก้าอี้ขึ้น เตรียมะโไปยังทางประตูกระท่อมอีกหลังหนึ่ง
ขาข้างเดียวที่เขาใช้ะโอยู่นั้นดูท่าจะมีแรงไม่เบา ะโหนึ่งครั้งพื้นหิมะก็เห็นรูหนึ่ง แต่ละก้าวล้วนมั่นคง ทั้งแผ่นหลังยังยืดตรงอยู่เสมอ
สำหรับท่านนายอำเภอเฉินแล้วคนพิการในหมู่บ้านไป๋กู่คือคนพิการที่แข็งแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา
ยามที่เขายังศึกษาอยู่ในสำนักเชินก็เคยติดตามศิษย์พี่ไปเยี่ยมเหล่าทหารพิการ พวกเขาเ่าั้ว่าไปแล้วก็ดูน่าเวทนาเสียยิ่งกว่าตาย ใบหน้าล้วนเ็าราวกับท่อนไม้ ไร้ซึ่งความหวังที่จะมีชีวิต
เมื่อพวกเขาเดินต่อไปก็พบกับสตรีกลุ่มหนึ่งที่มีร่างกายกำยำอกผายเอวหนาตัวสูงใหญ่ หันมายิ้มแฉ่งให้กับบุรุษที่กำลังเดินผ่าน ขณะเดียวกันก็หัวร่อต่อกระซิกกันเอง กระทั่งเสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็น้อยชิ้นนัก ทว่ากลับไม่ได้ดูเปิดเผยเนื้อหนังเช่นแม่นางบนถนนเฟิงเยว่ เสื้อผ้าของเหล่าสตรีตรงหน้าเพียงแค่เบาบางใส่สบายเท่านั้น กลุ่มสตรีตรงหน้าไม่สวมแม้กระทั่งกระโปรงหลัว สวมเพียงกระโปรงแยกขาที่ดูคล้ายกับกางเกงมีเป้าตัวหนึ่ง
ทันใดก็มีบัณฑิตคนหนึ่งเอ่ยปากตำหนิขึ้น “ไม่คาดคิดเลยว่าหมู่บ้านกลางป่ากลางเขาจะมีวัฒนธรรมการแต่งกายเช่นนี้ ช่างน่าละอายนัก”
นายท่านสามพลันขมวดคิ้ว
เ้าพวกปัญญาชนน่ารำคาญพวกนี้ บัณฑิตเหล่านี้ช่างน่ารังเกียจนัก เขาเองก็เป็บัณฑิตคนหนึ่งแต่ก็ไม่เคยจะน่ารังเกียจเท่าคนพวกนี้
“ผ้าทอขนสัตว์ที่กำลังเป็ที่นิยมแม้กระทั่งองค์หญิงยังตรัสชมก็เป็แม่นางเหล่านี้ที่เป็คนทอขึ้นมา เสื้อผ้าของพวกนางที่เป็เช่นนี้ก็เพื่อความสะดวกในการทำงาน ยามทอผ้าแล้วต้องสวมกระโปรงทั้งใหญ่ทั้งหนาพวกนั้น หากไม่ระวังชายกระโปรงก็จะหลุดเข้าไปในเครื่องทอได้ ดังนั้นเหล่าแม่นางจึงได้เย็บกางเกงขึ้นมา ไฉนเ้าจึงเห็นว่าเป็การทำลายวัฒนธรรมอันดีงามได้เล่า ข้าว่าจิตใจที่สกปรกนั้นไม่ว่าเห็นสิ่งใดก็ล้วนมองเป็เื่สกปรกมากกว่ากระมัง”
เสี่ยวอู่ที่กำลังเดินมาหานายท่านสามเพื่อรายงานผลการสอบสวน ก็บังเอิญได้ยินสิ่งที่เหล่าปัญญาชนกล่าวเข้าพอดี จึงได้ตอกกลับอย่างแค้นเคือง
บัณฑิตหนุ่มเมื่อโดนถากถางเช่นนี้ใบหน้าก็พลันแดงก่ำ หากเป็ยามปกติเขาย่อมต้องต่อปากต่อคำอย่างไม่ลดละแน่นอน คำผรุสวาทจะต้องได้หลั่งไหลเป็สายน้ำ ทว่าเมื่อหันไปมองเ้าเด็กหนุ่มหน้ากลมที่เพิ่งจะถากถางตน บนกายมีลูกเหล็กพาดไว้อีกสองลูก ยามเดินมาก็มีเสียงตึงตังกระทบกัน ดูแล้วราวกับเจดีย์ก็ไม่ปาน จึงได้แต่สงบปากสงบคำไว้
กลับเป็คุณชายเฉินที่เมื่อเห็นเ้าเด็กหนุ่มหน้ากลมเข้า ด้วยความแค้นลึกล้ำ เพียงแค่มองปราดเดียวก็จำคนผู้นี้ได้ทันทีว่าเป็น้องชายของเ้าบุตรทาสคนนั้น แม้ว่าเมื่อครู่ตนก็เพิ่งจะได้คนเหล่านี้ช่วยไว้ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะยกคำในตำราขึ้นมากระทบกระทั่งคนตรงหน้าสักหน่อยว่า “แม่ไก่มาขันตอนเช้า ไม่นานคงได้บ้านแตก”
หลังจากสิ้นคำของคุณชายเฉิน รอบกายก็ราวกับเงียบสงัดขึ้นมาทันใด ในใจของคุณชายเฉินพลันรู้สึกพอใจขึ้นมา เ้าเด็กทึ่มนี่คงจะไม่เข้าใจในความหมายของสิ่งที่เขากล่าวเป็แน่ ทว่ารอบกายเขาก็ออกจะเงียบเกินไป กระทั่งท่านนายอำเภอก็ยังไม่กล่าวสิ่งใด
คนทั้งกลุ่มราวกับกำลังจ้องมองไปยังที่แห่งหนึ่ง เขาจึงเงยหน้ามองตามสายตาคนข้างกาย ก็เห็นว่าท่ามกลางสตรีไหล่กว้างเอวหนา มีสตรีนางหนึ่งกำลังเดินออกมา เพียงพริบตาคุณชายเฉินก็รู้สึกอยากจะร่ายกวีที่เก็บไว้เต็มอกออกมา
ในสายธารความคิดมีเพียงแค่คำเดียว คำที่อยากจะะโโลดเต้นออกมา
งาม...งามพิลาสล้ำ
เสน่ห์...เสน่ห์พราวพร่าง
หลง...ชวนข้าลุ่มหลง
งาม มีเสน่ห์ ชวนให้ลุ่มหลง
สตรีตรงหน้าราวกับดอกเหมยที่บานสะพรั่งอยู่กลางหิมะขาวบริสุทธิ์ ราวกับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซ่อนอยู่
นางช่างเป็ความงดงามของโลกใบนี้
ทันใดแม่นางคนนั้นก็ค่อยๆ เดินมาทางตน ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหล่าบัณฑิตพาลรู้สึกว่าจมูกตีบตัน มือเท้าไม่อาจขยับได้ กระทั่งท่านนายอำเภอที่เคยไปหอเฟิ่งเยว่ในเมืองหลวงมาก่อนก็ยังไม่เป็ตัวของตัวเอง
ร่างอรชรของนางค่อยๆ เดินนวยนาดเข้ามา เด็กหญิงข้างกายท่านนายอำเภอพลันพุ่งออกไปทันที จากนั้นก็กอดแม่นางตรงหน้าไว้ ศีรษะน้อยๆ นั้นซุกลงไปบนอกของโฉมสะคราญ
เหล่าบัณฑิตต่างพากันกลืนน้ำลายอย่างไม่อาจควบคุม
ใบหน้าของนายท่านสามพลันไม่น่ามองอย่างถึงขีดสุด เ้าพวกลามกนี่ พวกเ้าทำสายตาอันใดกัน อยากให้ข้าเผาให้วอดทั้งตระกูลหรือไร...
แม่นางจึงอุ้มเด็กหญิงน้อยขึ้นมา ใบหน้าเผยรอยยิ้มน้อยๆ
ทันใดนั้นก็ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งล้วนซีดจางไปหมด กระทั่งใบหน้าของท่านนายอำเภอก็พลันซีดลง
ทว่าที่เขาเป็เช่นนี้ไม่ใช่เพราะพ่ายให้กับสีสันเจิดจ้าของสตรีตรงหน้า แต่เป็เพราะสตรีตรงหน้า...รูปลักษณ์ของนางช่างคล้ายกับสนมหรงในวังหลวงเหลือเกิน เพียงแต่ความสดใสของนางทำให้นางดูงดงามกว่าสนมหรงนับร้อยเท่า