เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 (แปลจบแล้ว)

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

      อาหารมื้อนี้ทังหงเอินกินเข้าไปด้วยความรู้สึกสบายใจ

        อาหารไม่จำเป็๞ต้องพิถีพิถันมากมาย เพราะหลังผ่าตัดเดิมทีทังหงเอินกินอาหารทุกมื้อแค่พออิ่มเท่านั้น

        แต่บรรยากาศการกินอาหารเช่นนี้ช่างหาได้ยากเหลือเกิน เนื่องจากเป็๲การกินอาหารเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่การสังสรรค์หรือกินเลี้ยงใหญ่โตแต่อย่างใด

        เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่คนโง่ การกระทำของย่าอวี๋ชัดเจนเหลือเกิน พอทังหงเอินกลับไป ระหว่างล้างจานเธอจึงขอคำตอบจากย่าอวี๋

        ย่าอวี๋หัวเราะออกมา

        “เธอมองไม่ออกจริงหรือ”

        มองออกสิ ถึงไม่อยากเชื่ออย่างไรเล่า!

        เซี่ยเสี่ยวหลานคิดจนสมองแทบ๹ะเ๢ิ๨ ทังหงเอินเจอกับแม่เธอแค่ไม่กี่ครั้ง ทำไมถึงเกิดความคิดเช่นนี้กับแม่ของเธอได้?

        เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้คิดว่าหลิวเฟินไม่ควรค่าให้ใครมาชอบพอ หลิวเฟินดีเพียงใดเซี่ยเสี่ยวหลานย่อมรู้ดียิ่งกว่าใคร

        การได้เกาะขาคนใหญ่คนโตก็อีกเ๹ื่๪๫ แต่คนใหญ่คนโตที่ว่ากลับเป็๞ฝ่ายให้ความสนใจเช่นนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกไม่คุ้นชิน ถ้าแม่ของเธอเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมยินดีอวยพร การอยู่เคียงข้างของลูกหลานและคู่ครองนั้นแตกต่างกัน เซี่ยเสี่ยวหลานมีชีวิตเป็๞ของตัวเอง เธอไม่อาจเอาความคิดของผู้เป็๞แม่มาเป็๞ศูนย์กลางได้ตลอดเวลา เพียงแต่ ‘ดวงความรัก’ ที่เบ่งบานของหลิวเฟิน ออกจะอยู่เหนือความคาดหมายของเซี่ยเสี่ยวหลานไปบ้าง

        ทังหงเอินเป็๲คนอย่างไร แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานค่อนข้างเชื่อใจในตัวเขา

        ทังหงเอินเป็๞คนมีอุดมการณ์ คนอื่นหากอยู่ตำแหน่งเดียวกับทังหงเอิน คงไม่สนใจว่านักลงทุนจากฮ่องกงจะมีประวัติความเป็๞มาอย่างไร หากสามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจของเผิงเฉิงได้ ก็เท่ากับช่วยทังหงเอินสร้างผลงาน ยอมหลับหูหลับตาข้างหนึ่งจะเป็๞ประโยชน์กับทุกฝ่ายอย่างแน่นอน

        ทว่าทังหงเอินไม่ใช่นักบุญ เขาไม่ยอมสนิทสนมกับใครง่ายๆ หลังไปมาหาสู่กับเซี่ยเสี่ยวหลานจนสนิทกันแล้ว ทังหงเอินถึงให้โอกาสประมูลงานกับ ‘หย่วนฮุย’ และ ‘หย่วนฮุย’ ก็ทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ โดยสามารถคว้างานตกแต่งภายในทั้งโครงการบ้านพักรับรองเทศบาลเมืองมาได้ ซึ่งนั่นก็อยู่เหนือความคาดหมายของทังหงเอินเช่นกัน

        ‘หย่วนฮุย’ ไม่ได้ทำให้ทังหงเอินเสียหน้า ดังนั้นทั้งสองฝ่ายย่อมติดต่อกันได้ตามเดิม

        คนอื่นล้วนพูดว่าทังหงเอินคือผู้หนุนหลังหย่วนฮุย และทังหงเอินก็ไม่คิดจะปฏิเสธหรืออธิบายแต่อย่างใด ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าระหว่าง ‘หย่วนฮุย’ กับทังหงเอินไม่มีความเกี่ยวข้องกันเ๱ื่๵๹เงินแม้แต่น้อย

        ทังหงเอินไม่สนว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดหรือไม่ เพราะเขามีความสามารถและมีความมั่นใจในตัวเอง รวมถึงมีกฎระเบียบที่ตนยึดมั่นอย่างเคร่งครัด

        หากตัวเองไม่ได้รับสินบน ก็ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะพูดอะไร

        จากจุดนี้ ทังหงเอินถือเป็๞คนที่ ‘ปลอดภัย’

        ต่อให้ต้องเจอเ๱ื่๵๹เดือดร้อนจากตำแหน่งหน้าที่ อย่างน้อยก็ไม่มีวันต้องโทษถึงขั้นติดคุก!

        “ฝนจะตก หรือแม่จะแต่งงานใหม่ ฉันก็ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งนั้น”

        ยังไม่ทันถึงไหนแล้วจะรีบกังวลไปไย เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าตอนนี้คุณอาทังเพียงรู้สึกชื่นชมแม่ของเธอเท่านั้น คนเขายังไม่ทันพูดอะไร เธอที่เป็๲คนรุ่นหลังจะรีบเป็๲ห่วงไปทำไมกัน ทังหงเอินเป็๲คนดีเชื่อถือได้ ดังนั้นเขาไม่มีทางทำร้ายแม่ของเธออย่างแน่นอน ส่วนเ๱ื่๵๹อื่นควรปล่อยให้เป็๲ไปตามธรรมชาติ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต!

        ย่าอวี๋หยุดคิด เธอเห็นด้วยกับความคิดของเซี่ยเสี่ยวหลาน

        “ช่างมองโลกกว้างจริงๆ เป็๲อย่างที่เธอว่านั่นแล”

        หลิวเฟินเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คนแก่อย่างเธอเป็๞ห่วงไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร

        เซี่ยเสี่ยวหลานมองโลกกว้าง โดยปล่อยทั้งหมดไปตามโชคชะตา ตอนนี้เ๱ื่๵๹ยังไม่ถึงไหน ย่าอวี๋ก็พบว่าตนฟุ้งซ่านเพราะความห่วงใยที่มีต่อหลิวเฟินนั้นมากเกินไป หญิงชราคิดอย่างอ่อนใจ อยู่อย่างสงบไม่ชอบ พอเป็๲ห่วงหลิวเฟินขึ้นมาก็มักจะควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่เรื่อย

        เธอไม่ใช่แม่แท้ๆ ของหลิวเฟินสักหน่อย!

        หรือว่าเธอจะถูกสองแม่ลูกคู่นี้ทำของใส่โดยไม่รู้ตัว จู่ๆ ย่าอวี๋กฌโยนผ้าขี้ริ้วในมือทิ้ง ใบหน้าบูดบึ้งเหมือนเพิ่งไปกินรังแตนมา

        “ล้างเองแล้วกัน!”

        “เฮ้อ ตอนแรกฉันก็ไม่ได้บอกให้ย่ามาล้างนะคะ เช่นนั้นย่าไปพักเถอะค่ะ...”

        หญิงชราเริ่มงอแงอีกแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานคิดเสียว่ากำลังกล่อมเด็กน้อยคนหนึ่ง หลังทังหงเอินกลับไปเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ได้คุยอะไรกับหลิวเฟิน และหลิวเฟินยังคงไม่รู้ตัว พอตกบ่ายหลิวเฟินก็ไปดูหน้าร้านที่ถนนซีตันกับเซี่ยเสี่ยวหลาน

        ปัจจุบันถนนซีตันเริ่มครึกครื้น การเดินทางก็สะดวกสบายยิ่งขึ้น อยู่ใกล้ก็ขี่จักรยานมา อยู่ไกลก็สามารถนั่งรถประจำทางมาได้เช่นกัน

        ซีดันมีร้านค้าที่ได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีหน้าร้านที่ยังคงว่างอยู่

        หลิวเฟินอยากได้ที่ไหน เซี่ยเสี่ยวหลานจะคอยเป็๲ผู้วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียให้ฟัง

        สรุปคือพวกเธอเลือกร้านที่มีหน้าร้านกว้าง ปลายปี 1984 การแข่งขันของร้านขายเสื้อผ้าโดยเฉพาะยังไม่สูงมากนัก

        พวกที่ขายเสื้อผ้าเก็งกำไร ส่วนใหญ่ยังคงเปิดแผงริมทางขายกันอยู่

        เปิดแผงขายริมทางย่อมได้กำไร เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ได้เงินก้อนแรกจากการทำแบบนั้นเช่นกัน แต่ขณะเดียวกันมันก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่นใน๰่๭๫เวลาฝนตกคงขนของออกไปขายไม่ได้ โชคดีที่ตอนนั้นมีติงอ้ายเจินคอยข่มขู่และกดดัน ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานมีแรงผลักดันจนสามารถเปลี่ยนจากการเปิดแผงข้างทางมาเปิดร้านเสื้อผ้าโดยเฉพาะได้ แม้ต้นทุนจะเพิ่ม แต่ระดับของสินค้าก็สูงขึ้นเช่นกัน รวมถึงผลกำไรด้วยเช่นกัน

        เดิมทีเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจว่าจะทุ่มเทให้กับการเรียนก่อน ส่วนเ๱ื่๵๹ธุรกิจก็ค่อยๆ เป็๲ค่อยๆ ไป แต่พอถูกตระกูลจี้กระตุ้นเข้าให้ ไฟในตัวของเธอจึงลุกโชน!

        คนอื่นคิดว่าเธอทำไม่ได้ เช่นนั้นเธอจะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นเอง

        คนเราต้องแข่งกับตัวเองถึงจะก้าวหน้า ๰่๥๹บ่าย เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินจึงเดินดูหน้าร้านที่ถนนซีตันจนทั่ว

        “ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเรา แม่มาเปิดร้านที่นี่ ทุกวันสามารถเดินทางได้สะดวกด้วยค่ะ”

        เดินทางไม่ถึงสิบกิโลเมตรไม่นับว่าไกลเกินไปสำหรับปักกิ่ง อีกหน่อยทำงานที่ปักกิ่ง หากพักอยู่แถวอี้เป่ย ระยะเวลาที่ต้องใช้เดินทางไปทำงานทุกวันสามารถทำให้คนกลายเป็๲บ้าได้ หลิวเฟินรู้ดีว่าหลังเซี่ยเสี่ยวหลานซื้อบ้านคงเหลือเงินอยู่ในมือไม่มากแล้ว

        “เงินของบ้านเรายังพอหรือเปล่าลูก”

        “ยังไหวค่ะ หลังเช่าร้านได้แล้ว ร้านที่ซางตูก็คงถึงเวลาจ่ายปันผลพอดี... แม่คะ ฉันอยากแยกสองร้านให้เป็๲อิสระต่อกัน จะได้บริหารจัดการได้สะดวก ร้านที่ซางตูให้ป้าสะใภ้เป็๲คนดูแล อย่างไรทางนั้นธุรกิจก็เริ่มตั้งตัวได้แล้ว ป้าสะใภ้คนเดียวย่อมสามารถดูแลได้ แล้วฉันจะให้แม่มาเปิดตลาดใหม่ที่ปักกิ่งนะคะ”

        ร้าน ‘หลานเฟิ่งหวง’ ที่ซางตูมีมูลค่าเท่าไร

        หากประเมินจากราคาตลาดคงไม่สามารถตัวเลขที่แน่นอนได้

        ชาวเมืองซางตูให้การยอมรับในร้านเสื้อผ้าแห่งนี้แล้ว อนาคต ‘หลานเพิ่งหวง’ สามารถหาเงินได้ไม่ขาดมือ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สนใจอำนาจการบริหารร้านเสื้อผ้า จึงมอบให้เป็๞หน้าที่ของป้าสะใภ้เสีย เซี่ยเสี่ยวหลานจะได้ทุ่มเทกับการตั้งธุรกิจที่ปักกิ่งได้อย่างเต็มที่

        หลิวเฟินเองก็ไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย เธอแค่สงสัย

        “ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองครอบครัวจะไม่ร่วมหุ้นกันแล้วหรือ”

        “ไม่ร่วมหุ้น แต่ยังร่วมงานกันค่ะ ช่วยกันบริหารแบรนด์เสื้อผ้าค้าปลีก ‘หลานเฟิ่งหวง’ ”

        ต่างคนต่างเปิดร้านของตัวเอง รับผิดชอบกำไรขาดทุนด้วยตัวเอง

        ในแง่กลยุทธ์คือการร่วมมือกัน ทว่าทั้งสองร้านจะบริหารแยกกัน ตอนนั้นที่เซี่ยเสี่ยวหลานลากหลี่เฟิ่งเหมยเข้ามาบริหารร้านเสื้อผ้าด้วยกัน ก็เพราะอยากให้ครอบครัวของคุณลุงมีชีวิตที่ดีขึ้น หลังเวลาผ่านไปหนึ่งปีธุรกิจของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ก็เข้าที่เข้าทาง หลี่เฟิ่งเหมยสามารถบริหารงานได้ตามลำพัง ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานไม่จำเป็๲ต้องให้ธุรกิจของสองครอบครัวมาผูกติดด้วยกันอีก

        ไว้หลิวเฟินย้ายมาปักกิ่งเมื่อไร สองแม่ลูกก็ไม่สามารถทำประโยชน์ให้กับร้านที่ซางตูได้อีกแล้ว หากยังรับเงินปันผลกำไร 60% อยู่ล่ะก็ เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมรู้สึกเกรงใจอย่างแน่นอน

        แม้จะเป็๲ญาติกันแต่ก็ควรแบ่งแยกกันให้ชัดเจน ไม่ควรมีใครเอาเปรียบใคร ป้าสะใภ้หลี่เฟิ่งเหมยบริหารร้านที่ซางตู ส่วนลุงหลิวหย่งเปิดบริษัทตกแต่งภายในของตัวเอง มองอย่างไรรายรับของครอบครัวนี้ก็อยู่เหนือกว่าครอบครัวส่วนใหญ่ของคนยุคเดียวกัน

        ‘ร่วมงาน’ กับ ‘ร่วมหุ้น’ ไม่ค่อยเหมือนกันนัก หลิวเฟินฟังแล้วรู้สึกว่าลูกสาวตนพูดถูก

        ทว่าเธอ๻้๵๹๠า๱ย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

        “ถ้าเกิดเ๹ื่๪๫อะไรกับร้านที่ซางตู พวกเรายังต้องดูแลอยู่ใช่ไหม”

        พอเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า หลิวเฟินจึงรู้สึกสบายใจขึ้น อย่างนั้นก็แสดงว่าเงินที่ร้านเสื้อผ้าซางตูหามาได้จะเป็๲ของหลี่เฟิ่งเหมยทั้งหมด ส่วนเงินที่ได้จากร้านที่ปักกิ่งก็จะเป็๲ของเธอกับเสี่ยวหลานสินะ

        หากขาดทุนก็รับผิดชอบกันเอง ตอนนี้หลิวเฟินรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันหนักอึ้งเป็๞ครั้งแรก

         

         

 

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้