อาหารมื้อนี้ทังหงเอินกินเข้าไปด้วยความรู้สึกสบายใจ
อาหารไม่จำเป็ต้องพิถีพิถันมากมาย เพราะหลังผ่าตัดเดิมทีทังหงเอินกินอาหารทุกมื้อแค่พออิ่มเท่านั้น
แต่บรรยากาศการกินอาหารเช่นนี้ช่างหาได้ยากเหลือเกิน เนื่องจากเป็การกินอาหารเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่การสังสรรค์หรือกินเลี้ยงใหญ่โตแต่อย่างใด
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่คนโง่ การกระทำของย่าอวี๋ชัดเจนเหลือเกิน พอทังหงเอินกลับไป ระหว่างล้างจานเธอจึงขอคำตอบจากย่าอวี๋
ย่าอวี๋หัวเราะออกมา
“เธอมองไม่ออกจริงหรือ”
มองออกสิ ถึงไม่อยากเชื่ออย่างไรเล่า!
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดจนสมองแทบะเิ ทังหงเอินเจอกับแม่เธอแค่ไม่กี่ครั้ง ทำไมถึงเกิดความคิดเช่นนี้กับแม่ของเธอได้?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้คิดว่าหลิวเฟินไม่ควรค่าให้ใครมาชอบพอ หลิวเฟินดีเพียงใดเซี่ยเสี่ยวหลานย่อมรู้ดียิ่งกว่าใคร
การได้เกาะขาคนใหญ่คนโตก็อีกเื่ แต่คนใหญ่คนโตที่ว่ากลับเป็ฝ่ายให้ความสนใจเช่นนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกไม่คุ้นชิน ถ้าแม่ของเธอเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมยินดีอวยพร การอยู่เคียงข้างของลูกหลานและคู่ครองนั้นแตกต่างกัน เซี่ยเสี่ยวหลานมีชีวิตเป็ของตัวเอง เธอไม่อาจเอาความคิดของผู้เป็แม่มาเป็ศูนย์กลางได้ตลอดเวลา เพียงแต่ ‘ดวงความรัก’ ที่เบ่งบานของหลิวเฟิน ออกจะอยู่เหนือความคาดหมายของเซี่ยเสี่ยวหลานไปบ้าง
ทังหงเอินเป็คนอย่างไร แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานค่อนข้างเชื่อใจในตัวเขา
ทังหงเอินเป็คนมีอุดมการณ์ คนอื่นหากอยู่ตำแหน่งเดียวกับทังหงเอิน คงไม่สนใจว่านักลงทุนจากฮ่องกงจะมีประวัติความเป็มาอย่างไร หากสามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจของเผิงเฉิงได้ ก็เท่ากับช่วยทังหงเอินสร้างผลงาน ยอมหลับหูหลับตาข้างหนึ่งจะเป็ประโยชน์กับทุกฝ่ายอย่างแน่นอน
ทว่าทังหงเอินไม่ใช่นักบุญ เขาไม่ยอมสนิทสนมกับใครง่ายๆ หลังไปมาหาสู่กับเซี่ยเสี่ยวหลานจนสนิทกันแล้ว ทังหงเอินถึงให้โอกาสประมูลงานกับ ‘หย่วนฮุย’ และ ‘หย่วนฮุย’ ก็ทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ โดยสามารถคว้างานตกแต่งภายในทั้งโครงการบ้านพักรับรองเทศบาลเมืองมาได้ ซึ่งนั่นก็อยู่เหนือความคาดหมายของทังหงเอินเช่นกัน
‘หย่วนฮุย’ ไม่ได้ทำให้ทังหงเอินเสียหน้า ดังนั้นทั้งสองฝ่ายย่อมติดต่อกันได้ตามเดิม
คนอื่นล้วนพูดว่าทังหงเอินคือผู้หนุนหลังหย่วนฮุย และทังหงเอินก็ไม่คิดจะปฏิเสธหรืออธิบายแต่อย่างใด ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดีว่าระหว่าง ‘หย่วนฮุย’ กับทังหงเอินไม่มีความเกี่ยวข้องกันเื่เงินแม้แต่น้อย
ทังหงเอินไม่สนว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดหรือไม่ เพราะเขามีความสามารถและมีความมั่นใจในตัวเอง รวมถึงมีกฎระเบียบที่ตนยึดมั่นอย่างเคร่งครัด
หากตัวเองไม่ได้รับสินบน ก็ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะพูดอะไร
จากจุดนี้ ทังหงเอินถือเป็คนที่ ‘ปลอดภัย’
ต่อให้ต้องเจอเื่เดือดร้อนจากตำแหน่งหน้าที่ อย่างน้อยก็ไม่มีวันต้องโทษถึงขั้นติดคุก!
“ฝนจะตก หรือแม่จะแต่งงานใหม่ ฉันก็ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งนั้น”
ยังไม่ทันถึงไหนแล้วจะรีบกังวลไปไย เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าตอนนี้คุณอาทังเพียงรู้สึกชื่นชมแม่ของเธอเท่านั้น คนเขายังไม่ทันพูดอะไร เธอที่เป็คนรุ่นหลังจะรีบเป็ห่วงไปทำไมกัน ทังหงเอินเป็คนดีเชื่อถือได้ ดังนั้นเขาไม่มีทางทำร้ายแม่ของเธออย่างแน่นอน ส่วนเื่อื่นควรปล่อยให้เป็ไปตามธรรมชาติ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต!
ย่าอวี๋หยุดคิด เธอเห็นด้วยกับความคิดของเซี่ยเสี่ยวหลาน
“ช่างมองโลกกว้างจริงๆ เป็อย่างที่เธอว่านั่นแล”
หลิวเฟินเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คนแก่อย่างเธอเป็ห่วงไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร
เซี่ยเสี่ยวหลานมองโลกกว้าง โดยปล่อยทั้งหมดไปตามโชคชะตา ตอนนี้เื่ยังไม่ถึงไหน ย่าอวี๋ก็พบว่าตนฟุ้งซ่านเพราะความห่วงใยที่มีต่อหลิวเฟินนั้นมากเกินไป หญิงชราคิดอย่างอ่อนใจ อยู่อย่างสงบไม่ชอบ พอเป็ห่วงหลิวเฟินขึ้นมาก็มักจะควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่เรื่อย
เธอไม่ใช่แม่แท้ๆ ของหลิวเฟินสักหน่อย!
หรือว่าเธอจะถูกสองแม่ลูกคู่นี้ทำของใส่โดยไม่รู้ตัว จู่ๆ ย่าอวี๋กฌโยนผ้าขี้ริ้วในมือทิ้ง ใบหน้าบูดบึ้งเหมือนเพิ่งไปกินรังแตนมา
“ล้างเองแล้วกัน!”
“เฮ้อ ตอนแรกฉันก็ไม่ได้บอกให้ย่ามาล้างนะคะ เช่นนั้นย่าไปพักเถอะค่ะ...”
หญิงชราเริ่มงอแงอีกแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานคิดเสียว่ากำลังกล่อมเด็กน้อยคนหนึ่ง หลังทังหงเอินกลับไปเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ได้คุยอะไรกับหลิวเฟิน และหลิวเฟินยังคงไม่รู้ตัว พอตกบ่ายหลิวเฟินก็ไปดูหน้าร้านที่ถนนซีตันกับเซี่ยเสี่ยวหลาน
ปัจจุบันถนนซีตันเริ่มครึกครื้น การเดินทางก็สะดวกสบายยิ่งขึ้น อยู่ใกล้ก็ขี่จักรยานมา อยู่ไกลก็สามารถนั่งรถประจำทางมาได้เช่นกัน
ซีดันมีร้านค้าที่ได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีหน้าร้านที่ยังคงว่างอยู่
หลิวเฟินอยากได้ที่ไหน เซี่ยเสี่ยวหลานจะคอยเป็ผู้วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียให้ฟัง
สรุปคือพวกเธอเลือกร้านที่มีหน้าร้านกว้าง ปลายปี 1984 การแข่งขันของร้านขายเสื้อผ้าโดยเฉพาะยังไม่สูงมากนัก
พวกที่ขายเสื้อผ้าเก็งกำไร ส่วนใหญ่ยังคงเปิดแผงริมทางขายกันอยู่
เปิดแผงขายริมทางย่อมได้กำไร เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ได้เงินก้อนแรกจากการทำแบบนั้นเช่นกัน แต่ขณะเดียวกันมันก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่นใน่เวลาฝนตกคงขนของออกไปขายไม่ได้ โชคดีที่ตอนนั้นมีติงอ้ายเจินคอยข่มขู่และกดดัน ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานมีแรงผลักดันจนสามารถเปลี่ยนจากการเปิดแผงข้างทางมาเปิดร้านเสื้อผ้าโดยเฉพาะได้ แม้ต้นทุนจะเพิ่ม แต่ระดับของสินค้าก็สูงขึ้นเช่นกัน รวมถึงผลกำไรด้วยเช่นกัน
เดิมทีเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งใจว่าจะทุ่มเทให้กับการเรียนก่อน ส่วนเื่ธุรกิจก็ค่อยๆ เป็ค่อยๆ ไป แต่พอถูกตระกูลจี้กระตุ้นเข้าให้ ไฟในตัวของเธอจึงลุกโชน!
คนอื่นคิดว่าเธอทำไม่ได้ เช่นนั้นเธอจะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นเอง
คนเราต้องแข่งกับตัวเองถึงจะก้าวหน้า ่บ่าย เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินจึงเดินดูหน้าร้านที่ถนนซีตันจนทั่ว
“ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเรา แม่มาเปิดร้านที่นี่ ทุกวันสามารถเดินทางได้สะดวกด้วยค่ะ”
เดินทางไม่ถึงสิบกิโลเมตรไม่นับว่าไกลเกินไปสำหรับปักกิ่ง อีกหน่อยทำงานที่ปักกิ่ง หากพักอยู่แถวอี้เป่ย ระยะเวลาที่ต้องใช้เดินทางไปทำงานทุกวันสามารถทำให้คนกลายเป็บ้าได้ หลิวเฟินรู้ดีว่าหลังเซี่ยเสี่ยวหลานซื้อบ้านคงเหลือเงินอยู่ในมือไม่มากแล้ว
“เงินของบ้านเรายังพอหรือเปล่าลูก”
“ยังไหวค่ะ หลังเช่าร้านได้แล้ว ร้านที่ซางตูก็คงถึงเวลาจ่ายปันผลพอดี... แม่คะ ฉันอยากแยกสองร้านให้เป็อิสระต่อกัน จะได้บริหารจัดการได้สะดวก ร้านที่ซางตูให้ป้าสะใภ้เป็คนดูแล อย่างไรทางนั้นธุรกิจก็เริ่มตั้งตัวได้แล้ว ป้าสะใภ้คนเดียวย่อมสามารถดูแลได้ แล้วฉันจะให้แม่มาเปิดตลาดใหม่ที่ปักกิ่งนะคะ”
ร้าน ‘หลานเฟิ่งหวง’ ที่ซางตูมีมูลค่าเท่าไร
หากประเมินจากราคาตลาดคงไม่สามารถตัวเลขที่แน่นอนได้
ชาวเมืองซางตูให้การยอมรับในร้านเสื้อผ้าแห่งนี้แล้ว อนาคต ‘หลานเพิ่งหวง’ สามารถหาเงินได้ไม่ขาดมือ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สนใจอำนาจการบริหารร้านเสื้อผ้า จึงมอบให้เป็หน้าที่ของป้าสะใภ้เสีย เซี่ยเสี่ยวหลานจะได้ทุ่มเทกับการตั้งธุรกิจที่ปักกิ่งได้อย่างเต็มที่
หลิวเฟินเองก็ไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย เธอแค่สงสัย
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองครอบครัวจะไม่ร่วมหุ้นกันแล้วหรือ”
“ไม่ร่วมหุ้น แต่ยังร่วมงานกันค่ะ ช่วยกันบริหารแบรนด์เสื้อผ้าค้าปลีก ‘หลานเฟิ่งหวง’ ”
ต่างคนต่างเปิดร้านของตัวเอง รับผิดชอบกำไรขาดทุนด้วยตัวเอง
ในแง่กลยุทธ์คือการร่วมมือกัน ทว่าทั้งสองร้านจะบริหารแยกกัน ตอนนั้นที่เซี่ยเสี่ยวหลานลากหลี่เฟิ่งเหมยเข้ามาบริหารร้านเสื้อผ้าด้วยกัน ก็เพราะอยากให้ครอบครัวของคุณลุงมีชีวิตที่ดีขึ้น หลังเวลาผ่านไปหนึ่งปีธุรกิจของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ก็เข้าที่เข้าทาง หลี่เฟิ่งเหมยสามารถบริหารงานได้ตามลำพัง ดังนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานไม่จำเป็ต้องให้ธุรกิจของสองครอบครัวมาผูกติดด้วยกันอีก
ไว้หลิวเฟินย้ายมาปักกิ่งเมื่อไร สองแม่ลูกก็ไม่สามารถทำประโยชน์ให้กับร้านที่ซางตูได้อีกแล้ว หากยังรับเงินปันผลกำไร 60% อยู่ล่ะก็ เซี่ยเสี่ยวหลานย่อมรู้สึกเกรงใจอย่างแน่นอน
แม้จะเป็ญาติกันแต่ก็ควรแบ่งแยกกันให้ชัดเจน ไม่ควรมีใครเอาเปรียบใคร ป้าสะใภ้หลี่เฟิ่งเหมยบริหารร้านที่ซางตู ส่วนลุงหลิวหย่งเปิดบริษัทตกแต่งภายในของตัวเอง มองอย่างไรรายรับของครอบครัวนี้ก็อยู่เหนือกว่าครอบครัวส่วนใหญ่ของคนยุคเดียวกัน
‘ร่วมงาน’ กับ ‘ร่วมหุ้น’ ไม่ค่อยเหมือนกันนัก หลิวเฟินฟังแล้วรู้สึกว่าลูกสาวตนพูดถูก
ทว่าเธอ้าย้ำเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“ถ้าเกิดเื่อะไรกับร้านที่ซางตู พวกเรายังต้องดูแลอยู่ใช่ไหม”
พอเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า หลิวเฟินจึงรู้สึกสบายใจขึ้น อย่างนั้นก็แสดงว่าเงินที่ร้านเสื้อผ้าซางตูหามาได้จะเป็ของหลี่เฟิ่งเหมยทั้งหมด ส่วนเงินที่ได้จากร้านที่ปักกิ่งก็จะเป็ของเธอกับเสี่ยวหลานสินะ
หากขาดทุนก็รับผิดชอบกันเอง ตอนนี้หลิวเฟินรับรู้ได้ถึงแรงกดดันอันหนักอึ้งเป็ครั้งแรก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้