บทที่ 38 กลับถึงตระกูลลู่
โดยเฉพาะพลังวิเศษจากเคล็ดวิชาลับ ‘ไท่ซั่งฮุ่นหวันเจินฝ่า’ ที่ลู่อวี่ฝึกฝนอยู่ น่าจะแข็งแกร่งกว่าพลังมือประทับเสวียนเทียนยิ่งนัก เขาจึงไม่ได้อิจฉาอะไร ยิ่งไปกว่านั้น เวลาและกำลังที่ใช้ไปกับการฝึกฝนพลังวิเศษหนึ่ง เป็รองจากเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนอยู่เท่านั้น ด้วยคุณสมบัติที่เขามีในตอนนี้ จึงไม่จำเป็ต้องไปรวบรวมเคล็ดวิชาลับพลังวิเศษอื่นอีก และแน่นอนว่าหากไม่ใช่พลังวิเศษสูงสุดพวกนั้นก็จะไม่รวมอยู่ในหมวดหมู่นี้เช่นกัน แต่ของพวกนั้นมันล้ำค่าและได้มายาก จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร
ตู้เสวียนเฉิงพยักหน้าและพูดว่า “สหายน้อยสายตาเฉียบแหลม และรอบรู้ยิ่งนัก” พลังวิเศษนี้อยู่กับข้ามาได้ห้าร้อยกว่าปีแล้ว หากไม่มีมันเกรงว่าข้าคงมาไม่ถึงวันนี้ อันที่จริงสำหรับนักพรตแล้ว พลังวิเศษมีเท่าไรนั่นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือขอเพียงมีพลังวิเศษที่เหมาะสมกับตัวเอง! หากได้พลังวิเศษมาสักอย่าง หากมันเหมาะสมกับตัวเอง และเข้าใจถึงแก่นแท้ของมันได้ ถึงแม้จะเป็พลังวิเศษขั้นต่ำ แต่พลังของมันก็จะแข็งแกร่งกว่าพลังวิเศษที่ทรงพลังเพียงผิวเผินเ่าั้ไม่น้อย
แต่ลู่อวี่กลับหัวเราะออกมา ไม่คัดค้านแต่ก็ไม่เห็นด้วย เพราะสำหรับเขาแล้ว พลังวิเศษทั้งหมดที่มี ล้วนไม่มีสิ่งใดดีเท่าเคล็ดวิชาพื้นฐานที่เป็พลังวิเศษจากพร์ที่มีมาโดยกำเนิดได้ แต่ทั่วทั้งเทียนตูนักพรตั้แ่พลังยุทธ์ขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรมจนถึงขั้น์ต่างก็เป็ผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาเดียวกัน เป็ของล้ำค่าที่หายากยิ่งแน่นอน แม้จะเป็ตระกูลใหญ่ที่สืบต่อกันมาเป็หลายพันปีอย่างตระกูลลู่เอง ก็ไม่มีเคล็ดวิชาสุดยอดเช่นนี้ มีเพียงเคล็ดวิชาหนึ่งที่สามารถฝึกฝนจนถึงขั้นเกิดเทพเ้าได้เท่านั้น เคล็ดวิชาลับนี้ถือเป็เคล็ดวิชาลับอันโด่งดังในเทียนตู เช่นนั้นแล้วที่ตู้เสวียนเฉิงพูดมาก็ถูก
ในงานประมูลต่างๆ มีทั้งที่ประมูลขายเคล็ดวิชาลับพลังวิเศษ มีทั้งที่ประมูลของล้ำค่าหายาก และถึงกับมีอาวุธวิเศษล้ำค่าของตระกูลที่สืบทอดต่อกันมาเป็ร้อยเป็พันปีวางขายรอบนอก แต่ยังไม่เคยพบเห็นผู้ใดประมูลขายเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์แบบมาก่อน ไม่เพียงไม่อยากขายหรือกล้าขาย แต่มันไม่มีอยู่แล้ว! อย่าว่าแต่ครบถ้วนสมบูรณ์เลย แม้แต่เคล็ดวิชาที่สามารถฝึกฝนไปจนถึงขั้นฟันฝ่าก็พบเห็นได้น้อยยิ่งนัก
นักพรตส่วนใหญ่ต่างต้องสับเปลี่ยนเคล็ดวิชามากมายในชีวิตหนึ่ง ไม่ใช่พวกเขานึกอยากเปลี่ยน แต่ด้วยเคล็ดวิชาจำนวนมากหากไม่หายสาบสูญ ก็ไม่ครบสมบูรณ์ ดังนั้นจะไม่เปลี่ยนก็คงไม่ได้
เคล็ดวิชาเป็พื้นฐานของทุกสิ่ง มันคือพื้นฐานทั้งหมดที่มีของตระกูลหรือสำนักหนึ่ง ในสมัยโบราณมีคนกล่าวไว้ว่า เงื่อนไขสี่ประการในหนทางการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ต้องปฏิบัติตาม หนึ่งคือเคล็ดวิชา หากไร้เคล็ดวิชา ทุกสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า โดยเฉพาะเคล็ดวิชาที่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบถือเป็สมบัติล้ำค่า
ทั้งสองพูดคุยกันสัพเพเหระ และครั้งนี้เพราะตู้เสวียนเฉิงออกหน้าให้ ทำให้พวกหัวขโมยที่คิดการไม่ดีใกลัวหัวหด ต่างหนีหายไปไม่เห็นแม้แต่ร่องรอย
ความทรงจำที่ตู้เสวียนเฉิงมีต่อตระกูลลู่เลือนรางไม่น้อย แต่เขารู้ว่าตระกูลลู่มีผู้เฒ่าสูงสุดอยู่ผู้หนึ่ง คนผู้นั้นมีพลังยุทธ์ขั้นเกิดเทพเ้าเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังอยู่่กลางของขั้นเกิดเทพเ้าด้วย ซึ่งมีพลังยุทธ์เหนือกว่าเขาที่มีพลังยุทธ์อยู่ใน่ต้นของขั้นเกิดเทพเ้าเท่านั้น แต่เป็เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น ขอเพียงให้เวลาเขาพักฟื้นสักระยะ อีกไม่นานก็จะบรรลุขั้นพลังยุทธ์ได้แล้ว
ลู่อวี่เข้าใจความรู้สึกของตู้เสวียนเฉิงเป็อย่างดี ดังนั้นทันทีที่กลับถึงตระกูลลู่ ตู้เสวียนเฉิงจึงไม่อาจหลบเลี่ยงคนตระกูลลู่ได้จำต้องหยุดทักทาย ด้วยสถานะและพลังยุทธ์ของเขาย่อมทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเื่ที่พลังยุทธ์ของตู้เสวียนเฉิงกำลังฟื้นตัวกลับมา และยิ่งเป็ความพยายามเพียงครั้งเดียวก็เห็นผลสำเร็จ โดยไม่มีการหยุดพักในการบรรลุขั้นพลังยุทธ์ หากถูกเื่ราวเล็กๆ น้อยๆ มาก่อกวนในเวลานี้ คงจะเสียอารมณ์โดยง่าย
ดังนั้นเมื่อเดินทางมาถึงรอบนอกูเาเทียนฉยงของตระกูลลู่ จึงกล่าวขึ้นมาว่า “ผู้เฒ่าตู้ พลังยุทธ์ของท่านเพิ่งจะฟื้นตัว สู้หาสถานที่บริเวณรอบๆ นี้สร้างถ้ำที่พักสักถ้ำหนึ่ง เพื่อฟื้นฟูพลังของตนเองดีหรือไม่ หาก้าอะไรก็ให้มาบอกกับข้า ถึงเวลาข้าจะใช้คนมาส่งให้ท่าน จะได้ไม่ต้องกลับไปแล้วมีเื่ให้รับหน้าจนปลีกตัวแยกออกมาไม่ได้”
คำพูดนี้โดนใจตู้เสวียนเฉิงยิ่งนัก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดออกมาอย่างไรดี แต่ลู่อวี่ดันเสนอหนทางขึ้นมาก่อน ท่านผู้เฒ่าตู้จึงพึงพอใจไม่น้อย อายุเพียงเท่านี้แต่กลับมีความคิดละเอียดรอบคอบเช่นนี้แล้ว นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะเปิดถ้ำบนูเานั้นเป็ที่พักชั่วคราว อยู่บนนั้นข้าไม่้าสิ่งใด ยาอายุวัฒนะที่สหายน้อยให้ข้ามาก็เพียงพอแล้ว ข้าอาจจะต้องเข้าฌานบำเพ็ญเพียรสักพัก หากมีเื่อะไรสหายน้อยโปรดส่งสารมาแจ้งแก่ข้า!” จากนั้นตู้เสวียนเฉิงก็ถือโอกาสมองไปรอบๆ แล้วชี้ไปที่เนินเขาสีเขียวงดงามทางทิศตะวันตกเล็กๆ ลูกหนึ่ง
ลู่อวี่มองตามแล้วพยักหน้ารับ พลางกล่าวว่า “อืม หากไม่มีเื่พิเศษอะไร ่นี้ข้าก็จะไม่ออกจากตระกูลสักระยะ ข้าเองก็ต้องฝึกฝนเช่นกัน ข้ารู้สึกว่าอีกไม่นานจะบรรลุขั้นพลังยุทธ์ขั้นฟันฝ่าได้แล้ว”
“อ้อ? หากสหายน้อยบรรลุขั้นฟันฝ่าไปได้ ระดับความสามารถในการปรุงโอสถก็คงน่าจะเพิ่มพูนขึ้นเช่นเดียวกัน? คงกลั่นยาอายุวัฒนะขั้นสี่ได้เลยใช่หรือไม่?” ตู้เสวียนเฉิงเอ่ยถามด้วยแววตาลุกวาว เขาเองก็ไม่รีบร้อนจากไป เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
ลู่อวี่อมยิ้ม แต่ไหนแต่ไรมาวิชาปรุงโอสถที่เขาแสดงออกมาให้เห็นทั้งหมดนั้นเป็วิธีการปรุงโอสถที่ใช้กันทั่วไป กล่าวถือเป็เพียงวิธีธรรมดาที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีวิธีการปรุงโอสถที่ดีกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้ แต่พลังยุทธ์ของเขาเป็อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการยกระดับวิชาปรุงโอสถมาโดยตลอด แม้ว่าในชาติก่อนเขาจะเป็ถึงปรมาจารย์ปรุงโอสถผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็นับว่าไร้ประโยชน์ เพราะพลังยุทธ์คือรากฐานของทุกสรรพสิ่ง หากไม่มีพลังปราณที่เพียงพอ มีหลายวิธีที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ในทำนองเดียวกัน ก็ไม่สามารถปรุงยาอายุวัฒนะที่มีฤทธิ์แปลกประหลาดหลายชนิดออกมาได้ เพราะฤทธิ์ยายิ่งแปลก ยาวิเศษที่้าก็ยิ่งหายาก และที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ วิธีการปรุงยาจะยิ่งผิดแปลกไปจากเดิมมากขึ้นเท่านั้น
ท่านผู้เฒ่าตู้ไม่ใช่คนปรุงโอสถอาจไม่เข้าใจ ถึงแม้ยาอายุวัฒนะจะถูกแบ่งออกเป็ระดับขั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ายาอายุวัฒนะระดับสูงจะมีประสิทธิภาพมากกว่ายาอายุวัฒนะขั้นต่ำกว่าเสมอไป แม้ว่าระดับขั้นของยาอายุวัฒนะในโลกบำเพ็ญเพียรนี้ จะแบ่งแยกตามขั้นพลังยุทธ์ของผู้ฝึกตน ขั้นพลังยุทธ์ยิ่งสูงระดับยาอายุวัฒนะที่้าก็ยิ่งสูงตามไปด้วย
อันที่จริง ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสรรพคุณของยาอายุวัฒนะมีมากมาย ยิ่งเป็ยาอายุวัฒนะขั้นสูง ก็ยิ่งมีข้อกำหนดที่โหดมากขึ้น ทั้งวัตถุดิบยา เตาหลอมยา พลังยุทธ์ของคนปรุงโอสถ ขั้นพลังยุทธ์ วิธีการ และแม้แต่สถานที่ในการปรุงยาอายุวัฒนะ อุณหภูมิและความเข้มข้นของพลังปราณฟ้าดิน สิ่งเหล่านี้ย่อมมีผลกระทบที่แตกต่างกัน เช่นนั้นแล้ว ยาอายุวัฒนะที่ปรุงออกมาได้ถึงแม้จะระดับขั้นเดียวกัน แต่ก็อาจมีสรรพคุณที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ยกตัวอย่างยาอายุวัฒนะน้ำค้างขาว ที่คนจากเขาหนิงชุยเฟิงปรุงออกมา มันรักษาอาการาเ็ของเมิ่งเทียนอวิ๋นได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ส่วนยาอายุวัฒนะน้ำค้างขาวที่ข้าปรุงออกมา มันสามารถทำให้อาการาเ็ของเขาหายไปในพริบตา! เช่นนั้นเื่ที่ว่าหากปรุงยาอายุวัฒนะขั้นสี่ได้ ก็จะกลายเป็คนปรุงโอสถขั้นสี่ได้นั้น ก็มีแต่คนที่ไม่เข้าใจหนทางของการปรุงโอสถเท่านั้นที่ร่ำลือกัน เพราะสำหรับคนปรุงโอสถแล้ว ไม่เคยมีใครยอมรับเื่เช่นนี้มาก่อน
ตู้เสวียนเฉิงใมองหน้าลู่อวี่ ยิ่งรู้สึกลึกลับกับความเป็มาของนายน้อยตระกูลลู่ผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาไม่เคยได้ยินคำอธิบายที่ลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน แต่สัญชาตญาณบอกว่าสิ่งนี้น่าจะเป็สิ่งที่ถูกต้อง และเื่ราวเหล่านี้ไม่น่าจะเป็สิ่งที่คนปรุงโอสถธรรมดาจะล่วงรู้ได้อย่างแน่นอน
แต่เขาก็รู้ด้วยว่า แม้เขาจะเอ่ยปากถามออกไป ลู่อวี่ก็อาจจะไม่ยอมบอก ดังนั้นจึงไม่เคยถามถึง ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่ตัวเขายังอยู่ข้างกายสหายน้อยผู้นี้ นานวันเข้าย่อมต้องมีเบาะแสที่เขาจะสังเกตเห็นได้
“ดังนั้นจึงมียาอายุวัฒนะขั้นต่ำบางชนิด หากสหายน้อยได้ปรุงออกมา ย่อมมีประโยชน์ต่อข้าเช่นกัน?” จู่ๆ ตู้เสวียนเฉิงก็นึกถึงบางเื่ขึ้นมาได้ และเอ่ยถามด้วยความใ
เมื่อลู่อวี่เห็นว่าในที่สุด ตู้เสวียนเฉิงก็พูดเข้าประเด็นแล้ว จึงไม่ปิดบังอีก เขาพยักหน้าอย่างมั่นใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อันที่จริง ก็เป็เช่นนั้น แต่ปกติแล้วเวลาข้าปรุงยาก็ไม่ได้ใช้ทักษะเหล่านี้ เพราะสรรพคุณของยาต้องมีคุณภาพสูงขึ้น ดังนั้น วิธีการใช้ รวมถึงวิธีการปรุงยา และเวลาก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่พลังยุทธ์ที่ข้ามีในตอนนี้ไม่สามารถรับมือด้วยได้! หากพลังยุทธ์เข้าขั้นฟันฝ่า ไม่เพียงแต่ปรุงยาอายุวัฒนะขั้นสี่ได้ ต่อให้เป็ยาอายุวัฒนะขั้นหก ข้าก็สามารถปรุงยาอายุวัฒนะที่เหมาะสมให้กับผู้เฒ่าตู้ได้!”
ตู้เสวียนเฉิงคือที่พึ่งและไพ่ใบสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา แต่บางครั้งก็ยังต้องเปิดเผยไพ่เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้ตนเองบ้าง แม้ว่าคนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาจะรักษาคำพูด แต่เื่ที่ทุ่มเททั้งกายและใจ หรือทำแบบส่งๆ ทำแบบขอไปทีมันเป็คนละเื่กัน
ตู้เสวียนเฉิงสามารถััถึงความคิดของลู่อวี่ได้อยู่แล้ว ดีใจจนไม่สามารถปกปิดความรู้สึกบนใบหน้าได้ จึงพยักหน้า และโบกมือโยนของบางอย่างให้อีกฝ่าย จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก และเหลือบมองสหายน้อยเพียงแวบหนึ่ง ก่อนที่จะร่างจะหายวับไปในทันที
ลู่อวี่ถือของไว้ในมือ มันคือถุงเก็บของลับใบหนึ่ง แต่มันแตกต่างจากถุงเก็บของธรรมดาตรงที่เป็อุปกรณ์เก็บของที่สามารถบรรจุสิ่งมีชีวิตได้ ในบรรดาอุปกรณ์เก็บของหลายชนิด สิ่งนี้นับว่าวิเศษไม่น้อย ด้วยเป็ของหายาก และมีจำนวนน้อย เช่นนั้นแล้วในแง่ของความล้ำค่าก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าแหวนลับของตัวเขาเอง
ข้างในนี้บรรจุนักพรตชุดดำที่พยายามจับตัวลู่อวี่และพรรคพวกของเขาระหว่างทางกลับได้ เพราะตัวลู่อวี่เองมีความประสงค์อยากจะศึกษาเื่ค่ายกลกระบี่ในภายภาคหน้าถึงได้ยอมออมมือให้ เพราะอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็ยอดฝีมือขั้นตงซวน ยังไม่ใช่คนที่เขาจะควบคุมได้ในเวลานี้ เหตุผลที่ตู้เสวียนเฉิงยังคงเก็บเขาไว้อยู่ คิดว่าน่าจะติดตั้งเวทควบคุมบนตัวของคนผู้นี้ไว้ดีแล้ว ส่วนจะพูดโน้มน้าวและควบคุมคนได้อย่างไร ตอนนี้ลู่อวี่ยังไม่ได้รีบร้อนคิดถึงเื่นั้น ตอนนี้เอาไว้ก่อน เพราะมันไม่สำคัญ หลังจากยอดฝีมือขั้นตงซวนถูกควบคุมตัวไว้และถูกตัดขาดจากพลังปราณฟ้าดิน ก็ไม่มีทางที่จะอดตายในชั่วครู่ชั่วยามนี้ได้
หลังจากเก็บถุงลับแล้ว ลู่อวี่ก็เหลือบมองไปยังทิศทางของตระกูลลู่ และไม่ได้ขึ้นนั่งกระสวยบินอีก แต่เหาะเหินพุ่งทะยานตรงไปยังตระกูลลู่ทันที แม้ว่าความเร็วในการบินของขั้นพลังจิตจะช้ามาก และระดับความสูงก็ต่ำมากเช่นกัน แต่ด้วยระยะทางอันใกล้นี้จึงใช้เวลาไม่นาน
ณ หุบเขาหลิงหยวนในูเาโม่จือ
ลู่ไท่ชังเก็บแสงหลบหนีและยืนอยู่ที่ปากหุบเขา ขมวดคิ้วและมองเข้าไปด้านใน สถานที่แห่งนี้มีค่ายกลกระบี่ป้องกันอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บุ่มบ่ามบุกเข้าไป เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งส่งสารไปขอเข้าพบเ้าของสถานที่แห่งนี้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าเ้าของสถานที่จะยอมมาพบเขาหรือไม่ เขาตามหาที่แห่งนี้พบก็เพราะมีสหายเก่าคอยบอกเบาะแส มิฉะนั้นแล้ว ใครจะคิดว่า ในสถานที่ห่างไกลผู้คนบนูเาโม่จือจะมีคนปรุงโอสถขั้นห้า และพลังยุทธ์ขั้นกำเนิดเทพเ้าผู้หนึ่งหลบซ่อนตัวอยู่?
เพียงแต่ว่าลู่ไท่ชังยังไม่เคยติดต่อกับนักพรตหุบเขาหลิงหยวนผู้นี้มาก่อน และได้ยินสหายแนะนำว่าคนผู้นี้ผูกมิตรเชื่อมสัมพันธ์ด้วยยากยิ่งนัก เช่นนั้นแล้วจึงไม่แน่ใจจริงๆ ว่าการมาเยือนครั้งนี้จะบรรลุตามเป้าหมายหรือไม่
แต่ครั้งนี้มันคือสถานที่ที่หกแล้วที่เขามาเยือน และเป็สถานที่สุดท้ายแล้วด้วย เมื่อเทียบกับความปีติยินดีตอนที่เขาได้รับยาวิเศษมาในครั้งแรก จนถึงการไปเยี่ยมสหายเก่าอย่างมั่นใจเพื่อช่วยปรุงยาอายุวัฒนะ ไปจนถึงความโกรธเกรี้ยวและไม่มีทางเลือกในภายหลังที่ถูกปฏิเสธห้ามไม่ให้ติดต่อกัน ลู่ไท่ชังชักเริ่มสงสัยตัวเองแล้วว่า เขาใช้เวลานานกว่าสิบปีวิ่งไปปกป้องยาวิเศษถึงที่ซีชวน เช่นนี้แล้วเขาโง่เขลาเกินไปหรือไม่
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจากไปของเขา ที่ทำให้ตระกูลลู่ตกอยู่ในความอ้างว้าง หากพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งมากอาจทำให้คนทั้งตระกูลถูกกำจัดเรียบได้ทันที หากเป็เช่นนั้นบาปของเขาคงจะหนายิ่งนัก แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว เส้นทางแห่งการฝึกฝนเดิมทีแล้วมันคือโชคชะตาที่ผู้ใดก็ไม่สามารถกำหนดได้ อันตรายและความยากลำบากที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เพื่อความหวังอันริบหรี่นั้น หากเกิดผิดพลาดขึ้นมา และอยากได้โอกาสนั้นอีกครั้ง ก็คงต้องปล่อยไปตามชะตากรรม เพราะแรงบันดาลใจยากที่จะหาเจอ ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหามันก็อาจจะไม่เจอ! ดังนั้นเขาจึงลองเสี่ยงละทิ้งตระกูลและไปอยู่ในสถานที่อันตรายแห่งหนึ่งในซีชวน หลังจากใช้เวลานานกว่าสิบปี จึงได้ยาวิเศษที่จัดได้ว่าเป็สมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากใน์และโลกมาเม็ดหนึ่ง