ลานพักรับรองด้านนอก บ้านตระกูลเย่
เสว่อู๋เหินยืนอยู่เงียบๆ ภายในลานที่พัก ดวงตาที่แปลกประหลาดของเขาคู่นั้นมีประกายแสงวาบผ่านอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดเื่สำคัญอะไรบางอย่างอยู่ ข้างกายห่างออกไปไม่ไกลมีผู้เฒ่าชุดดำสองคนยืนอารักขาอยู่เงียบๆ
“นายน้อย วันนี้ท่านเป็อะไรไป?” หนึ่งในผู้เฒ่าชุดดำอดไม่ได้จึงเอ่ยถามขึ้น
“หืม?” เสว่อู๋เหินคล้ายกับว่าเข้าใจความหมายของคำถามนั้น คิ้วเขาขมวดเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับมา
ผู้เฒ่าคนเดิมที่พูดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวสำทับขึ้น “ความหมายของข้าคือ เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางวันรู้สึกว่านายน้อยจะบุ่มบ่ามเกินไปหน่อย ภารกิจที่ตระกูลส่งให้พวกเรามาทำในครั้งนี้คือการปรึกษาหารือเกี่ยวกับงานประลองาระหว่างเขตปกครองที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ถ้าหากผิดใจกับตระกูลเย่เพราะเื่หญิงสาวเพียงคนเดียวคงได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน”
“อ๋อ? ผู้เฒ่าม่อคิดว่าข้าชมชอบสาวน้อยคนนั้นก็เลยลงมือหยอกเย้านางอย่างนั้นรึ? เหอะๆ ท่านจะประเมินคนอย่างข้าเสว่อู๋เหินต่ำเกินไปหน่อยแล้ว ขอเพียงข้าเอ่ยปากคำเดียว มีรึผู้หญิงแบบไหนที่ข้าจะหาไม่ได้?” เสว่อู๋เหินคิ้วกระตุกคราหนึ่ง ดวงตาเปล่งประกายของความโลภอยากได้วาบผ่านไปมา ที่มุมปากแสยะยิ้มชั่วร้ายขึ้น “ที่ข้าสนใจคือ...สาวน้อยคนนี้เป็ผู้หญิงพิเศษคนเดียวที่มีในโลก ผู้เฒ่าสือ...เื่ที่ข้าให้ท่านไปสอบถามได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”
ผู้เฒ่าอีกคนหนึ่งพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “สาวน้อยนางนั้นชื่อว่าเย่ชิงอวี่ คนที่นายน้อยทำร้ายจนาเ็วันนี้มีชื่อว่าเย่ชิงหานเป็พี่ชายของนางซึ่งเป็ลูกชายของเย่เตา เย่ชิงอวี่เป็เด็กที่เย่เตาเก็บมาเลี้ยง หลังจากที่เย่เตาตายไปฐานะความเป็อยู่ของทั้งสองก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้เรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก”
“อ๋อ...ลูกชายของเย่เตา! มีนิสัยคล้ายเย่เตา แต่น่าเสียดายที่ไม่มีพร์เหมือนเย่เตา เป็เพียงไอ้ขยะตัวหนึ่งที่ไม่มีค่าควรแก่การใส่ใจ เย่เตาผู้นี้มีพร์ล้ำเลิศ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่รัศมีกดทับคนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างบิดาข้าเป็เวลายี่สิบกว่าปี คิดไม่ถึงว่าสายตาของเขาจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ เอ๊ะ...! หรือว่าเขามองออกต้องแต่แรกแล้วจึงได้เก็บไว้ให้ลูกชายของเขา? ไม่ได้แล้วอย่างนี้ ชักช้าไปอาจจะไม่ทันการ...!” เสว่อู๋เหินส่ายหัวไปมาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงพูดขึ้นด้วยเสียงที่หนักแน่น “ผู้เฒ่าสือท่านรีบกลับไปยังตระกูลโดยด่วน บอกท่านปู่ข้าว่าข้าขอยาพลังปราณหิมะระดับสูงยี่สิบกระปุก ข้าจะนำมาสู่ขอเย่ชิงอวี่...ข้าจะแต่งนางมาเป็ภรรยา!”
“ว่าอย่างไรนะ...? ยาพลังปราณหิมะระดับสูงยี่สิบกระปุกเพื่อมาสู่ขอเย่ชิงอวี่?”
ประโยคที่เสว่อู๋เหินพูดออกมาคล้ายดั่งเสียงกัมปนาทที่ดังสั่นะเืเลื่อนลั่น ทำเอาจิตใจของทั้งสองผู้เฒ่าหวั่นไหวไปตามๆ กัน ยาพลังปราณหิมะคืออะไร? นั่นมันยาระดับสูงที่หายากมากชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้
ระดับขั้นคุณภาพของยาในทวีปัเพลิงแบ่งเป็ ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง และระดับเทพ เป็สิ่งที่ใช้เพื่อส่งเสริมพลังปราณรบแก่ผู้ฝึกยุทธ์ได้ดีที่สุด ขั้นตอนในการปรุงค่อนข้างซับซ้อนและจำเป็ต้องใช้ตัวยาหลากหลายชนิด สำหรับยาระดับต่ำทั่วๆ ไปราคาตามท้องตลาดจะอยู่ที่หนึ่งร้อยก้อนผลึกพลังต่อหนึ่งกระปุก
ยิ่งถ้าเป็ยาพลังปราณหิมะระดับสูงที่มีเฉพาะในตระกูลเสว่ ต่อให้มีเงินทองมากมายเพียงใดก็ยากที่จะหาซื้อได้สักเม็ดหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็ของล้ำค่าที่หาซื้อไม่ได้ตามท้องตลาดทั่วๆ ไป ก็ดูเอาว่าเมื่อสักครู่ที่เย่หรงบอกเย่ชิงหานให้ไปเบิกยารักษาอาการาเ็ที่หอผู้คุมกฎ ตัวยานั้นเป็เพียงแค่ยารักษาอาการาเ็ระดับต่ำที่สุดเท่านั้น แถมให้เบิกได้เพียงเม็ดเดียว เพียงเท่านี้ก็พอจะเห็นชัดแล้วว่ายาเป็ของล้ำค่ามากมายเพียงใด แต่เสว่อู๋เหินกลับจะใช้ยาพลังปราณหิมะระดับสูงถึงยี่สิบกระปุกเพียงแค่เพื่อมาสู่ขอเย่ชิงอวี่ อย่างนี้จะไม่ให้ทั้งผู้เฒ่าสือและผู้เฒ่าม่อสีหน้าตกอยู่ในอาการหวั่นไหวได้อย่างไร?
“มันจะ...?” ผู้เฒ่าสือลังเลอยู่ครู่หนึ่งและคล้ายกับว่าคิดอะไรขึ้นมาได้จึงพูดขึ้น “หรือว่าสาวน้อยนางนี้มีอะไรที่พิเศษ?”
“หึๆ! คนอื่นมองไม่ออกแต่เนตรหยินหยางของข้าสามารถมองเห็นอะไรบางอย่าง สาวน้อยนางนี้มีลักษณะพิเศษทางร่างกายหายากที่เรียกว่า...ร่างหยกิญญา!” เสว่อู๋เหินใบหน้าแม้จะดูราบเรียบไร้ความอารมณ์ใดๆ แต่น้ำเสียงที่พูดออกมากลับเต็มไปด้วยความดีอกดีใจแสดงออกมาอย่างชัดเจน
“โอ้! หนึ่งในสองลักษณะพิเศษทางร่างกายระดับเทพ...ร่างหยกิญญา”
ทั้งผู้เฒ่าสือและผู้เฒ่าม่อต่างร้องออกมาเป็เสียงเดียวกันอย่างลืมตัว ทั้งสองมองหน้ากันเห็นได้ชัดถึงอาการสะดุ้งใที่แสดงออกมาทางดวงตาของแต่ละคน แต่สักพักก็แปรเปลี่ยนเป็ความดีอกดีใจอย่างบ้าคลั่ง
ลานที่พัก บ้านตระกูลเย่ฝั่งตะวันออก
“ท่านพี่ ท่านนอนพักสักครู่ เดี๋ยวข้าจะไปเอายาที่หอผู้คุมกฎมาให้” เย่ชิงอวี่พยุงพี่ชายกลับมาถึงลานที่พัก นางให้เขานอนลงพักผ่อนส่วนตนเองไปตักน้ำเพื่อมาเช็ดทำความสะอาดาแให้เขา
“ไม่ต้องไป!” เย่ชิงหานจับแขนของนางไว้ ที่มุมปากของเขาปรากฎรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “ชิงอวี่ พวกเราไม่้าความสงสารจากพวกเขา ถึงแม้พวกเราจะจน แต่ก็จนอย่างมีศักดิ์ศรี าเ็เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ข้าไม่เป็อะไรหรอก พักรักษาตัวสักวันสองวันก็หายเป็ปกติแล้ว ส่วนเ้า...ออกไปก่อนเถอะ ข้าพักสักเดี๋ยวก็น่าจะดีขึ้นแล้วละ”
“แต่ว่าท่านพี่...อาการาเ็ของท่าน...?” คิ้วที่เรียวงามของนางขมวดเข้าหากัน สีหน้าแสดงให้เห็นถึงความห่วงกังวลเป็อย่างยิ่ง
แต่เมื่อนางมองเห็นถึงสีหน้าอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างคิ้วของเขา จึงได้แต่เม้มปากระงับคำพูดที่จะกล่าวออกมา จากนั้นจึงกำชับไปสองสามประโยคแล้วเดินออกจากห้องไป
“ฮู่ววว...”
หลังจากที่น้องสาวออกไป เย่ชิงหานถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่งแล้วนั่งเอ๋อๆ อยู่บนเตียงคล้ายกับคนสติเลื่อนลอยฉันนั้น
“คนดีถูกคนรังแก ม้าเชื่องถูกคนขี่ บนโลกใบนี้หากไม่มีพลังฝีมือคงถูกคนรังแกอยู่ร่ำไป ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความเป็คน คล้ายกับปลาที่อยู่บนเขียงรอคอยคนมาต้มยำทำแกง!”
เื่ที่เกิดในวันนี้กระทบกระเทือนจิตใจของเย่ชิงหานเป็อย่างมาก เดิมทีมีความคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบสงบไปตลอดชีวิต แต่บัดนี้มันได้มลายหายไปหมดสิ้นแล้ว
เขาและเย่ชิงขวงต่างก็เป็ลูกหลานสายเืโดยตรงและเป็นายน้อยของตระกูล แต่ทำไมคนในตระกูลกลับรู้จักและให้การยอมรับแค่เย่ชิงขวง ไม่ว่าใครที่พบเจอก็ต้องเรียกขานด้วยความเคารพว่า "นายน้อยใหญ่!"
ตนเองและเสว่อู๋เหินต่างก็เป็ทายาทของห้าตระกูลใหญ่ แต่ทำไมเสว่อู๋เหินที่มีผู้อารักขามาถึงเมืองชางลงมือทำร้ายตนจนาเ็ แต่เย่ซานหู่กลับไม่กล้าแตะต้องเขา? มิหนำซ้ำเย่หรงและเย่ชิงขวงยังออกหน้าปกป้องอีก
ทำไมถึงเป็เช่นนี้? ทำไม...?
เหตุผลของเื่ทั้งหมดคงหนีไม่พ้นสองคำนี้ “พลังฝีมือ!”
ตอนนี้เย่ชิงขวงอายุยี่สิบห้าพลังฝีมืออยู่ในระดับแรกของขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ มีสัตว์อสูรระดับเจ็ด เมื่อรวมร่างกับสัตว์อสูรจะเทียบได้กับผู้มีพลังฝีมือระดับสูงสุดของขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ ถูกจัดให้อยู่ในทำเนียบผู้มีพลังฝีมือระดับชั้นปฐี
ส่วนเสว่อู๋เหินได้รับการยอมรับว่าเป็ผู้ที่มีพร์ที่โดดเด่นหาได้ยากในรอบร้อยปี อายุยี่สิบหกปีพลังฝีมืออยู่ในระดับขั้นที่สามของขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ หากนับรวมสุดยอดวิชาประจำตระกูลวิชาเพาะเลี้ยงหนอนแมลงพิษเข้าไปด้วย ไม่แน่ว่าผู้มีพลังฝีมือในระดับแรกของขอบเขตนักรบจะเอาชนะเขาได้โดยง่าย ถูกจัดให้อยู่ในอันดับสิบของทำเนียบผู้มีพลังฝีมือระดับชั้นปฐี
วิถีของการฝึกยุทธ์เริ่มั้แ่ ระดับขอบเขตปุถุชน ระดับขอบเขตผู้กล้า ระดับขอบเขตขั้นสูง ระดับขอบเขตยอดยุทธ์ ระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ ระดับขอบเขตนักรบ...ช่องว่างด้านพลังระหว่างระดับขอบเขตขั้นสูงกับระดับขอบเขตนักรบห่างกันถึงสามระดับขอบเขตใหญ่เก้าขั้นระดับย่อย มันไม่ใช่อะไรที่ต่างกันเพียงแค่เล็กๆ น้อยๆ และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ ตนเองไม่สามารถเรียกสัตว์อสูรซึ่งเป็ลักษณะพิเศษเฉพาะของคนตระกูลเย่ออกมาได้ อีกทั้งบิดามารดาก็ได้จากไปหมดแล้ว หากพูดแบบไม่เกรงใจก็อาจกล่าวได้ว่าตนเองตอนนี้ไม่มีทั้งอำนาจ ไม่มีทั้งฝีมือ กลายเป็ลูกหลานของตระกูลชายขอบ เป็นายน้อยปลอมๆ ที่มีแต่ชื่อ
“ชีวิตที่สงบเรียบง่าย? เหอะๆ...” เย่ชิงหานกำหมัดแน่น ใบหน้าเด็ดเดี่ยว ดวงตาเป็ประกาย ภายในใจครุ่นคิดตัดสินใจอะไรบางอย่าง สายตาเหลือบมองกล่องไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “คัม...ภีร์...ลับ...เื...เทพ...หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
หลังจากที่บิดาเสียชีวิตฐานะบ้านลูกคนรองก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ สิ่งต่างๆ ที่ตนต้องเผชิญและแบกรับ การคุกเข่าอ้อนวอนหน้าประตูลานที่พักฝ่ายหอผู้าุโในคืนฝนตก สัตย์สาบานที่ให้ไว้ต่อหน้าหลุมฝังศพของมารดา โดนดูถูกเหยียดหยามกลางถนนใหญ่ ทั้งหมดทั้งมวลที่เผชิญมาทำให้เย่ชิงหานไม่มีทางเลือกอื่นอีก
พลังฝีมือ...มีเพียงพลังฝีมือที่แข็งแกร่งเท่านั้น! เย่ชิงหานไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ไม่เคยมีความปรารถนาต่อพลังฝีมืออย่างรุนแรงเช่นนี้มาก่อน เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไปตายเอาดาบหน้าทดลองฝึกฝนวิชาลับเืเทพที่บิดาทิ้งไว้ให้
เดิมพันดูสักครั้งแล้วกัน!
ชีวิตเมื่อโลกที่แล้วเคยมีคนกล่าวไว้ว่า "เดิมพันชนะ...ผักกาดขาวก็แลกเป็เต้าหู้ได้ ชนะพนัน...จักรยานก็สามารถกลายเป็มอเตอร์ไซค์" เพราะไม่มีทางเลือกอื่นอีก จึงจำเป็ต้องเลือกวิธีการที่เสี่ยงเช่นนี้ เพื่ออนาคตแล้วแม้จะแลกมาด้วยชีวิตของตนก็ต้องยอม
เย่ชิงหานยันกายลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก เขาเดินมาหยิบสมุดบันทึกสีเหลืองเก่าคร่ำครึออกมาจากกล่องไม้แล้วจึงกลับไปยังเตียง จากนั้นเริ่มเปิดอ่านสิ่งที่อยู่ข้างในคัมภีร์ลับเืเทพอย่างละเอียด
“คัมภีร์ลับเืเทพ เป็เคล็ดวิชาที่ตัวข้าคิดค้นขึ้นจากการศึกษาหนังสือที่ตกทอดมาภายในตระกูลหลายร้อยเล่ม รวมไปถึงประสบการณ์การฝึกยุทธ์ของตนเองอีกหลายปี โดยทำการศึกษาค้นคว้าอย่างยากลำบากอยู่เป็เวลาหลายปีถึงได้สำเร็จ หากฝึกฝนวิชาลับวิชานี้สำเร็จไม่เพียงแค่คุณสมบัติทางร่างกายจะดีขึ้น พร์ด้านการฝึกพลังยุทธ์ก็จะเพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน สามารถหลอมเืเปลี่ยนกระดูก เพิ่มความเข้มข้นให้กับของเหลวภายในร่างกายให้หนาแน่นขึ้น สรุปคือ หากฝึกจนสำเร็จจะเป็ผู้ที่สามารถฝืนลิขิตฟ้าเปลี่ยนแปลงโชคชะตา มีอำนาจ่ชิงพลังฟ้าดินอย่างแท้จริง...”
“โถๆ! ท่านพ่อน่ะท่านพ่อ ข้าได้เห็นธาตุแท้จริงๆ ของท่านก็วันนี้แหละ ไม่เพียงออกท่องไปทั่วยุทธภพเพื่อเสาะหาของวิเศษแต่ดันได้แหวนเลียนแบบมาแทน ตอนนี้ยังมีอาชีพเป็ตัวแทนขายฝีปากดีหลอกขายประกันอีกด้วยเรอะ...!”
เย่ชิงหานหมดคำที่จะพูดจริงๆ กับบิดาผู้ที่แม้แต่ใบหน้าก็ยังไม่เคยพบเจอผู้นี้ เขาอ่านบันทึกต่ออีกราวครึ่งชั่วโมงก็ยังพบเจอแต่คำพูดที่ไร้สาระ แต่ก็ข่มอารมณ์ฝืนทนอ่านต่อไป
“ตระกูลทั้งห้า ลูกหลานของเทพา ภายในร่างมีเืเทพอยู่ไม่มากก็น้อย แต่ละตระกูลต่างมีเคล็ดวิชาลับเฉพาะของตนที่ตกทอดมาจากเหล่าเทพา ซึ่งมีไว้ใช้ปลุกพลังทางสายเื เมื่อพลังทางสายเืถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ผู้ที่เป็เ้าของก็จะสามารถนำพลังนั้นมาใช้เพิ่มพูนพลังฝีมือให้แก่ตนเองได้
ดังเช่นตระกูลเย่ลูกหลานของเทพอสูร หากปลุกพลังทางสายเืให้ตื่นขึ้นได้ ก็จะสามารถใช้พลังเทพาช่วยในการเรียกสัตว์อสูรจากหุบเขาอสูรออกมาได้ ส่วนระดับของสัตว์อสูรที่เรียกออกมาขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของพลังทางสายเื ดังที่ข้าเคยกล่าวไปแล้วสิ่งนี้ไม่ใช่เื่เหลวไหลไร้เหตุผล หากฝึกได้สำเร็จอย่างน้อยที่สุดสามารถเรียกสัตว์อสูรระดับเจ็ดออกมาได้ แต่ก็ต้องจดจำไว้ว่าวิชาลับนี้ฝืนลิขิตฟ้าไม่ใช่วิชาธรรมดา การฝึกฝนย่อมอันตรายเป็อย่างมาก หากยังยืนกรานที่จะฝึกควรเขียนพินัยกรรมไว้ให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น...”
ขั้นตอนในการฝึกฝนมีดังต่อไปนี้
ขั้นตอนแรก - ถ่ายเื! ถ่ายเืออกจากร่างกายทิ้งไปหนึ่งในสี่ส่วน ข้อควรระวังของขั้นนี้...การสูญเสียเืมากเกินไป ร่างกายจะร้อนมีไข้สูง
ขั้นตอนที่สอง - บำรุงเื กินยาสดๆ ที่ปรุงด้วยสูตรลับติดต่อกันสิบห้าวัน ข้อควรระวังของขั้นนี้...สติเลอะเลือน เป็บ้าปัญญาอ่อน
ขั้นตอนที่สาม - หลอมโลหิต ใช้เข็มเงินปักตามจุดชีพจรลมปราณทั่วร่างทั้งสิบสองจุดทำทุกวัน วันละสามเวลา เช้า กลางวัน เย็น ข้อควรระวังของขั้นนี้...การปักเข็มเงินผิดจุด วรยุทธ์สูญสลาย
ขั้นตอนที่สี่ - ตัดเื ทำการปิดกั้นเส้นเืและการไหลเวียนของเืภายในกายทั้งหมดในขณะร่วมพิธีปลุกพลังทางสายเื เป็การกระตุ้นเืเทพที่อยู่ภายในกายให้ออกมาป้องกันตนเอง และยังช่วยเพิ่มโอกาสในการปลุกพลังเทพาอีกด้วย ข้อควรระวังของขั้นนี้ การไหลเวียนของเืกลับตาลปัตร เส้นชีพจรขาดสะบั้น สุดท้ายล่องลอยไปแดนสุขาวดี...
“xxxxxx ท่านพ่อน่ะท่านพ่อ! ท่านนี่ไม่ใช่คนปกติจริงๆ วิชาแบบนี้ยังจะมีคนฝึกอยู่อีกรึ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้