คำกล่าวหาของแม่เฒ่าเซี่ยนี้ทำเอาจางชุ่ยโมโหจนหน้าแดงก่ำ แม้เธอจะรู้ความตั้งใจของเซี่ยฉางเจิง แต่เมื่อโดนแม่เฒ่าเซี่ยปรักปรำว่าเธอแอบคบชู้สู่ชาย จางชุ่ยก็ยังรู้สึกฉุนเฉียวอยู่ดี!
เซี่ยฉางเจิงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “แม่ แม่พูดอะไรน่ะ ลูกหลานได้ยินเข้ามันจะไม่ดีนะ”
จางชุ่ยก้มหน้าไม่พูดไม่จา สองแม่ลูกร้องรับส่งเข้าขา ร่วมมือกันได้สามัคคียิ่งนัก แม่เฒ่าเซี่ยระบายโทสะในใจออกมามากกว่าครึ่งหนึ่ง แค่นยิ้มให้จางชุ่ย “บ้านเราไม่แยกครอบครัว เธอเอาเงินที่หาได้ก่อนหน้านี้ออกมา ต่อไปให้เธอและครอบครัวเ้าสามดูแลธุระในร้านด้วยกัน”
หวังเจี้ยนกุ้ยระริกระรี้ยิ่งนัก
จางจุ้ยเงยหน้าขึ้นมาถลึงตาใส่
ให้เธอส่งมอบ ‘จางจี้’ เข้าส่วนกลางบ้านเซี่ย?
หญิงชราคิดไว้เสียสวยหรู แต่ที่ ‘จางจี้’ สามารถริเริ่มเปิดกิจการมาได้นั้น แม้แต่เซี่ยฉางเจิงยังไม่ได้ลงแรงด้วยซ้ำ ทั้งหมดคือสองมือสองเท้าของจางชุ่ย ั้แ่เข็นแผงลอยเคลื่อนที่จนในที่สุดก็มีหน้าร้าน ฝึกฝนฝีมือทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ สะสมเงินทุน ตอนนี้จะให้เธอส่งมอบเป็กองกลางบ้านเซี่ย... เช่นนั้นเธอยินดีหย่าแบบหลิวเฟินเสียยังดีกว่า!
เซี่ยฉางเจิงด่าทอภรรยาเพื่อเป็การแสดงเท่านั้น ทำไมเขาจะต้องแบ่งเงินของตนเองให้บ้านเซี่ยหงปิงครึ่งหนึ่งกัน?
ทุกวันนี้การไม่แบ่งครอบครัวกลายเป็สิ่งที่คร่ำครึแล้ว เซี่ยฉางเจิงกระแอมสองสามที
“แม่ ให้เธอส่งเงินที่ได้ให้ฉันก็พอ ร้านเกี่ยวอะไรกับพวกหงปิงกันเล่า งานในไร่นาที่บ้านไม่ต้องมีคนทำแล้วหรือ?”
เซี่ยหงปิงคิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะมีโชคลาภเช่นนี้ร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า จึงรีบโพล่งขึ้นทันที จับประเด็นของแม่เฒ่าเซี่ยไว้มั่น “พี่ใหญ่ พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ตอนหลานสาวคนโตเรียนหนังสือก็บอกว่าทุกคนเป็ครอบครัวเดียวกัน ขอให้พวกเราช่วยออกค่าเล่าเรียน เงินส่วนนี้ฉันและพี่รองไม่ได้ออกหรือ? บ้านพี่แอบหาเงินมากมายอยู่ในเมือง ยังจะรีดเงินจากน้ำพักน้ำแรงน้องชายอีก การทำแบบนี้ไม่จริงใจเท่าไรเลยนะ หลานสาวฉันก็อีกคน นักศึกษาช่างล้ำค่าเหลือเกิน ไม่ขัดสนเงินค่าเล่าเรียนกับค่าใช้จ่ายแท้ๆ แต่กลับรับเงินที่พวกอาให้ไปอย่างสบายใจ... ฉันจะไปถามหลานว่าตกลงแล้วเธอรับรู้เื่นี้หรือไม่!”
แม้เซี่ยหงปิงไม่ได้ออกเงินมากมาย แต่พอพูดถึงก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อย
ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าจางชุ่ยเปิดร้านในตัวเมือง จึงควักเงินส่งเซี่ยจื่ออวี้เล่าเรียนอย่างเชื่อฟัง เซี่ยจื่ออวี้ไม่ได้เพียงสอบติดมหาวิทยาลัยถึงขอให้คนทั้งบ้านเซี่ยรวบรวมเงิน แต่บ้านเซี่ยรวบรวมเงินให้เธอั้แ่เริ่มเรียนมัธยมปลายแล้ว ทุกเดือนต้องส่งค่าครองชีพไปยังโรงเรียน ด้วยแม่เฒ่าเซี่ยกลัวว่าหลานสาวจะกินอยู่ไม่ดีแล้วจะกระทบต่อการเรียน
ไม่เพียงแต่ส่งเสียเซี่ยจื่ออวี้ จางชุ่ยที่ซักผ้าทำอาหารให้เซี่ยจื่ออวี้ในเมืองเองก็ไร้รายได้ ถือว่าเซี่ยจื้ออวี่ถูกเลี้ยงดูโดยคนทั้งครอบครัวโดยแท้
เลี้ยงดูบ้าบออะไรกันเล่า ทั้งบ้านโดนครอบครัวพี่ใหญ่สามคนหลอกลวงเสียจนหัวหมุน พี่รองของเขาเบาปัญญาที่สุดจึงเสียสละมากที่สุด ตัวเขาเซี่ยหงปิงแม้จะไม่ได้ออกเงินมากมายนักแต่ก็ออกเงินไปตั้งหลายปีเชียว
สถานะเถ้าแก่ของ ‘จางจี้’ ถูกเปิดเผย ตระกูลเซี่ยย่อมทะเลาะกันใหญ่โต
จางชุ่ยไม่มีทางส่งมอบเงิน ส่วนเซี่ยฉางเจิง้าแยกบ้าน
ทว่าเซี่ยหงปิงไม่ได้รับมือง่ายขนาดนั้น ร่วมมือกับหวังจินกุ้ยตอแยไม่จบไม่สิ้น ราวกับจะฉีกเนื้อพี่ใหญ่ออกมาทั้งเป็ให้ได้ เื่แยกบ้านเขาไม่เห็นด้วยแน่นอน เขาไม่อยากทำไร่ทำนาอยู่บ้านคนเดียวหรอกนะ มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องเปิดร้านนั่น สองพี่น้องกลับบ้านมาเป็เกษตรกรด้วยกัน หรือไม่ก็ไล่คนจากบ้านมารดาจางชุ่ยออก เปลี่ยนเป็เซี่ยหงปิงและหวังจินกุ้ยเข้าไปทำงานที่จางจี้แทน
“พี่ใหญ่ พี่น้องร่วมใจถึงจะทำการใหญ่ได้ คนอื่นล้วนคือคนนอกตระกูล พวกเราต่างหากที่ใช้แซ่เดียวกัน”
แม้แซ่เดียวกัน คลานออกมาจากครรภ์มารดาคนเดียวกัน ก็ไม่สนิทชิดเชื้อเท่าสามีภรรยาที่นอนหลับเตียงเดียวกันจนมีลูกมีเต้าอยู่ดี เซี่ยฉางเจิงต้องสมองผิดปกติก่อนจึงจะฟังคำพูดของเซี่ยหงปิง ทว่านิสัยของเซี่ยหงปิงกับเซี่ยต้าจวินนั้นไม่เหมือนกัน ล่อหลอกยากไม่เบา ไม่ได้คลุกคลีกันไม่กี่เดือน เซี่ยฉางเจิงรู้สึกว่าน้องชายคนนี้กลายเป็ตัวปัญหาเข้าเสียแล้ว
แต่แม่เฒ่าเซี่ยกำลังอยู่ในอารมณ์โมโหจึงยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับเซี่ยหงปิง
เซี่ยฉางเจิงอยากแยกบ้านเสียเต็มประดา ทว่าแม่เฒ่าเซี่ยและเซี่ยหงปิงกลับไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดพ้น ทะเลาะกันจนถึงท้ายที่สุดก็ยังแยกบ้านไม่สำเร็จ อีกทั้งต้องยอมถอยหนึ่งก้าว ยินยอมให้เซี่ยหงปิงและหวังจินกุ้ยสองสามีภรรยาไปช่วยงานในร้าน
ส่วนจางหม่านฝูและเจียงเหลียนเซียง ย่อมจ้างไม่ได้แล้วแน่นอน
ทุกวันนี้จางจี้ค้าขายได้ไม่ดี จ้างลูกจ้างสี่คนพร้อมกันได้ที่ไหน?
แต่พอเรียกร้องให้จางชุ่ยส่งมอบเงินครึ่งหนึ่งที่หาได้ก่อนหน้านี้อีกครั้ง จางชุ่ยกัดฟันแน่นไม่ยอมบอกความจริง
“ไม่ได้เก็บเงินไว้จริงๆ เปิดร้านนี้ฉันต้องส่งของขวัญไปทั่ว ถ้ามีเงินฉันคงรับจวิ้นเป่าเข้าไปเรียนในเมืองตั้งนานแล้ว!”
เธอกล่าวเช่นนี้ใครก็ไม่เชื่อ
เซี่ยหงเซี๋ยที่ยืนอยู่ข้างๆ อยากบอกว่าเห็นจางชุ่ยนำเงินจำนวนมากให้เซี่ยจื่ออวี้ด้วยซ้ำ ทว่าบิดาของเธอเซี่ยหงปิงคิดว่าไม่ควรที่จะกดดันพี่ใหญ่และภรรยาจนจนมุม ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงได้แตกหักกันจริงๆ คิดได้ดังนั้นเขาจึงไม่ปล่อยให้เซี่ยหงเซี๋ยพูดออกมา
เซี่ยหงปิงยิ้มกว้างเอาอกเอาใจมารดา
“แม่ก็ควรไปกำกับอยู่ที่ร้านนะ ฉันว่าพวกเราย้ายไปอยู่ในเมืองด้วยกันหมดเลยจะดีกว่า เพาะปลูกอยู่บ้านได้เงินไม่เท่าไร หากำไรจากคนในเมืองง่ายกว่าเยอะ”
แม่เฒ่าเซี่ยถูกลูกชายคนเล็กยกยอจนสบายอกสบายใจ
เข้าไปอาศัยในเมืองต้องดีแน่นอน ในตัวเมืองคึกคัก อีกอย่างอะไรก็มีขาย ถนนหนทางสะอาดเอี่ยม ไม่เหมือนชนบทที่ทุกหนแห่งคืออุจจาระสุนัขและมูลไก่ ได้ยินว่าคนเมืองใช้น้ำประปากัน หุงอาหารด้วยถ่านรังผึ้งทั้งหมด ไม่ต้องหาบน้ำดื่มและผ่าฟืนใช้อย่างในชนบท ที่สำคัญคือคนเมืองไม่ต้องลงไร่ทำงานในนา ทุกเดือนหน่วยงานจะจ่ายเงินเดือนให้ ซื้อข้าวซื้อน้ำให้กิน หลายปีก่อนคนเมืองหากใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์ สะสมตั๋วผ้าจึงจะสามารถตัดเสื้อผ้าใหม่ได้ แต่เกษตรกรไม่มีแม้กระทั่งที่ให้หาตั๋วประเภทต่างๆ เลย!
ซื้อจักรยานยังต้องใช้ ‘ตั๋วสินค้าอุปโภคบริโภค [1] ’ เกษตรกรจะไปหาได้จากไหนกัน
สิ่งที่คนชนบทปรารถนาก็คือการเป็คนเมือง มิเช่นนั้นพอเซี่ยจื่ออวี้สอบติดมหาวิทยาลัย คนตระกูลเซี่ยทุกคนจะยินดีปรีดาขนาดนั้นหรือ?
เซี่ยจื่ออวี้ที่สอบติดมหาวิทยาลัยจะกลายเป็คนเมืองก่อนใคร หากอนาคตไกลก็จะพาทั้งครอบครัวไปเป็คนเมืองด้วยกัน
แม่เฒ่าเซี่ยคิดถึงชีวิตของคนในเมืองก็รู้สึกอิจฉาและใฝ่ฝันยิ่งนัก เวลานี้เธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าทั้งบ้านใช้ทะเบียนบ้านชนบท ถ้าครอบครัวใหญ่เข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองกันหมด ใครจะเพาะปลูกบนที่ดินของครอบครัวเล่า? แม้จะไม่ทำไร่ทำนา แต่ผลผลิตของทุกปียังต้องส่งเหมือนเดิม ค่าบำรุงก็ต้องจ่าย... นอกเสียจากหนีหายไร้ร่องรอยแบบเซี่ยต้าจวิน หากทั้งบ้านหนีเข้าเขตอันชิ่ง เ้าหน้าที่ในหมู่บ้านก็จะไม่สามารถเรียกเก็บเงินพวกนี้ได้แล้ว!
เซี่ยฉางเจิงจนปัญญา
หากในบ้านไม่เหลือคนไว้เพาะปลูก ตอนส่งผลผลิตจะให้เขาจ่ายเงินซื้อทั้งหมดหรือ?
“แม่ การรับแม่เข้าไปอยู่ในเมืองเป็เื่ที่สมควรอยู่แล้ว ใครคัดค้านฉันจะชกมันให้ตาย แต่บ้านเราที่นี่จะไร้คนคอยดูแลไม่ได้ พวกเราแออัดอยู่บ้านหลังร้าน แม่ก็เห็นแล้วนี่ว่าที่นั่นมีกี่ห้อง ผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งครอบครัวรวมกันสิบกว่าคนจะอยู่ได้หรือ?”
เรือนหลังร้านมีสี่ห้อง ไล่จางหม่านฝูและเจียงเหลียนเซียงไป อันที่จริงห้องหับก็พอจุคนได้
เซี่ยฉางเจิงและจางชุ่ยสองคนอาศัยกับลูกชายเซี่ยจวิ้นเป่า สมาชิกครอบครัวเซี่ยหงปิงเยอะกว่าเล็กน้อย เซี่ยหงปิงและหวังจินกุ้ยอาศัยหนึ่งห้อง ลูกชายเล็กสองคนอาศัยหนึ่งห้อง ส่วนแม่เฒ่าเซี่ยก็ทนอัดกับเซี่ยหงเซี๋ยสักหน่อย
สี่ห้องไม่ได้สมบูรณ์แบบพอดีหรอกหรือ?
คนเมืองที่บ้านเรือนคับแคบเ่าั้ อาศัยกันแออัดยิ่งกว่านี้เสียอีก!
จางชุ่ยเห็นแม่เฒ่าเซี่ยและเซี่ยหงปิงกับภรรยาหารือกันอย่างร่าเริงเบิกบาน ก็ฉีกหน้ากากของอิสตรีเปี่ยมคุณธรรมทิ้ง
“ใครจะมาดูแลไร่นาของบ้านฉันก็ไม่พูดแล้ว ถ้าย้ายไปอยู่ในเมืองกันหมด พวกลูกชายหลานชายในบ้านต้องเลิกเรียนหนังสือสินะ? ฉันและฉางเจิงเป็คนทำธุรกิจอิสระที่ไร้ตำแหน่ง แก้ไขปัญหาเื่เรียนหนังสือของเด็กๆ สามคนไม่ไหวหรอกนะ!”
หากบุตรชายของเธอเซี่ยจวิ้นเป่าจะเข้าเรียนในเมือง จางชุ่ยสามารถขอร้องปู่บอกกล่าวย่าไหว้วานคนทั่วทุกสารทิศได้ ทว่าเซี่ยหงปิงและหวังจินกุ้ยมีลูกเก่งกันเหลือเกิน นอกจากเซี่ยหงเซี๋ยยังมีบุตรชายอีกสองคน ปัญหานี้ก็ต้องตกอยู่กับจางชุ่ย แม้เธอต้องหย่าร้างก็ไม่ยอมเลี้ยงเด็กพวกนั้นไว้แน่
หย่า!
อยู่ๆ ความคิดนี้ก็โผล่ขึ้นมา ทำอย่างไรก็ข่มไว้ต่อไปไม่ได้
จางชุ่ยคิด เธอยัง้าความช่วยเหลือจากคนตระกูลเซี่ยอีกเสียเมื่อไร
พี่ชายคนรองและภรรยาคือวัวแก่ที่สามารถกดขี่ได้ แต่ครอบครัวรองหนีไปกันหมดแล้ว บ้านน้องเล็กเซี่ยหงปิงล้วนเ้าเล่ห์เพทุบาย ถ้าจะต้อนเธอให้จนตรอกจริง เรียนรู้ที่จะหย่าร้างดั่งหลิวเฟินเสียยังดีกว่า—
“เซี่ยฉางเจิง ถ้าคุณกล้าพาคนพวกนี้เข้าเมืองไปให้ฉันเลี้ยง ก็ไม่ต้องใช้ชีวิตนี้ด้วยกันแล้ว! หย่า พวกเราหย่ากันเสียเถอะ!”
เชิงอรรถ
[1]工业券 ตั๋วสินค้าอุปโภคบริโภค คือ ตั๋วสำหรับใช้ซื้อสินค้าสำหรับอุปโภคบริโภคทั่วไป ขอบเขตของสินค้าที่สามารถซื้อได้ค่อนข้างกว้าง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้