“วันนี้ไท่จื่อเสด็จมาวัดอันเหรินแห่งนี้ นับว่าบังเอิญยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินอี้เหอสาวเท้าเข้าเรือนสวน เสียงพูดดังเข้าหูเซี่ยยู่จาง
เซี่ยยู่จางหยัดกายยืน ใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยน “ระยะนี้หมู่เฟย[1]ร่างกายไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงอยากมาไหว้ขอพรเพื่อหมู่เฟยที่วัดอันเหริน”
ความหมายล้ำลึกซ่อนในคำพูดของเฉินอี้เหอ ขอเพียงไม่แสดงออกเด่นชัด ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาหมายถึงอะไรอยู่ดี
ครั้นเดินเข้าใกล้ เฉินอี้เหอมองเซี่ยยู่จางหัวจรดเท้า หางตาปราดมองเล็กน้อยฉายแววแสดงความชิงชังของเขา
“นั่นก็ยังบังเอิญอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ มิทราบว่าไท่จื่อทรงจัดแจงเื่การไหว้ขอพรเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?” ป๋อชางโหวเดินหน้าเข้าถาม
เฉินอี้เหอมองเขาด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก กลัวว่าเซี่ยยู่จางพูดอีกเพียงคำสองคำ เฉินอี้เหอจะผรุสวาทใส่เขาแทน
“อย่างไรเสียการขอพรเพื่อกุ้ยเฟย[2]นั้น เหล่าขุนนางและประชาราษฎร์อย่างพวกกระหม่อมจำต้องหลีกเลี่ยง มิให้ขอพรซ้อนกันถึงจะถูก” ป๋อชางโหวเอ่ยต่อ
นี่เรียกว่าหลีกเลี่ยงเขาแล้วหรือ
ใบหน้าเซี่ยยู่จางฉายแววไม่สบอารมณ์วูบหนึ่ง “มิเป็ไร เราคิดว่าพระองค์เ้าคงมิได้สนใจ”
ป๋อชางโหวที่ก้มหน้าต่ำ เริ่มมีสีหน้าทนไม่ไหวอีกต่อไป ไท่จื่อหมายความว่าจะอยู่รวมกับพวกเขาอย่างนั้นหรือ
เขายังไม่ทันคิดว่าจะหาทางถอนตัวเช่นไร ทันใดนั้นเสียงสดใสแสนไพเราะของสตรีพลันดังแทรกขึ้น “ท่านพ่อ ได้ยินว่าไท่จื่อเสด็จมาถึงแล้ว ลูกจึงตั้งใจมาเข้าเฝ้าเป็พิเศษเ้าค่ะ”
เฉินจิ้งโหรว?
เฉินอี้เหอหน้าถมึงทึงทันใด เดินไปหน้าประตูเห็นเฉินจิ้งโหรวในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ผีเสื้อสีเงินของเครื่องหัวบนศีรษะขยับพลิ้วตามท่วงท่าการเดินของนาง คลับคล้ายกับจะบินหนีได้ตลอดเวลา
“ท่านโหว นี่คือคุณหนูใหญ่ของจวนอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเห็นเฉินจิ้งโหรว เซี่ยยู่จางพลั้งเผลอคิดว่านางคือคุณหนูใหญ่เฉินจิ้งเจีย แต่กลับไม่ทันเห็นว่ายามป๋อชางโหวได้ยินคำพูดนี้ของเขา สีหน้าก็คร่ำเคร่งขึ้นในเสี้ยวพริบตา
“เฉินจิ้งโหรว เ้ามาทำอะไร?” เฉินอี้เหอเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
ได้ยินดังว่า เฉินจิ้งโหรวตัวสั่นระริก ค่อยๆ เงยหน้ามองเซี่ยยู่จางก่อนเดินไปถอนสายบัวข้างเฉินอี้เหอ
“โหรวเอ๋อร์ได้ยินมาว่าไท่จื่อเสด็จมาสักการะ คิดว่าหากไม่มาเข้าเฝ้าเกรงว่าทำให้จวนป๋อชางโหวดูไร้มารยาท ดังนั้นจึงตามมาเ้าค่ะ พี่ใหญ่อย่าได้โกรธเคืองไปเลยเ้าค่ะ”
ท่าทางการพูดจาของนางนับว่าเหมาะสมกับชื่อนางยิ่งนัก อ่อนโยนบอบบาง ทั้งยังดูน้อยอกน้อยใจในทีอยู่บ้างเล็กน้อย
เชื่อว่าไท่จื่อต้องจำนางได้ขึ้นใจอย่างแน่นอน! เฉินจิ้งโหรวคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
“โหรวเอ๋อร์? เ้ามิใช่เฉินจิ้งเจียหรอกหรือ” เซี่ยยู่จางคาดไม่ถึงว่าจะมีใครอื่นอีกด้วย ทว่าเมื่อเขาได้ยินชื่อนาง ก็เป็อันต้องถามขึ้นเสียมิได้
เฉินจิ้งโหรวเงยหน้ามองเซี่ยยู่จางด้วยสายตาเปี่ยมล้นความรู้สึก “หม่อมฉันคือเฉินจิ้งโหรว บุตรสาวคนรองแห่งจวนป๋อชางโหวเพคะ เฉินจิ้งเจียคือพี่สาวหม่อมฉัน หากแต่พี่หญิง...”
ไม่คอยให้เฉินจิ้งโหรวทันเอ่ยปากจนจบ เฉินอี้เหอชิงพูดแทรกขึ้นทันใด “เจียเอ๋อร์เป็โรคกลัวหนาว ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงนัก ยามนี้จึงพักผ่อนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่ยอมให้เฉินจิ้งโหรวพูดประโยคสุดท้ายจบ ใครเล่าจะรู้ว่าเฉินจิ้งโหรวจะป้ายสีข้อหาอันใดใส่เฉินจิ้งเจียอีก
“หืม? คุณหนูใหญ่ร่างกายอ่อนแอ อากาศเช่นนี้ไม่ออกมาก็ถูกแล้วล่ะ” เซี่ยยู่จางตอบตามเฉินอี้เหอ
เซี่ยยู่จางชูมือ ขันทีน้อยข้างกายโน้มตัวเดินเข้ามา
“เราจำได้ว่าท้องพระคลังมีโสมพันปีสองชิ้น ประเดี๋ยวกลับไปส่งให้จวนป๋อชางโหว ให้คุณหนูใหญ่บำรุงร่างกาย”
เมื่อได้ยินดังว่า สามหน่อสกุลเฉินพลันท่าทีแปรเปลี่ยนไป
ป๋อชางโหวและเฉินอี้เหอผวากลัวทันใด ยิ่งกว่าใครอื่นคือเฉินอี้เหอ เขายังจำเื่ที่เขาเพิ่งพูดกับเฉินจิ้งเจียไปเมื่อครู่ได้แม่นยำ
หากแต่เฉินจิ้งโหรวกลับจิกเล็บจนชายแขนเสื้อแทบฉีก เฉินจิ้งเจียอีกแล้ว เ้าตัวหาได้อยู่ตรงนี้ไม่ แต่ไท่จื่อกลับยังคิดถึงนางอยู่ได้!
เป็บุตรสาวแห่งจวนป๋อชางโหวเหมือนกัน มีสิทธิ์อันใดมากดนางให้ด้อยกว่าเฉินจิ้งเจีย?
หรือเป็เพราะเฉินจิ้งเจียคือทายาทสายตรง แต่นางเป็ลูกอนุอย่างนั้นหรือ?
นางเงยหน้า จดจ้องคนที่กำลังสนทนากับป๋อชางโหว นั่นเป็ถึงไท่จื่อเชียวนะ ผู้อยู่ใต้คนคนเดียวแต่อยู่เหนือพสกนับหมื่น สักวันหนึ่ง เขาต้องกลายเป็ผู้ครองใต้หล้านี้อย่างแน่นอน!
หากนางโชคดีได้เป็ไท่จื่อเฟยของไท่จื่อ อนาคตต้องได้เป็ฮองเฮา มารดาแห่งแผ่นดิน เช่นนั้นแล้วยัยโง่เง่าเฉินจิ้งเจียจะเทียบชั้นอย่างไรได้อีก?
ครั้นนึกเช่นนี้ เฉินจิ้งโหรวจึงรีบวางแผนรับมือ นางจงใจกระแอมไอสองครั้งพลางงอตัวตาม มาดหมายวางสายตาไปยังเซี่ยยู่จาง
หากแต่ชั่ววินาทีที่ปราดมองผ่านโดยไม่ตั้งใจนั้น สายตาเ้ากรรมก็สบเข้ากับสายตาเหี้ยมโหดและล้ำลึกของเฉินอี้เหอที่เขม็งจ้องมาทางตนก่อนแล้ว
เฉินจิ้งโหรวตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิมในบัดดล นางรู้สึกเหมือนโลหิตทั่วร่างกำลังถูกแช่แข็งจนไม่ไหลเวียนอย่างไรอย่างนั้น ความเย็นเยียบแผ่ซ่านไปทั่วแขนขา ลามไปทั้งตัว
เซี่ยยู่จางหันกลับมาก็เห็นเฉินจิ้งโหรวสีหน้าซีดเผือด จึงอดที่จะขมวดคิ้วมุ่นเสียมิได้
เป็เื่ดีที่เขาชอบสาวงาม แต่เขาไม่ชอบสาวงามขี้โรคเช่นนี้ เพราะรู้สึกเหมือนเพียงครู่เดียวนางก็พร้อมลาลับโลกได้อย่างไรอย่างนั้น
ความระอาระคนความไม่พึงพอใจบังเกิดขึ้นในใจ เผยสีหน้าทนไม่ไหวชัดขึ้นทันใด “คุณหนูรองร่างกายอ่อนแอ รีบกลับไปพักผ่อนถึงจะถูก อากาศเย็นลมแรง หากป่วยขึ้นมาเพียงเพื่อเข้าเฝ้า ก็คงเป็เพราะเราน่ะสิ”
แม้นเขาจะรำคาญ ทว่าวาจากลับยังคงอ่อนโยนน่าสนใจ ยามเปลี่ยนท่าทีไป ต้องทำเอาเฉินจิ้งโหรวจิตใจเบิกบานเป็แน่
หากแต่เมื่อครู่ไท่จื่อตรัสว่าจะมอบโสมพันปีสองชิ้นให้เฉินจิ้งเจีย แต่พอเป็ตนกลับบอกให้กลับไปพักผ่อนอย่างนั้นหรือ
นี่มันไม่ยุติธรรม!
เฉินจิ้งโหรวกู่ร้องในใจ ป๋อชางโหวส่งเสียงขึ้นอย่างไม่พอใจ “มิได้ยินที่ไท่จื่อตรัสหรือไร? ยังไม่กลับไปอีก? หากป่วยเพราะเหตุนี้ ไท่จื่อจะทรงมองจวนป๋อชางโหวของข้าเช่นไร!”
เมื่อได้ยินดังว่า เฉินจิ้งโหรวถึงได้สติกลับมา มองป๋อชางโหวที่หน้าตาเดือดดาลเต็มไปด้วยโทสะ ความน้อยใจผุดขึ้นเต็มทรวง
“เ้าค่ะ ลูกจะกลับแล้ว ลูกไม่ดูตาม้าตาเรือเองเ้าค่ะ” น้ำเสียงนางเจือสะอื้น แต่น่าเสียดายที่บุรุษทั้งสามหาได้สนใจไม่
เฉินจิ้งโหรวเอ่ยจบ จึงเข้าไปถวายบังคมอีกครั้ง “ความผิดโหรวเอ๋อร์เองเพคะ เกือบสร้างความเดือดร้อนแก่ไท่จื่อแล้ว โหรวเอ๋อร์ขอตัวกลับ แล้วพบกันใหม่เพคะไท่จื่อ”
พูดจบจึงเอี้ยวตัวกลับทันที ท่วงท่าก้าวเดินพาร่างอรชรโยกไหวตามจังหวะเดิน รูปร่างยังไม่เต็มวัยนั้นกลับทำเอาใครต่อใครหลงใหลทีเดียว
หากแต่เซี่ยยู่จางเอาแต่คิดถึงเฉินจิ้งเจีย ไหนเลยจะทันสนใจแผ่นหลังอ้อนแอ้นของเฉินจิ้งโหรว
ซึ่งคำพูดที่นางกล่าวว่าแล้วพบกันใหม่ กลับทำเอาเซี่ยยู่จางลอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
เป็แค่ลูกอนุ แล้วพบกันใหม่อะไรกัน!
หลังจากไล่เฉินจิ้งโหรวไปได้ เซี่ยยู่จางจึงหันกลับมองป๋อชางโหวอีกครั้ง ใบหน้าแต้มยิ้มอ่อนโยนกล่าวขึ้น “ค่ำแล้ว เราขอตัวไปก่อน หากท่านโหว้าสิ่งใด ให้ส่งคนมายังเรือนพักเราก็พอแล้ว”
เขาเอ่ยจบจึงครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนเสริมอีกประโยค “ทักทายคุณหนูใหญ่แทนเราด้วย”
“ขอบพระทัยไท่จื่อ กระหม่อมน้อมส่งพ่ะย่ะค่ะ!” ป๋อชางโหวไม่ตอบว่าตกลงรับปากหรือไม่รับปาก โค้งกายถวายบังคมทันที แทบทนให้เซี่ยยู่จางไสหัวไปโดยเร็วไม่ไหวแล้ว
เฉินอี้เหอข้างกายพยักหน้าตามเล็กน้อย “กระหม่อมน้อมส่งไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”
เทียบกับการถวายบังคมของป๋อชางโหวแล้ว การถวายบังคมของเขายังดูทำชุ่ยแบบขอไปทีกว่ามาก
ต่อให้เป็คนตาบอดยังมองออกว่าเซี่ยยู่จางหมายความว่าอย่างไร ไหนเลยจิ้งจอกเฒ่าที่ดิ้นรนในราชสำนักมาหลายสิบปีอย่างป๋อชางโหวจะมองไม่ออก
“อี้เหอ เ้าคิดอย่างไรกับเื่นี้?”
---------
[1] หมู่เฟย (母妃) คำที่ใช้เรียกมารดาที่เป็สนม
[2] มารดาของเซี่ยยู่จางเป็สนมเอก ซึ่งมียศในจีนเรียกว่ากุ้ยเฟย (贵妃)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้